แม้รั้วบ้านจะติดกันแต่เธอและเขากลับเป็นคู่อริกันมาตั้งแต่เด็กจนโต แต่ทว่าพรหมลิขิตกลับทำให้คนทั้งสองบังเอิญมีอะไรกันจนมีพยานรักกำเนิดขึ้นมา ทำให้คนที่ต่างขั้วต้องมาร่วมหอลงโรงกันอย่างจำยอม
더 보기งานแต่งที่ใดเป็นได้แค่แขกรับเชิญ...
นั่นไม่ใช่เสียงเพลงจากที่ไหนหรอกนะคะ เพียงแต่ว่าวันนี้ฉันมางานแต่งจริง ๆ งานแต่งเพื่อนสนิทที่ฉันรักมากที่สุด เรารู้จักกันเมื่อครั้งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม แต่คำว่าเพื่อนยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่คลาย
สวัสดีค่ะฉันชื่อ ‘ขวัญข้าว ภาณุอินจา’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘ข้าว’ อายุ 24 กะรัต สถานะโสดและไม่เคยมีแฟนมาก่อน ตอนนี้ทำงานเป็นดีไซเนอร์ให้กับห้องเสื้อแบรนด์ดัง ตั้งใจจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสักสองปีถึงจะสร้างแบรนด์ของตัวเอง
ตอนนี้ยัยน้ำกำลังควงแขนเจ้าบ่าวเดินทักทายแขกที่มาร่วมงาน ส่วนฉันก็นั่งจิบไวน์กับอีโบ๊ทเพื่อนรักอีกคน แก๊งสามสวยเรามีสมาชิกสามคน ฉันสวยเปรี้ยว ยัยน้ำสวยหวาน ส่วนคนที่นั่งข้าง ๆ มันสวยแปลก ไม่ได้นินทาเพื่อนแต่อย่างใดเพราะเราต่างก็โอเคกับฉายานี้
โบ๊ทเป็นเพื่อนเกย์สาวที่แซบไม่ต่างจากพวกฉัน นางจะเป็นคนตัวอวบ ๆ ช่างพูดช่างเจรจา เวลาไปเที่ยวผับก็ได้มันนี่ล่ะที่คอยเป็นบอดี้การ์ดดูแลสาวสวยอย่างเราสองคน
“อีข้าวแกดูผู้ชายคนนั้นสิหล่อสัด ๆ จนต่อมสาวฉันเริ่มจะแตกแล้วเนี่ย” เมื่อเห็นสีหน้าชวนฝันของเพื่อน ฉันจึงหันไปมองบ้างเพราะปกติแล้วมันเป็นคนตาถึง ถ้าบอกว่าหล่อก็คือหล่อมากจริง ๆ
เชี่ยยย! ไอ้ฟีฟ่ามันมางานนี้ได้ไง
ฉันรีบหันขวับมาเมื่อรู้ว่าเป็นใคร “ก็งั้น ๆ ล่ะไม่เห็นจะหล่อเลย มึงยังหล่อกว่าตั้งเยอะ” ฉันเอ่ยอย่างไม่ยี่หระราวกับไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
‘นายฟีฟ่า’ มันเป็นเพื่อนบ้านฉันเองค่ะ ตั้งแต่เด็กจนโตเราทั้งคู่ไม่เคยพูดจาดี ๆ ใส่กันเลยสักครั้ง นั่นเป็นเพราะพ่อของเราทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่จำความได้ ฟีฟ่าเป็นรุ่นพี่ฉันหนึ่งปี ถ้าจะบอกว่าหล่อไหมมันก็หล่อนั่นละค่ะ หุ่นดีรูปร่างกำยำล่ำสันราวกับนายแบบในนิตยสาร แต่สำหรับฉันแล้วมันธรรมดามากกกก!!!
“อีบ้าอย่างฉันเรียกสวย! แกเอาอะไรทำตายะ ถ้าอย่างนี้ไม่หล่อผู้ชายบนโลกแม่งคงจะขี้เหร่แล้ว” โบ๊ทหันมาถลึงตาใส่ฉันราวกับกำลังโมโหที่ไปว่าผู้ชายมันไม่หล่อ นี่ล่ะค่ะสันดานเพื่อนรักฉันเห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนทุกครั้ง
“ก็มันจริงนี่นาไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย” ฉันเบะปากทำเป็นไม่สนใจ จากนั้นหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบแก้เซ็ง
วันนี้ดื่มได้เต็มที่เพราะยัยน้ำเปิดห้องไว้ให้พวกเราแล้ว เพราะรู้ว่าวันนี้จะต้องมีคนเมาจนขับรถกลับบ้านไม่ไหว
“ว่าไงยะเมากันหรือยัง”
นั่งดื่มได้สักพักยัยน้ำก็ควงเจ้าบ่าวเดินตรงมาหาพวกเรา วันนี้มันสวยเป็นพิเศษ สวยกว่าใคร ๆ ในงานเลยล่ะ นั่นเป็นเพราะฝีมือฉันเองค่ะ นอกจากจะเป็นดีไซเนอร์มือทองแล้วฉันยังแต่งหน้าเก่งเป็นที่หนึ่งอีกด้วย
“ยังเลยรอแกอยู่นี่ล่ะ” ฉันตอบ
“งั้นรอสักครู่นะ ฉันกับพี่ต๋องขอเดินไปหาแขกฝั่งโน้นก่อน เหลือเพียงไม่กี่โต๊ะแล้วล่ะ”
“ได้เลยจ้าฉันกับอีข้าวนั่งดื่มจนจะหมดขวดแล้วเนี่ย อ้อ! พี่ต๋องคะนั่นเพื่อนพี่หรือเปล่าชวนมานั่งโต๊ะนี้ด้วยกันสิ” เอาแล้วไงอีโบ๊ท หางานให้กูอีกแล้ว ฉันกับฟีฟ่าเคยนั่งร่วมโต๊ะกันซะที่ไหนล่ะ
“ใช่ครับเพื่อนพี่เอง งั้นรอแปบนะเดี๋ยวพี่ไปลากคอมันมาก่อน จะได้ทำความรู้จักกันด้วย”
“อุ๊ย! ขอบคุณค่ะ” อีโบ๊ทยกมือไหว้งาม ๆ ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้พี่ต๋อง
เมื่อพี่ต๋องเดินไปแล้วฉันกับน้ำก็มองอีโบ๊ทเป็นตาเดียวกัน เรารู้ว่ามันต้องการอะไร
“อีบ้าทำไมต้องชวนเขามาด้วย นั่งกับเพื่อนจะตายหรือไงยะ” ฉันว่าให้
“คนเยอะแยะสนุกดีออกแก คนกันเองทั้งนั้นใช่ไหมน้ำ”
“ย่ะ! เห็นผู้ชายหล่อเป็นไม่ได้เลยนะ”
“ก็นิดนึง ว่าแต่ทำไมฉันไม่เคยเห็นเพื่อนคนนี้ของพี่ต๋องเลยยะ หล่อโฮกกก”
“จำเป็นที่แกต้องรู้ทั้งหมดเลยเหรอยะ คนนี้เพื่อนซี้พี่ต๋อง แต่บ้างานเลยไม่ค่อยได้เจอกัน ขนาดฉันเองยังเจอแทบนับครั้งได้” น้ำว่า
แต่สำหรับฉันเห็นหน้าไอ้บ้านี่จนเบื่อ...ชิส์!!!
“มาแล้วครับสาว ๆ” เสียงพี่ต๋องดังแทรกเข้าวงสนทนา ได้ยินอย่างนั้นฉันก็รู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก จะทำหน้ายังไงเวลาเจอหน้าเขานะ ไม่อยากให้ใครรู้ด้วยซ้ำว่าบ้านเราอยู่ติดกัน
“อุ๊ย! สวัสดีค่ะสุดหล่อ หนูชื่อโบ๊ทเป็นเพื่อนน้ำค่ะ” โบ๊ทไม่รอให้เสียเวลารีบแนะนำตัวเองก่อน ส่วนฉันก็เอาแต่นั่งก้มหน้า
“สวัสดีครับคนสวยผมฟีฟ่าครับ เป็นเพื่อนไอ้ต๋อง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ยินดีที่สุดค่ะ” ฉันเห็นโบ๊ทยื่นมือไปจับมือเขา แต่ทว่าฉันยังไม่ยอมเงยหน้า
แต่เอ๊ะ! ทำไมฉันจะต้องทำเป็นเหมือนกลัวเขาด้วยล่ะ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ก็แค่ไอ้เพื่อนบ้านนิสัยเสียเท่านั้นเอง
“อ้าว! น้องข้าวนี่เองนึกว่าใครหึ ๆ” เงยหน้าขึ้นยังไม่ถึงสามวินาทีเขาก็เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงน่าหมั่นไส้ซะแล้ว
น้องพ่อมึงดิ!!
ทุกคนมองมาที่ฉันด้วยความฉงน โดยเฉพาะโบ๊ทที่อ้าปากค้างเพราะไม่นึกว่าฉันกับเขาจะรู้จักกันมาก่อน
“นะ...นี่แกรู้จักพี่ฟีฟ่ามาก่อนงั้นเหรอ แล้วทำไมเมื่อกี้ทำเหมือนไม่รู้จักยะ”
“ก็แกไม่ได้ถามฉันนี่นา ก็แค่รู้จักชื่อไม่ได้สนิทสนมอะไรขนาดนั้นหรอก” ฉันแบ่งรับแบ่งสู้พยายามไม่มองหน้าเขา แต่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาที่ฉัน คงคิดหาทางแกล้งกันอยู่แน่ ๆ
“ไม่สนิทแต่ก็เห็นกันทุกวันไม่ใช่เหรอครับน้องข้าว เราเป็นเพื่อนบ้านกันลืมไปแล้วเหรอครับ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ แสร้งทำเป็นคนมีอัธยาศัยดีต่อหน้าคนอื่น
สร้างภาพเห็น ๆ
“โลกกลมจังเลยเนาะ ถ้างั้นมึงก็นั่งเป็นเพื่อนน้องเขานี่ล่ะ คนกันเองทั้งนั้นเดี๋ยวกูมา”
“โอเคว่ะเพื่อน กูนั่งคนเดียวก็เหงาเหมือนกัน เพื่อนคนอื่น ๆ แม่งหนีกลับกันหมด”
“ฝากเพื่อนพี่ด้วยนะสาว ๆ เดี๋ยวมาดริ้งกัน”
“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ต๋อง จะดูแลให้ดีที่สุดเลยค่ะ” โบ๊ททำท่าทางกระดี๊กระด๊า สีหน้าระรื่นราวกับเขาจะเอามันทำเมียซะอย่างนั้นล่ะ
ฉันอยากเตือนมันให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้สำส่อนมากแค่ไหน พาผู้หญิงเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้า ที่รู้เพราะห้องฉันกับเขาอยู่ตรงข้ามกัน เห็นผู้หญิงมายืนสูดอากาศที่หน้าต่างยามเช้าเป็นประจำ สงสัยเป็นโรคติดเซ็กซ์แน่ ๆ
หลังจากคู่บ่าวสาวเดินไปแล้วเขาก็ยืนส่งยิ้มให้โบ๊ท เห็นแล้วฉันก็เบะปากยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มไปพลาง ๆ ทำเป็นไม่สนใจ
“เชิญนั่งค่ะพี่ฟีฟ่า” เพื่อนสาวฉันตบปุลงที่เก้าอี้ข้างตัว แต่ทว่าเขากลับเดินอ้อมมานั่งข้างฉันซะอย่างนั้น
“ผมอยากนั่งฝั่งนี้ครับจะได้มองหน้าน้องโบ๊ทได้ถนัด ๆ” เขาส่งรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ให้อีเพื่อนสารเลวของฉัน คงรู้แหละว่ามันชอบเลยแกล้งทำเป็นสนใจ
หวานเสน่ห์ไปทั่ว แต่โทษทีมันใช้กับคนอย่างฉันไม่ได้หรอก
“อุ๊ย! ทำไมปากหวานอย่างนี้ สงสัยสาวในสต๊อกคงจะเยอะแน่ ๆ” ฉันล่ะเกลียดท่าทีสะดีดสะดิ้งของอีโบ๊ทซะเหลือเกิน
“ไม่หรอกครับ ไม่เชื่อถามน้องข้าวก็ได้”
“อย่ามายุ่งกับฉัน คนอย่างฉันไม่มีวันไปยุ่งเกี่ยวกับคนอย่างนายหรอก แค่บ้านติดกันก็เป็นเสนียดมากพอแล้ว” ฉันว่าพร้อมเขยิบเก้าอี้ออกห่างจากเขา
“อีข้าว! ทำไมแกพูดจาหมาไม่แดกอย่างนี้ พี่เขาพูดกับแกดี ๆ นะ”
“ร้องใหญ่แล้วสงสัยจะหิวมาก รีบพาเข้าไปเถอะแก” น้ำว่า“แม่ไปแล้วค่ะคุณลูก ไม่ร้องนะคะ” ฉันรีบลุกขึ้นอุ้มเจ้าตัวน้อยเข้าไปในห้องหลังจากได้ดื่มนมสมใจอยากแล้วเสียงร้องไห้งอแงก็เงียบสงบลง ได้ยินแค่เพียงเสียงริมฝีปากน้อย ๆ กำลังดูดน้ำนมอย่างหิวกระหาย เป็นภาพที่น่าเอ็นดูซะเหลือเกิน“หิวมากเลยเหรอคะลูกสาวแม่” ปากว่ามือก็ลูบบนแก้มนุ่มเบา ๆไม่นานเจ้าตัวเล็กก็หลับปุ๋ยคาอก ฉันจึงอุ้มไปนอนบนเตียงให้สบายตัว ห่มผ้าให้แล้วยืนยิ้มมองดูความน่ารักอย่างมีความสุขครืนนนเสียงประตูกระจกเลื่อนดังมาจากด้านหลัง ฉันจึงหันไปมอง ก็พบนายฟีฟ่ายืนส่งยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! เข้ามาทำไม”“เข้ามาไม่ได้หรือไง” เขาเดินตรงเข้ามาสวมกอด กดจมูกซุกไซร้ตามซอกคอ จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อน ๆ“ไม่เอาเหม็นเหล้าจะแย่แล้ว” ฉันพยายามดันแผงอกแกร่งให้ออกห่างจากตัว“ลูกหลับแล้วใช่ไหม”“อื้อ เพิ่งหลับไปเมื่อกี้นี้เอง”“งั้นออกไปนั่งข้างนอกกัน บรรยากาศกำลังดีเลย” แม้จะได้กลิ่นเหล้าจากตัวเขา แต่ทว่าน้ำเสียงและสีหน้ากลับไม่ได้บ่งบอกว่าอยู่ในอาการมึนเมาแต่อย่างใด“ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวเนี่ยนะ”“ไม่นานหรอกน่า อยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง” ว่าแล้วก
นางโบ๊ทไม่สนใจคำประชดประชัน โพสต์ท่าราวกับนางแบบมืออาชีพ เชิดหน้าใส่อย่างไม่แคร์“คนจะสวยช่วยไม่ได้”“ค่ะสวยมาก” น้ำเหน็บแนมด้วยคำพูดและสีหน้า“ก่อนจะตีกันตายซะก่อนพี่ว่าเอาของไปเก็บก่อนดีไหม” พี่ต๋องเสนอความคิดเห็น“พี่ต๋องนั่นล่ะเอาไปเก็บน้ำจะไปเล่นกับหลาน”“ฉันด้วย” นางโบ๊ทจะเดินเข้ามาแต่โดนน้ำสกัดด้วยการกางแขนกั้น“แกเอาของไปเก็บช่วยผัวฉันเลย คิดจะใช้ผัวฉันคนเดียวหรือไงยะ”“ได้!! ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน” คนพูดทำตาเปรี้ยวตาหวานใส่พี่ต๋อง“เออ!! ถ้ามีปัญญาก็เอาไปเลย ฉันเริ่มจะเบื่อแล้ว”“ถ้างั้นไปกันเถอะค่ะพี่ต๋อง หนูจะขนของช่วยพี่เอง” ว่าแล้วนางก็ควงแขนพี่ต๋องจากเราไปน้ำเดินมาหาเราทั้งคู่ จากนั้นอุ้มเจ้าหญิงตัวน้อยอย่างคล่องแคล่ว ซ้อมมือเตรียมตัวต้อนรับลูกในท้อง ที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลกอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้น้ำท้องได้สี่เดือนแล้ว นางเห็นความน่ารักของออมรักเลยขยันทำการบ้าน จนในที่สุดก็ทำสำเร็จจนได้“น้องออมรักของป้าเลี้ยงง่ายจังเลย ไม่งอแงไม่ร้องเลยสักแอะ”“แอ๊ะ”“นั่นมายิ้มให้กันอีก อยากบิดแก้มให้หลุดติดมือมาซะจริง ๆ”น้ำคุยกับหลานสาวอย่างออกรสไม
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ถ้ายังไงต้องได้รบกวนคุณหมออีกแน่นอน”“ครับผม”หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกัน คุณหมอกลับไปทำงาน ส่วนฉันกับครอบครัวก็ไปเที่ยวกันต่อ ใช้ชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบให้หนำใจ ชดเชยในช่วงแรกที่เราเอาแต่ตั้งแง่ใส่กันการได้พบเจอและรู้จักใครสักคนฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นยัยจอยที่เข้ามาในรูปแบบผู้หญิงร้ายกาจ หรือแม้กระทั่งคุณหมอนที ที่นิสัยดีจนหาที่เปรียบเปรยไม่ได้ เราทั้งหมดถูกกำหนดให้ต้องมาพบเจอกัน เพื่อทำให้ชีวิตมีรสชาติ แต่ละคนเปรียบเหมือนเครื่องปรุงที่มีรสชาติแตกต่างกันไป แต่ในที่สุดแล้วทุกอย่างก็ถูกปรุงแต่งให้อยู่ในจุดที่พอดี และความพอดีของเราก็คือสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ มันกลมกล่อมเหมาะกับชีวิตคู่เราที่สุดแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตเปรียบเหมือนละครเรื่องหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเราโดยเฉพาะ เพียงแต่มันเป็นละครที่ไม่ได้ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้า บทสนทนา อารมณ์และความรู้สึก มันเกิดขึ้นเองตามสถานการณ์นั้น ๆ และจะถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำกลายเป็นอดีต ที่นึกถึงแล้วอาจจะทำให้หัวเราะหรือร้องไห้ก็แล้วแต่ละบุคคลที่ประสบพบเจอมาละครของฉันมีพระเอกชื่อว่าฟีฟ่า และตัว
ตั้งแต่คลอดออมรักมายังไม่มีโอกาสเจอคุณหมอนทีเลยสักครั้ง วันนี้เราทั้งคู่จึงตั้งใจไปหาที่โรงพยาบาล เพื่อขอบคุณที่ช่วยทำคลอดในช่วงวิกฤติอย่างนั้นให้เราปลอดภัยทั้งแม่และลูก เรานัดกันที่ร้านกาแฟข้างโรงพยาบาล ประจวบเหมาะช่วงเวลาพัก คุณหมอจึงสามารถเจียดเวลาออกมาหาเราทั้งสามคนได้“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่ช่วยดูแลฉันกับลูกมาโดยตลอด” ฉันยกมือไหว้คุณหมอ“มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วครับ ว่าแต่ตั้งชื่อน้องหรือยังครับ”“ตั้งแล้วค่ะ ชื่อออมรัก”“ชื่อเพราะความหมายก็ดี แล้วน้องออมรักงอแงบ่อยไหมครับ ดูสิหลับปุ๋ยเชียว” คุณหมอเอ่ยถาม ขณะวางสายตาไว้เจ้าหญิงตัวน้อย ที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ในรถเข็นนายฟีฟ่านั่งฟังเราสนทนากันแทบไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย ก่อนมาฉันย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามแสดงกิริยาไม่ดี เขารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ก็ยังไม่อุ่นใจอยู่ดีนั่นละ“เลี้ยงง่ายมากค่ะคุณหมอ ไม่ค่อยงอแงเลย”“ดีแล้วครับ”“เอ่อ…คุณหมอครับผมมีเรื่องจะบอก” จู่ ๆ นายฟีฟ่าก็แทรกเสียงเข้ามา เราจึงหันไปมองเป็นตาเดียวกัน อีกฝ่ายทำหน้าเลิ่กลั่กพิกล“เรื่องอะไรเหรอครับ”“คือ…ผมอยากขอโทษที่เคยทำมารยาทไม่ดีใส่คุณหมอตั้งหลายครั้ง ผมขอโท
“ก็บอกว่าไม่ปล่อย แค่วันเดียวมึงจะตายหรือไง วันสุดท้ายแล้วนะเว้ย”“งั้นก็แล้วแต่ เพราะถึงยังไงมันก็เป็นวันสุดท้ายแล้ว ต่อไปก็ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป” เจ้านายตอบกลับแบบไม่มีเยื่อใยเลยสักนิด นั่นทำให้ความกวนของยูโรแปรเปลี่ยนเป็นความน้อยใจฉันรับรู้มาโดยตลอดว่ายูโรพยายามมากแค่ไหน กับการทำให้เจ้านายกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ถึงกระนั้นก็ความพยายามก็ไม่เคยสำเร็จสักที“ถ่ายรูปกันก่อนดีไหมค่อยคุยกัน” ฉันต้องเอ่ยปรามไว้ไม่งั้นมีหวังวงแตกแน่ ๆแชะ!ภาพที่ได้ไม่มีรอยยิ้มของใครปรากฏให้เห็นเลย ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่านับจากนี้ความสัมพันธ์ของน้องทั้งสองคนจะกลับมาอยู่ในสถานะเดิมได้ยังไงถ่ายรูปแล้วเจ้านายก็เดินเข้ามาทักทายหลานสาวที่รถเข็น ส่วนยูโรได้แต่มองคนที่ไม่สนใจไยดีตาละห้อย ถอนหายใจเสียงดังจนทุกคนได้ยินถนัดฉันกับนายฟีฟ่าได้แต่มองหน้ากันอย่างหมดความหวัง“น่ารักน่าชังจังเลยหลานสาวน้า โตขึ้นต้องเรียนหมอให้ได้เหมือนน้านะครับ” เจ้านายนั่งคุยกับออมรัก ทำทีไม่สนใจคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง“พี่ยูโรคะ ยินดีด้วยนะคะ”จู่ ๆ ก็มีนักเรียนสาวหน้าตาน่ารักเดินถือดอกกุหลาบเข้ามา แล้วยื่นให้ยูโร ท่าทีของเจ้าหล่อนดูก
“ที่สุด”“แสดงว่าฉันคงเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกเช่นกันที่ได้สามีหล่อขนาดนี้”“แน่นอนครับผม ไม่มีใครจะหล่อกว่านี้อีกแล้ว”“และก็ไม่มีใครหลงตัวเองเท่านายอีกแล้ว”“ใครบอกว่าไม่มี ก็เธอไงหลงฉันกว่าที่ฉันหลงตัวเองซะอีก”“ใครบอกยะ”“ก็ฉันบอกอยู่นี่ไง”“พูดเองเออเอง” เบะปากใส่หนึ่งที“เหนื่อยยังอ่ะ”“เรื่อง?”“ก็เถียงกับฉันไง พอได้แล้วมั้งขอให้ฉันนั่งอยู่เฉย ๆ มั่งไม่ได้หรือไง”“ก็นายนั่นล่ะเป็นคนเริ่มก่อน”“แหนะ...ยังไม่หยุดอีก ถ้าอ้าปากแม้แต่นิดเดียว ฉันจะอุ้มขึ้นห้องจริง ๆ ด้วย ลูกเลิกไม่สนแล้ววางแม่งไว้ตรงนี้ล่ะ เสร็จแล้วค่อยลงมาดู” ตอนนี้ฉันทำได้เพียงถลึงตาใส่เขา ไม่กล้าอ้าปากเลยสักนิด สีหน้าหื่น ๆ อย่างนี้น่ากลัวว่าตอนโกรธเสียอีก“...”“ดีมากครับที่รัก ให้นมลูกต่อไปเดี๋ยวคืนนี้อย่าลืมให้นมผัวคนนี้บ้างนะ”“ไอ้บ้า! คิกๆ ๆ” ฉันอดขำกับมุกเขาไม่ได้ ตะโกนด่าด้วยรอยยิ้มจนเจ้าตัวน้อยที่กำลังดูดนมอยู่นั้นตกใจร้องไห้งอแง จนเราทั้งคู่ต้องช่วยกันปลอบยกใหญ่แม้จะเหนื่อยไม่น้อยกับการต้องมาเลี้ยงดูลูกตัวเล็ก ๆ แบเบาะอย่างนี้ แต่ทว่าช่วงเวลานี้กลับทำให้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ร่
댓글