“ท่านอ๋อง…” เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหลี่ชิงเบาราวเสียงแมลงหวี่ ส่วนจูอี๋เหนียงเอาแต่ก้มหน้าสะอึกสะอื้น ไท่ชินอ๋องก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้ ยกมือขวาขึ้นจะฟาดใส่ศีรษะของจูอี๋เหนียง หลี่ชิงตกใจกระโดดเข้ากอดแขนไท่ชินอ๋องไว้แน่น พลางตะโกน “ท่านอ๋อง…เรื่องราวไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด” “ฮะๆๆ…น่าขัน หลักฐานอยู่ตำตายังจะแก้ตัวอีก” แล้วพระชายาฟางหมิงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายสานมีคานหาม ใช้บ่าวชายฉกรรจ์สองคนเป็นผู้แบก ก็ให้บ่าวแบกมาให้ตรงกับหน้าประตู “กุ้ยหวางเฟยหนอกุ้ยหวางเฟย…ช่างแก้ตัวได้น่าฟังยิ่งนัก” จูอี๋เหนียงนั้นแสนจะอัดอั้นตันใจ…จะบอกความจริง ก็เกรงชู้รักจะถูกตัดหัวทั้งครอบครัว…จะไม่สารภาพ ก็กลัวว่าจะพลอยทำให้กุ้ยหวางเฟยเดือดร้อนไปด้วย…พอคิดมากหนักเข้า ก็เป็นลมล้มฟุบอยู่กับพื้น หลี่ชิงเป็นห่วงทารกในครรภ์ของนางจึงสั่ง “เสี่ยวฉีจื่อ อุ้มนางขึ้นบนเตียง พื้นเย็น เดี๋ยวนางจะไม่สบายได้”ไท่ชินอ๋องขบกรามกรอด…นี่ต่อหน้าเขายังห่วงใยกันขนาดนี้…ลับหลังเขาจะมิยิ่งกว่านี้หรอกหรือ! เสี่ยวฉีจื่อจะเข้าไปอุ้มจูอี๋เหนียงตามคำสั่งของหลี่ชิง ก็ถูกไท่ชินอ๋องตะคอก “ไม่ต้อง!”
หลี่ชิงให้อาเฟยนำข่าวดีไปบอกจูอี๋เหนียง…เด็กหนุ่มก็วิ่งไปยังเรือนของนางอย่างร่าเริง ได้พบกับสาวใช้ทั้งสองนางของจูอี๋เหนียงยืนอยู่หน้าเรือนด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “เจี่ยเจียทั้งสอง…กุ้ยหวางเฟยให้ข้ามาพบจูอี๋เหนียงเพื่อบอกข่าว” อาเฟยบอกกล่าว “ท่านอาเฟย…นายหญิงของพวกข้าไล่พวกข้าออกจากห้อง ขังตัวเองเอาไว้เพียงลำพัง บอกว่าไม่ต้องการพบผู้ใด” สาวใช้นางหนึ่งบอก “เจี่ยเจีย…ลองตบประตู บอกกล่าวว่ากุ้ยหวางเฟยมีข่าวถึงนาง นางต้องยอมให้พบแน่ๆ” อาเฟยเสนอสาวใช้ทั้งสองก็ทำตาม…แต่ตบประตูร้องบอกอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงขานรับ…อาเฟยรู้สึกไม่ถูกต้อง จึงบอก “เจี่ยเจีย พวกเราช่วยกันพังประตูเข้าไป” แล้วทั้งสามก็รวมพลังกันกระแทกประตู พอประตูเปิดผัวะ…ก็เห็นจูอี๋เหนียงกำลังจะผูกคอตาย ทั้งสามรีบเข้าไปห้าม ประคองนางลงจากโต๊ะที่ปีนขึ้นไปจะผูกคอตาย พอเอาตัวลงมานั่งที่เตียงนอนเรียบร้อย อาเฟยก็รีบบอกว่า “จูอี๋เหนียง ท่านอย่าได้คิดสั้นเลย กุ้ยหวางเฟยของข้าน้อย เรียนท่านอ๋องเรื่องที่ท่านต้องการจะลาออกจากการเป็นอี๋เหนียงแล้ว ท่านอ๋องก็อนุญาต และจะเขียนหนังสือหย่าให้ท่านด้วย ทั้งยังอนุญาต
พอส่งจูเยี่ยนหลีขึ้นรถม้าเรียบร้อย และรถม้าที่นางกับสาวใช้นั่ง ติดตามด้วยขบวนรถม้าขนสัมภาระข้าวของจากไปแล้ว…หยวนอี๋เหนียงกับเหมยอี๋เหนียงก็เดินตามกันไปที่เรือนพักของเหมยอี๋เหนียง “เจียวเจียว” เหมยอี๋เหนียงเอ่ยขึ้น หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงเคียงกันที่โต๊ะน้ำชา ในห้องโถงรับรองของเรือนพัก “ข้าเห็นเยี่ยนหลีได้ออกไปอย่างปลอดภัยเช่นนี้แล้ว ข้าก็อยากออกไปบ้าง…ในตอนแรกที่ได้มาเป็นอี๋เหนียงของไท่ชินอ๋อง ข้านึกว่าตนเองโชคดีมาก ได้สามีที่สูงศักดิ์ หนุ่มแน่น ซ้ำยังสง่างามยิ่ง…แต่คิดไม่ถึงว่าชีวิตการเป็นอี๋เหนียงช่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว อยู่มาเกือบห้าปี ข้าได้รับใช้ไท่ชินอ๋องไม่ถึงห้าครั้ง ซ้ำร้ายแต่ละครั้ง หลังจากรับใช้ไท่ชินอ๋องแล้ว ก็จะถูกพระชายาเรียกไปด่าว่า และให้ดื่มยาป้องกันการตั้งครรภ์” “ข้าก็เช่นเดียวกันกับเจ้า” หยวนเจียวเจียวถอนหายใจ “ยิ่งพวกเราสองคนลักลอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน หากวันใดถูกจับได้ คงต้องถูกโบยจนตายเป็นแน่” “พวกเราลองขอให้กุ้ยหวางเฟยช่วยดีไหม?” เหมยอิงเถาเสนอความเห็น “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่…” หยวนเจียวเจียวกล่าว “คงรีบร้อนนักไม่ได้…อย่างน้อยก็ต้องร
ไท่ชินอ๋องนิ่งอึ้งไปเป็นครู่ใหญ่…ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างไรชอบกล” ใช่…เมียคนหนึ่งมีชู้ เมียอีกสองคนรักกันเอง “ชิงชิง…เจ้าคิดว่า ข้าควรจะทำอย่างไรดี?” “ให้ข้าน้อยออกความเห็นหรือขอรับ?” “อืม…” “ความเห็นของข้าน้อยอาจจะไม่ถูกใจท่านอ๋อง” “ไม่เป็นไร…เจ้าจะมีความเห็นอย่างไร ข้าก็ไม่ถือโทษเจ้า” “เช่นนั้น...ข้าน้อยขอกล่าวตามตรงว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะท่านอ๋องทำหน้าที่สามีไม่สมบูรณ์ ท่านอ๋องปล่อยให้พวกนางว้าเหว่...ถ้าท่านอ๋องไม่ต้องการให้พวกนางจากไป ท่านอ๋องจะต้องทำอย่างไรบ้าง ข้าน้อยคงไม่ต้องบอก” “ความหมายของเจ้าคือ...ข้าทำหน้าที่สามีบกพร่อง” “มิกล้า” แม้ปากบอกมิกล้า แต่ในใจตอบว่า...ใช่ “ข้าเหน็ดเหนื่อยกับราชกิจทุกวี่ทุกวัน” ไท่ชินอ๋องทำเสียงโอดครวญ “ไม่ใช่ข้ออ้างขอรับ...ท่านอ๋องคึกคักใส่ข้าน้อยได้ทุกคืน” “นั่นเพราะเจ้าทำให้ข้าเกิดอารมณ์” ไท่ชินอ๋องเอ่ยพลางโถมกายเข้าใส่ร่างบอบบาง “เจ้าต้องรับผิดชอบด้วย” “พวกเรายังสนทนาเรื่องอี๋เหนียงทั้งสองไม่เสร็จนะขอรับ” หลี่ชิงทักท้วง “เอ
ที่ตำหนักพระชายา... พระชายาฟางหมิงซินครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหัวเตียง ฟังสาวใช้รายงาน "เหมยอี๋เหนียงและหยวนอี๋เหนียง ล้วนถูกกุ้ยหวางเฟยขับไล่ออกจากจวนเจ้าค่ะ" "ถึงกับขับไล่ออกจากจวนเชียวหรือ? เรื่องราวเป็นเช่นไร เล่ามาให้ข้าฟังโดยละเอียดทีซิ" พระชายาฟางหมิงซินสั่ง สาวใช้นางนั้นก็เล่าว่า "วันนี้เหมยอี้เหนียงกับหยวนอี๋เหนียงไปคารวะน้ำชาถามไถ่ตามธรรมเนียม อยู่ๆ กุ้ยหวางเฟยก็โมโหขึ้นมา หาว่าพวกนางรินน้ำชาเย็นชืดให้เขา มีเจตนาทำให้เขาเจ็บป่วย จึงตบตีพวกนางแล้วให้คนรับใช้ขับไล่พวกนางออกไปจากจวน โดยไม่ไยดีว่าพวกนางจะร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนอย่างไรเจ้าค่ะ" "พวกเจ้าเห็นหรือยัง ว่าเขาเพียงเสแสร้งให้ดูเป็นคนดี ที่แท้นั้นใจแคบ ขี้อิจฉาริษยา ข่มเหงรังแกผู้น้อย" พระชายาฟางหมิงซินกล่าวเสียงเค้นๆ "แต่ก่อน...ข้าเพียงแค่เรียกอี๋เหนียงมาสั่งสอน พวกนางก็ลอบนินทาข้าว่า ใจไม้ไส้ระกำ...เดี๋ยวนี้เป็นเช่นไรละ อี๋เหนียงทั้งสามล้วนถูกเขากำจัดหมดสิ้นในเวลาห่างกันไม่ถึงครึ่งเดือน" "ใช่แล้วเจ้าค่ะ...พระชายาจิตใจดีงามยิ่งนักแล้ว เป็นพวกอี๋เหนียงเองไม่รู้จักคุณค่า ทำกระด้างกระเดื่องต่อพระชายา
เวลาสายของวันถัดมา... หลิวกงกงกับพ่อบ้านเจามาพบพระชายาฟางหมิงซินที่ตำหนักพระชายานางนั่งวางท่าสง่าอยู่บนเก้าอี้บุนวมที่ทำเป็นพิเศษให้นั่งสบายในห้องโถงพักผ่อนของตำหนัก "คารวะพระชายา" หลิวกงกงน้อมคำนับแล้วกล่าวต่อว่า "ไท่ชินอ๋องเห็นว่าสุขภาพของพระชายามิใคร่ดีนัก จึงประทานตำหนักแห่งใหม่ที่สวยงามให้...เชิญพระชายาไปพำนักอยู่ตั้งแต่บัดนี้ขอรับ" "ให้ข้าไปอยู่ที่ตำหนักแห่งใหม่?" พระชายาฟางหมิงซินถาม "ขอรับ" หลิวกงกงน้อมกายรับคำ "ตำหนักแห่งใหม่เป็นตำหนักใด...ตำหนักสุขสันต์ หรือตำหนักวสันต์?" "มิใช่ขอรับ" หลิวกงกงน้อมกายตอบ "แล้วตำหนักแห่งใหม่ของข้าอยู่ตรงส่วนใดของจวน?" นางถามอีก "หามิได้ขอรับ...ตำหนักแห่งใหม่อยู่นอกเมืองขอรับ" พ่อบ้านเขาเป็นผู้ตอบ "หา..." นางอุทาน ตามมาด้วยกรีดเสียงแหลม "นี่ท่านอ๋องจะขับไล่ข้าหรือ? ข้าไม่ยอม...เป็นตายอย่างไร ข้าก็ไม่ไป" "พระชายาต้องไปขอรับ" หลิวกงกงเอ่ยเสียงเรียบ "เป็นคำสั่งของไท่ชินอ๋อง...หากพระชายาขัดขืน จะมีความผิดฐานไม่เชื่อฟังสามี มีโทษถึงขั้นถูกปลดจากตำแหน่งพระชายาได้นะขอรับ" "ต้องเป็นมันแน่ๆ...ต้องเ
พอไท่ชินอ๋องอุ้มกุ้ยหวางเฟยออกไปจากห้องโถงจัดเลี้ยงแล้ว...ไทเฮาเจียงซู่จิ่นก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า "ข้าเองก็รู้สึกว่าจะเมานิดหน่อยแล้วเหมือนกัน ขอเสียมารยาทขอตัวก่อน แต่ทุกท่านจงสนุกกันต่อ และขอฝากท่านอ๋องสามช่วยเป็นดูแลงานเลี้ยงต่อด้วย" "พ่ะย่ะค่ะ" อ๋องสามลุกขึ้นน้อมรับคำ ไทเฮาก็ให้นางกำนัลประคองออกจากห้องโถงจัดเลี้ยง ท่ามกลางเสียง "น้อมส่งไท่เฮาๆๆๆๆๆ..."พอออกจากห้องโถงจัดเลี้ยงมาขึ้นเกี้ยว...อาการคล้ายจะเมามายของไทเฮาก็หายเป็นปลิดทิ้ง นางกำมือแน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน "พวกบุรุษหน้าโง่...เจ้าเด็กนั่นต่อให้สวยงามเพียงใด ก็เป็นเพียงบุรุษ ไม่อาจทำให้งอกเงยผลิดอกออกผลได้หรอก!" เช้าวันรุ่งขึ้น...ที่ตำหนักใหญ่จวนไท่ชินอ๋อง หลี่ชิงตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนศีรษะเล็กน้อย...มือหนาใหญ่อังที่หน้าผากมน แล้วถามว่า "รู้สึกอย่างไรบ้าง?" "มึนงงนิดหน่อยขอรับ" "ถ้าเช่นนั้น...ดื่มน้ำแกงสร่างเมาแล้วนอนพักต่อ วันนี้ไม่ต้องเรียนสักวันหนึ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าว "ไม่ได้ขอรับ เดี๋ยวอาเฟยจะไม่มีเพื่อนเรียน" แต่พอถึงเวลาเรียน... เหล่าซือกั
ไท่ชินอ๋องสั่งซื้อเครื่องสำอางอย่างดีเลิศมาให้หลี่ชิง...เด็กหนุ่มก็ให้คนรับใช้ส่งไปให้มารดาส่วนหนึ่ง โดยให้อาเฟยถือจดหมายไปให้มารดาด้วย อาเฟยนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังลา มีบ่าวรับใช้ชายร่างกายแข็งแรงเป็นผู้จูง และมีบ่าวรับใช้ชายร่างกายแข็งแรงอีกสองคนหิ้วตะกร้าใส่ของเดินตามหลัง พอไปถึงจวนอำมาตย์หลี่ไฉ ก็พบกับหลี่จุ้นบุตรชายคนโตของอำมาตย์หลี่ไฉกำลังจะออกจากบ้านไปบ่อนพนันด้วยสีหน้าดำคร่ำเครียด "เจ้ายังจะไปอีก เจ้าล้างผลาญยังไม่พอหรือ?" เสียงฟูเหรินใหญ่ตะโกนไล่หลัง "ท่านแม่ ข้าจะไปถอนทุนคืน ท่านอย่าทำให้ข้าซวยได้ไหม?" หลี่จุ้นตะโกนตอบ แล้วจ้ำอ้าวออกจากประตูรั้ว จนเกือบจะชนกับอาเฟย เขามองอาเฟยด้วยสายตาเหยียดหยาม แล้วถ่มน้ำลายลงพื้น "เป็นแค่เด็กรับใช้ ทำเป็นผยอง" แล้วเดินจากไป ส่วนฟูเหรินใหญ่พอเห็นอาเฟยแวบๆ ก็รีบหลบ เพราะกลัวอาเฟยจะรีดไถเงินอีก อาเฟยทำแก้มป่อง บอกกับคนเปิดปิดประตูว่า "กุ้ยหวางเฟยให้ข้ามาหาซูฟูเหริน" แล้วยืดอกเดินเข้าประตูรั้วไปอย่างผู้ชำนาญทาง ฟูเหรินใหญ่ไปหาฟูเหรินผู้เฒ่าที่ห้องพระ "ท่านย่า...ข้าละกลุ้มใจจริงๆ ไม่ว่าพูดอย่างไร อ
"ดังนั้น...ข้ามีทางเลือกสามทาง คือ...หนึ่ง ปฏิเสธองค์ชายสาม สองรับองค์ชายสามเอาไว้ แล้วจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากันอีกที อาจจะนำไปขังไว้ในคุก หรือกักบริเวณไว้ที่เรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "แต่ข้าเลือกวิธีที่สาม ส่งเขากลับไปเป็นหอกทิ่มแทงองค์ชายใหญ่หลี่เผิง และใช้โอกาสนี้กวาดล้างตระกูลเฉาที่หนีเล็ดลอดไปภักดีต่อซีเป่ยด้วย" "ท่านอ๋องมั่นใจหรือว่าองค์ชายสามอ้ายหยางจะกลับซีเป่ยไปกำจัดเฉาฮั่น?" หลี่ชิงถาม "ยิ่งกว่ามั่นใจเสียอีก...เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว เฉาฮั่นสนับสนุนองค์ชายใหญ่ ช่วยวางแผนการกำจัดองค์ชายสาม เมื่อองค์ชายสามสามารถกลับไปยังซีเป่ย ก็ต้องจัดการกับเฉาฮั่นและครอบครัวเป็นอันดับแรก" หลี่ชิงพยักหน้าเห็นด้วย "แต่นั่น...องค์ชายสามจะต้องกลับให้ถึงเมืองหลวงของแคว้นซีเป่ยเสียก่อน" "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าองค์ชายสามอาจจะกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของแคว้นตนเองหรือ?" หลี่ชิงเอ่ยถาม ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงร่างบอบบางไปกอดเอาไว้ แล้วย้อนถามว่า "ถ้าเจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าจะทำอย่างไร หากคนของตนในคณะทูตส่งข่าวว่า องค์ชายสามกำลังจ
องค์ชายสามอ้ายหยางหน้าเปลี่ยนสี"พระบิดาและพี่ชายของเจ้ามั่นใจมากหรือว่าเจ้าจะครอบครองหนานหยางได้สำเร็จ?" ไท่ชินอ๋องกล่าวชัดถ้อยชัดคำ "ท่านอ๋อง...ท่านกล่าวอันใด ข้าน้อยมิรู้เรื่อง" องค์ชายสามอ้ายหยางยังพยายามจะปฏิเสธ "องค์ชาย..." ไท่ชินอ๋องเรียกเสียงหนักๆ "มีสารลับจากซีเป่ยถึงข้า บอกว่า...กวางตัวงามมาถึงปาก เคี้ยวเล่นสักเดือนสองเดือนแล้วฆ่าทิ้ง ก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไร....เจ้าลองคิดดู ถ้าข้ารับเจ้าเป็นพระชายา เล่นสนุกสักเดือนสองเดือน แล้วประกาศว่าเจ้าป่วยตาย...พระบิดาและพี่ชายของเจ้าจะยกทัพมาแก้แค้นให้เจ้าหรือไม่?" องค์ชายสามอ้ายหยางขบริมฝีปากจนเลือดซิบ "การตายของเจ้า...พระบิดาของเจ้าอาจจะเสียใจอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่มากพอที่จะยกทัพมาล้างแค้นให้กับเจ้า...ส่วนพี่ชายของเจ้านั้น เขาคงโล่งใจจนอยากจะหัวเราะเสียงดังๆ เสียด้วยซ้ำ" "ความหมายของท่านอ๋องคือ...?" องค์ชายสามอ้ายหยางเอ่ยถามเสียงเบา "อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า อย่าตะเกียกตะกายให้ลำบากเลย...ส่วนอะไรที่สมควรเป็นของเจ้า ไยจึงไม่ไขว่คว้า...เจ้าทิ้งซีเป่ยมาคว้าหนานหยางมิเป็นการทิ้งของในกำมือไปไขว่คว้าเงาหรอกหรื
เช้าวันรุ่งขึ้น...คณะทูตเข้าพบไท่ชินอ๋องที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ท่านทูตน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างแคว้นซีเป่ยกับแคว้นหนานหยาง...ทางซีเป่ยจึงขอมอบองค์ชายสามอ้ายหยางให้เป็นพระชายาของไท่ชินอ๋อง หวังว่าไท่ชินอ๋องและไท่หวางเฟยจะยินดีต้อนรับองค์ชายแห่งซีเป่ยขอรับ" หลี่ชิงนึกไม่ถึงว่า...อีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ พอชิงตำแหน่งไท่หวางเฟยไม่ได้ ก็ยอมเป็นน้อยเพื่อเข้ามาอยู่วงใน...เจตนาไม่ดีชัดๆ แต่เขาอยู่ในฐานะที่พูดอะไรก็มีแต่เสีย...เพราะทุกคนจะลงความเห็นเป็นว่า เขาใจแคบหึงหวง ไม่สมกับเป็นไท่หวางเฟย! ทว่าเขามั่นใจว่า...ไท่ชินอ๋องก็ต้องดูออกเช่นกัน ...จึงลอบชำเลืองมองผู้เป็นสามี ไท่ชินอ๋องมีสีหน้ายิ้มแย้ม ตอบว่า"เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด...เพียงแต่ข้าต้องการจะสนทนากับองค์ชายสามอ้ายหยางตามลำพังสักครู่หนึ่ง ขอให้ทุกท่านรออยู่ที่นี้" ว่าแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเดินมาจูงมือหลี่ชิงไปด้วย ทั้งสามเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว "ไท่ชินอ๋องมิใช่ว่าจะสนทนากับข้าน้อยตามลำพังหรอกหรือ?" องค์ชายสามอ้ายหยางกล่าวถาม พลาง
หลังจากองค์ชายสามอ้ายหยางกับท่านทูตจากแคว้นซีเป่ยแยกไปแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็พาทุกคนกลับพระราชวังแล้วไท่ชินอ๋องได้พาหลี่ชิงไปยังห้องทำงานสำคัญที่แยกต่างหากจากห้องทำงานที่ใช้พิจารณาฎีกา ห้องนี้หลี่ชิงเพิ่งจะได้เข้ามาเป็นครั้งแรก อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ห้องตกแต่งเรียบหรูด้วยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่หลังโต๊ะ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นั่งของไท่ชินอ๋องพอหลี่ชิงถูกจูงมือเข้ามาด้วย...ราชองครักษ์ก็จัดแจงยกเก้าอี้ที่มีพนักและเท้าแขนมาตั้งข้างๆ เก้าอี้ของไท่ชินอ๋องให้หลี่ชิงนั่ง และยกอีกตัวมาให้อ๋องสี่นั่ง เมื่อทั้งสามคนสำคัญนั่งลงเรียบร้อย...หวังกงกงก็ประสานมือน้อมคำนับ "คารวะไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟย และท่านอ๋องสี่" "ไม่ต้องมากพิธี" ไท่ชินอ๋องเอ่ย "หวังเสียงได้ความว่าอย่างไร เล่ามาซิ" "ขอรับ" หวังกงกงรับคำ แล้วรายงานว่า "เรื่องที่องค์ชายสามอ้ายหยางมาที่แคว้นหนานหยางมีเบื้องหลังเกิดจากคนขายชาติขอรับ คนผู้นั้นก็คือเฉาฮั่นน้องชายของเฉาฮั่ว และเป็นอาของเฉาฉุน...เฉาฮั่นพาครอบครัวตระกูลเฉาที่เหลือไปอยู่ที่ซีเป่ย เขามีสหายอยู่ที่นั่น สหายของเขาเป็นขุนนางยศสูงพอส
หลังจากกินอาหารเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็เอ่ยชวนหลี่ชิงว่า "ชิงชิง...เดี๋ยวพวกเราไปเดินเที่ยวเล่นชมตลาดกันดีกว่า" "ขอรับ" หลี่ชิงรับคำเบาๆ "เชิญองค์ชายสามและท่านทูตด้วย" ไท่ชินอ๋องออกปากชวนผู้เป็นแขกบ้านแขกเมือง องค์ชายสามอ้ายหยางเริ่มไม่ค่อยไว้วางใจในตัวไท่ชินอ๋องนัก ว่าจะเล่นงานอะไรเขาอีก จึงปฏิเสธว่า "ข้าน้อยมิชอบผู้คนเบียดเสียด ขอตัวกลับที่พักก่อนขอรับ" "เจ้ามิใช่บอกว่าชอบศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมของหนานหยางหรอกหรือ?" ไท่ชินอ๋องกล่าว "ข้าจึงใคร่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านพาเจ้าและท่านทูตชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวเมืองของหนานหยางที่แท้จริง มิใช่อ่านเพียงในตำหรับตำรา" ทำให้องค์ชายสามอ้ายหยางไม่อาจหลีกเลี่ยง "เช่นนั้น...ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" "มิใช่คำสั่งแต่เป็นคำเชิญ" ไท่ชินอ๋องแก้ แล้วจูงมือหลี่ชิงเดินออกจากเหลาสุราไปยังจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งคึกคักด้วยผู้คนและร้านรวงตลอดจนแผงค้าขาย โดยมีท่านทูต และองค์ชายสามจากซีเป่ย อ๋องสี่และพระชายาอาเฟย ติดตามมาด้วย ราชองครักษ์และทหารรักษาความปลอดภัยปะปนอยู่ในฝูงชน โดยไม่ได้ขับไล่หรือรบกวนกิจกรรมของชาวบ้านแต่อย่างไร เพร
องค์ชายสามอ้ายหยางรู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง...ให้เขาแข่งม้ากับเด็กจูงม้านะหรือ? ชนะก็ไม่ได้เกียรติอันใด แต่ถ้าแพ้จะต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น...เขาไม่มีวันแข่งขันกันคนชั้นต่ำแบบนั้นหรอก! จึงลงจากม้าแล้วเดินเข้าไปยังพลับพลา ค้อมศีรษะให้แก่ไท่ชินอ๋อง "น้อมเรียนไท่ชินอ๋อง หากไท่หวางเฟยหลี่ชิงไม่สะดวกที่จะร่วมสนุกกับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่สนใจจะร่วมแข่งขันกับผู้อื่นขอรับ" "น่าเสียดาย มาถึงสนามม้าทั้งที ถ้ามิได้ดูการแข่งม้าก็เสียรสชาติยิ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าว และสั่งราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า "สั่งลงไป...ให้จัดเด็กฝึกหัดเลี้ยงม้า มาแข่งขันกันให้ชมดูหน่อย" "ขอรับ" ราชองครักษ์น้อมรับคำ แล้วไปปฏิบัติ ส่วนองค์ชายสามอ้ายหยางนั้นกลับไปนั่งที่ของตน ซึ่งอยู่ในพลับพลาเดียวกันไม่ห่างนักเพียงครู่เดียว...เด็กอายุสิบสองสิบสามจำนวนสิบห้าคนต่างขี่ม้าตัวใหญ่ให้เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มแสดงการขี่ม้าแบบต่างๆ อย่างโลดโผน "ชิงชิง...เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ มีผู้ใดบ้างที่ขี่ม้าด้อยกว่าองค์ชายสาม?" ไท่ชินอ๋องกระซิบถามหลี่ชิงที่เขาโอบกอดไม่ปล่อย "หากเ
พอเสียงปรบมือซาลง...องค์ชายสามอ้ายหยางก็ค้อมคำนับให้แก่ไท่ชินอ๋อง แล้วกล่าว "ข้าน้อยด้อยฝีมือทางอักษรศาสตร์ ทำขายหน้าต่อหน้าไท่ชินอ๋องแล้ว" พระชายาอาเฟยได้ยินได้แต่ขบฟัน...เจ้าเสมอกับเกอเกอของข้า เจ้าบอกว่าขายหน้า อย่างนี้ก็หมายความว่า เกอเกอของข้าก็ต้องขายหน้าด้วยนะสิ...ข้าโมโหยิ่งนัก อยากเอาฝุ่นสกปรกริมทางเดินมาใส่ในน้ำชาให้เจ้ากินยิ่งนัก! "อาเฟย...สายตาประสงค์ร้ายของเจ้าโจ่งแจ้งมากเกินไป" อ๋องสี่กระซิบบอกพระชายาของตน "เก็บอาการหน่อย" "ช่างข้า" พระชายาอาเฟยเสียงสะบัด "ไม่สนับสนุนข้าก็เฉยไปเลย ไม่ต้องมาซ้ำเติมข้า... จะอย่างไร องค์ชายเทียนเป่าก็เข้าใจข้ามากที่สุด" ก็เจ้าทั้งสองคนมันเด็กเมื่อวานซืนเหมือนกันนี่...อ๋องสี่คิดในใจ องค์ชายสามอ้ายหยางคลี่ยิ้มเย้ายวนใจแล้วกล่าวต่อ "แต่ข้าน้อยยังใคร่ขอโอกาสขอการชี้แนะทางดนตรีจากไท่หวางเฟยหลี่ชิงสักครั้ง" แล้วหันไปทางไท่หวางเฟยหลี่ชิงพลางค้อมศีรษะให้ "หวังว่าไท่หวางเฟยจะไม่ปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยนี้นะขอรับ" "ชิงชิง...ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ" ไท่ชินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ทว่าหนักแน่นหลี่ชิงมอง
องค์ชายสามอ้ายหยางเม้มปากนิดหนึ่ง แล้วหันมายิ้มให้แก่ไท่หวางเฟยหลี่ชิงอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "ข้าได้ยินกิตติศัพท์อันโด่งดังของไท่หวางเฟยหลี่ชิงว่า...มีความสามารถจนได้รับการยกเว้นจากกฎมนเทียรบาลที่ห้ามมิให้ฝ่ายในเกี่ยวข้องกับราชกิจ ไท่หวางเฟยจึงสามารถช่วยไท่ชินอ๋องอ่านฎีกาได้ ความรู้ความสามารถของไท่หวางเฟยย่อมต้องมีมากล้น ข้าขอบังอาจขอศึกษาจากท่านสักเล็กน้อย เพราะข้านั้นมีความรักในภาษาและวัฒนธรรมของหนานหยางยิ่งนัก หากได้รับการชี้แนะจากไท่หวางเฟยบ้าง นับว่าเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก""องค์ชายกล่าวยกย่องเกินไป" หลี่ชิงได้แต่ตอบตามแบบแผน เพราะอีกฝ่ายไล่ต้อนด้วยคำพูดที่ฟังดูอ่อนหวาน ทว่าเคลือบอาบด้วยยาพิษ "ความรู้ของข้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น""ข้าเองก็มีความรู้เพียงหางอึ่ง...แต่ใคร่ขอแลกเปลี่ยนความรู้กับท่าน หวังว่าท่านจะให้เกียรติ" องค์ชายสามอ้ายหยางยังคงยืนกราน"เช่นนั้น...นับถือมิสู้ทำตาม" หลี่ชิงจำต้องรับปากในที่สุดเจ้ากรมพิธีการเห็นไท่ชินอ๋องมิได้คัดค้านอันใด ก็สั่งให้ยกโต๊ะเก้าอี้และกระดาษพร้อมเครื่องเขียนมาให้ไท่หวางเฟยหลี่ชิงกับองค์ชายสามอ้ายหยางคนละชุดอาเฟยเอียงต
ที่ท้องพระโรง...ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟยหลี่ชิง มหาเสนาบดีอ๋องสี่ และพระชายาอาเฟย ล้วนนั่งประจำตำแหน่งเพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย เพียงแต่ฮ่องเต้น้อยมิได้เสด็จเนื่องเพราะเมื่อวานอากาศร้อน ฮ่องเต้น้อยจึงทรงเล่นน้ำนานไปหน่อย เมื่อเช้าก็เลยพระวรกายร้อน มีไข้เล็กน้อยไท่ชินอ๋องสั่งให้หมอหลวงมาดูพระอาการ แล้วให้หลานกงกงดูแลฮ่องเต้น้อยพักผ่อน และสั่งเด็ดขาด...ห้ามซนเล่นน้ำอย่างเมื่อวานอีก!ดังนั้น...ฮ่องเต้น้อยจึงมิได้ออกนั่งบัลลังก์ว่าราชการคณะทูตแคว้นซีเป่ยนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่แคว้นหนานหยางตามธรรมเนียม เพราะเมื่อเจ็ดปีก่อนไท่ชินอ๋องได้กรีฑาทัพไปปราบแคว้นซีเป่ย และปราบสำเร็จเมื่อสี่ปีที่แล้ว นับจากนั้นแคว้นซีเป่ยก็ส่งบรรณาการมาให้แก่แคว้นหนานหยางเป็นประจำทุกปีแต่ปีนี้พิเศษ...เพราะคณะทูตที่คุมเครื่องบรรณาการมาด้วยเป็นคณะใหญ่เต็มยศ"ข้าในนามของแคว้นหนานหยางยินดีต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย" ไท่ชินอ๋องกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ"พวกข้าน้อยในนามของคณะทูตจากแคว้นซีเป่ยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง" หัวหน้าคณะทูตน้อมคำนับพลางกล่าว "ปีนี้นอกจากของบรรณาการตามธรรมเนี