เมื่ออาการดีขึ้นนรินทร์และพชรก็เดินลงมาเจอทุกคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่างของตัวบ้าน ทุกคนต่างมองไปทางเดียวกัน มินตราเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปหานรินทร์ทันทีด้วยสีหน้าดีอกดีใจ
“พี่นรินทร์! ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?” เธอเอ่ยถามพลางจับที่มือของนรินทร์เบาๆ
“อือ ไม่เป็นไรแล้ว”
“น่าแปลกที่พอพี่มาอยู่ที่นี่เป็นลมบ่อย เมื่อก่อนยังแบกลังหนังสือหนักๆได้เลย” มินตราพูดอย่างนึกสงสัย เพราะนรินทร์หัวหน้าทีมของเธอค่อนข้างที่จะเป็นคนแข็งแรงมากพอสมควร ไม่น่าจะเป็นคนที่ล้มพับบ่อยขนาดนี้แท้ๆ
“นั่นสิ พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…” นรินทร์เอ่ยตอบพลางยิ้มแห้งหลบเลี่ยงสายตาของมินตรา เธอไม่กล้าบอกคนในทีมว่าไปเจออะไรมาบ้างไม่อย่างนั้นคนในทีมคงจะกลัวจนไม่กล้าอ
เดินจนเหงื่อตกแทบจะไม่เหลือแรง ภากรณ์หยุดหอบหายใจยืนเท้าสะเอวอย่างหัวเสีย จากที่เดินมายังเทวาลัยมันไม่ได้ไกลขนาดนี้เลย เขาเหลียวกลับไปมองพนิตาที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเขา อีกทั้งยังทำหน้าบึ้งตึงมองเขาด้วยความไม่พอใจ ดูก็รู้ว่าเธอคิดว่าเขานั้นหลงนั้นแน่ๆ แต่ภากรณ์จำได้ดีว่าทางนี้ก่อนที่จะหันกลับไปมองทางข้างหน้า ภากรณ์หรี่ตาเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งเดินอยู่ไม่ไกลจากเขานัก รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้น“โอ้ย นิตาเดินไม่ไหวแล้วนะคะกรณ์”“เงียบก่อนนิตา นั่นไง เห็นไหม?” ภากรณ์พูดพลางชี้ไปที่หญิงสาวชาวบ้านด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้น พนิตาชะเง้อมองแล้วรีบเดินตามภากรณ์ไป“ขอโทษนะครับ…บ้านหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้านไปทางไหน?” หญิงสาวหันกลับมามองทางเขาที่เอ่ยถามด้วยท่าทางดีใจ ใบหน้าสวยสดงดงามไม่เคยเห็นมาก่อนในหมู่บ้าน ภากรณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มขึ้น“บ้านคุณพชรหรือคะ?” หญิงสาวนิรนามเอ่ยเสียงหวานพร้อมรอยยิ้ม ภากรณ์มองจ้องหญิงสาวค้างด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ตามประสาผู้ชายเจ้าชู้เวลาเจอ
เมื่ออาการดีขึ้นนรินทร์และพชรก็เดินลงมาเจอทุกคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่างของตัวบ้าน ทุกคนต่างมองไปทางเดียวกัน มินตราเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปหานรินทร์ทันทีด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “พี่นรินทร์! ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?” เธอเอ่ยถามพลางจับที่มือของนรินทร์เบาๆ “อือ ไม่เป็นไรแล้ว” “น่าแปลกที่พอพี่มาอยู่ที่นี่เป็นลมบ่อย เมื่อก่อนยังแบกลังหนังสือหนักๆได้เลย” มินตราพูดอย่างนึกสงสัย เพราะนรินทร์หัวหน้าทีมของเธอค่อนข้างที่จะเป็นคนแข็งแรงมากพอสมควร ไม่น่าจะเป็นคนที่ล้มพับบ่อยขนาดนี้แท้ๆ “นั่นสิ พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…” นรินทร์เอ่ยตอบพลางยิ้มแห้งหลบเลี่ยงสายตาของมินตรา เธอไม่กล้าบอกคนในทีมว่าไปเจออะไรมาบ้างไม่อย่างนั้นคนในทีมคงจะกลัวจนไม่กล้าอ
“สำนักพิมพ์ไดมอนด์!!! นี่มันไม่เล็กน้อยแล้วนะคะคุณแสงศร” มินตราเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาวาวเป็นประกายใบหน้าของเธอแสดงออกว่าชื่นชมมากเป็นพิเศษ มินตราแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอจะได้มายืนอยู่ข้างๆเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณมินตรา” แสงศรยิ้มตอบมินตราเธอดูจะรู้จักสำนักพิมพ์มากกว่าใครในทีมแม้แต่นิลนนท์เองก็ยังไม่เคยรู้ชื่อเสียงของสำนักพิมพ์มาก่อน“สำนักพิมพ์นี้ดังมากเหรอวะ?” เทวินกระซิบถามเบาๆไม่ให้แสงศรได้ยิน“มึงหัดทำงานบ้างนะไอ้วิน ไม่ใช่ให้โยนให้กูทำจะได้รู้เรื่องกับเขาบ้าง สำนักพิมพ์ไดมอนด์มีทั้งแบบหนังสือรูปเล่ม นิตยสาร เว็บไซด์อีบุ๊ค ไม่ล้าหลังเหมือนสำนักพิมพ์เราหรอกนะ”มินตราร่ายยาวอย่างภาคภูมิใจในความรู้ของตัวเองเพราะเธอเองก็เป็นแฟนพันธ์แท้หนังสือของสำนักพิมพ์นี้เช่นกัน นักอ่านส่วนใหญ่มักจะรู้จักสำนักพิมพ์นี้เป็นอย่างดี หากโลคอลเทรนไม่มีคอลัมม์ของนรินทร์ก็คงจะไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว แตกต่างกับหนังสือและสื่อของสำนักพิมพ์ไดมอนด์อย่างสิ้นเชิงที่มีทั้งเรื่องราววัฒนธร
ชุดไทยสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าทึ่ง ชาวบ้านพากันโห่ร้องด้วยความตกใจปนทึ่ง แม่สายหันไปพยักหน้าให้เหล่านักดนตรีชาวบ้านก่อนจะบรรเลงเพลงที่อ่อนช้อย ซึ่งเป็นบทเพลงที่แตกต่างจากทางด้านภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จะค่อนข้างเร็ว แต่เพลงรำถวายนี้กลับเป็นการรำอ่อนช้อยเหมือนนางรำในราชวังอย่างไรอย่างนั้น“ไม่เหมือนที่แม่ซ้อมให้ไม่ใช่หรือ?” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามพลางหันไปมองแม่สายผู้เป็นภรรยา“รำนารีบารมี…เป็นรำที่ไม่ใช่ใครก็รำได้ นางโดนสิงอยู่แน่ๆ…” แม่สายเอ่ยพลางมองจ้องไปยังนรินทร์ที่กำลังเริ่มร่ายรำเสียงฆ้องดังสลับกับเสียงตะโพนในจังหวะเนิบๆ เมื่อเธอกระทืบเท้าหมุนตัวหันมาก็เป็นเสียงเป่าสังข์ดังก้องกังวาน พระจันทร์ด้านบนที่ขึ้นพอดีกับปลายยอดเทวาลัยเกิดปรากฏการณ์จันทร์ทรงกลด ชาวบ้านต่างฮือฮาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าราวกับภาพวาดรอยยิ้มหวานบางๆเปื้อนใบหน้า เธอสวยงามไม่ต่างจากในอดีตเลย…ทุกคนในทีมต่างอึ้งทึ่งมองเธอจนไม่กระพริบตา พชรเองก็ไม่ต่างกัน…สายตาคมเอ่อคลอเคลือบไปด้วยน้ำตาใส จ้องมองหญิงสาวที่รำอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้
งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นหน้าเทวาลัย แสงเทียนแสงตะเกียงถูกประดับประดาอย่างสวยงาม มันคืองานบวงสรวงที่ผิดกับภาพจำเธอไปเสียหน่อยเพราะว่ามันถูกจัดขึ้นตอนกลางคืน ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง เธอต้องรำถวายลานหน้าเทวาลัยที่มืดสลัวนั้นนรินทร์ถูกมินตรารุ่นน้องคนสนิทจับนั่งแต่งหน้าอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่ หลังจากที่ถูกกำชับให้อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอบน้ำหอมกลิ่นกฤษณาคลอกลิ่นดอกมะลิหอมจนตัวเธอเองยังได้กลิ่น เสื้อผ้สชุดไทยนั้นเธอได้มาจากแม่สายล้วนเป็นสีแดงพร้อมมงกุฏที่สีทอง อีกทั้งยังมีเครื่องประดับสีทอง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ชอสีแดงเสียเท่าไหร่ ยิ่งมองตัวเองในกระจกแป้งพับก็ยิ่งทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่คิดขนก็ลุกเกลียวจนเธอเผลอลูบแขนของตัวเองปอยๆ“พี่นรินทร์หนาวเหรอ?” มันตราที่กำลังตั้งใจแต่งหน้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง นรินทร์หันไปยิ้มแห้งแล้วส่ายหน้าไปมา มินตราทำหน้างงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามต่อ“อ้าว…อย่าบอกนะว่า….”“ว่า?”“พี่นรินทร์รับรู้ถึงพลังงานบางอย่างเมื่อใส่ชุดนี้” มินตราเอ่ยพลางท
“อุปกรณ์เราถูกไฟไหม้หมดเลย ข้อมูลต่างๆไม่เหลือเลย” นิลนนท์เอ่ยขึ้น หลังจากที่นรินทร์ได้นอนพักเต็มอิ่มมาตั้งแต่เมื่อวานพร้อมกับความทรงจำใหม่ความรู้ใหม่ในหัวที่ตัวเองพึ่งเจอและเห็นมากับตานรินทร์ละความคิดจากเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย แม้ในขณะที่เธอนั่งฟังเพื่อนสนิทของตนพูดและจ้องมองเพื่อนสนิทของตนอย่างเหม่อลอยอยู่ก็ราวกับว่าเป็นภาพของนาคานักรบคนนั้นที่อยู่ข้างกายพญาเพชรแก้วที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับเพื่อนของตน“นรินทร์…นรินทร์!! มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย?” นิลนนท์เรียกและเอามือวาดกลางอากาศใกล้ใบหน้าของนรินทร์แต่เธอยังคงนิ่งค้าง ก่อนที่นรินทร์จะสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองหน้านิลนนท์และคนอื่นๆที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียว“ฮะ?! อ๋อ อือ..”“อือ อะไรของมึง สรุปไม่ได้ฟัง?” นิลนนท์เอ่ยย้ำ“พี่นรินทร์ พี่เป็นอะไรไปเนี่ย” มินตราเอ่ยพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย นรินทร์หันไปมองหน้ามินตราก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อยพร้อมดึงมือออก มินตรายิ่งงงไปกันใหญ่กับท่าทีของรุ่นพี่ที่สน