"ท่านแม่ยาย...นี่คือหนังสือหย่าที่หลี่ไฉเขียนให้กับท่าน" ไท่ชินอ๋องยื่นส่งซองหนังสือสำคัญให้กับซูไห่ถัง ที่นั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับบุตรชายในห้องโถงพักผ่อน...ช่วงก่อนเวลาอาหารเย็น "ขอบคุณ ท่านอ๋อง" ซูไห่ถังรับซองหนังสือสำคัญมาเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ(เสื้อจีนโบราณจะเย็บกระเป๋าไว้ด้านในแขนเสื้อหรืออกเสื้อ) "ลำบากท่านอ๋องแล้ว" ไท่ชินอ๋องนั่งลงข้างหลี่ชิง ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า "ไม่ลำบาก ข้าแค่เกลี้ยกล่อมเขาเล็กน้อยเท่านั้น..." โดยมิได้อธิบายรายละเอียดของการเกลี้ยกล่อม ที่เริ่มจาก ลากตัวคนในครอบครัวของหลี่ไฉออกมารัดนิ้วทีละคน คนแรกคือ...หลี่จุ้นบุตรชายคนโต เสียงร้องโหยหวนของหลี่จุ้นดังก้องคุกคุมขังเพราะแม้ทัณฑ์รัดนิ้วจะไม่ได้ทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่ความเจ็บปวดทรมานนั้นเหนือคณานับ ต่อจากหลี่จุ้นก็เป็นอวี้ฮวา จินฮวา ฟูเหรินใหญ่ พอมาถึงฟูเหรินผู้เฒ่า...หลี่ไฉจึงยอมจำนน เขียนคำสารภาพเรื่องราวที่ตระกูลเฉาสมคบคิดแผนการร้ายกับอ๋องสามอย่างไร และตนมีส่วนร่วมอย่างไรบ้างออกมา และเขียนหนังสือหย่าให้แก่ซูไห่ถัง แต่ไท่ชินอ๋องยังคงสั่งหวังกงกงให้ตีขาหลี่จุ้นให้หัก เป็นการเอาคืนให
หลิวกงกงได้รับคำสั่งจากไท่ชินอ๋อง ให้ประมูลซื้อจวนตระกูลหลี่ที่ถูกขายทอดตลาดขึ้นมา และปรับปรุงตกแต่งใหม่หมด จัดซื้อสาวใช้และบ่าวรับใช้ และส่งบ่าวจากจวนไท่ชินอ๋องไปเป็นพ่อบ้าน เปลี่ยนชื่อจวนจากจวนตระกูลหลี่ เป็นจวนซูฟูเหริน แล้วจึงให้พาซูไห่ถังกลับไป คืนนั้น...หลี่ชิงนั่งซึม น้ำตาไหล ไท่ชินอ๋องโอบกอดร่างบอบบางเอาไว้ ถามเสียงอ่อนโยนว่า "คิดถึงท่านแม่หรือ?" "ขอรับ" หลี่ชิงรับตรงๆ "ข้าน้อยอยากให้แม่อยู่กับข้าน้อยที่นี่" ไท่ชินอ๋องหอมแก้มนุ่ม แล้วกล่าวว่า "ข้าเข้าใจ ...แต่มันไม่เหมาะสม" "เพราะเหตุใดขอรับ?" "ท่านแม่ของเจ้ามีอายุมากกว่าข้าเพียงห้าหกปี นางยังสาวอยู่มาก จะถูกติฉินนินทาได้" ไท่ชินอ๋องพูดเพียงเท่านี้ หลี่ชิงก็เข้าใจ...เด็กหนุ่มพยักหน้า ยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตา "ท่านอ๋องมองการณ์ไกล ข้าน้อยคิดตื้นๆ" "เอาละ...ข้าอนุญาตให้เจ้าไปเยี่ยมท่านแม่ได้บ่อยๆ" "ให้ข้าน้อยออกจากจวนได้หรือขอรับ?" หลี่ชิงถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหู "ถูกต้อง...แต่ต้องพาขันทีคนสนิทไปด้วยทั้งหมด" "ขอบคุณมากขอรับ" หลี่ชิงดีใจจนแทบจะโห่ร้องออกมา "ขอบคุณเฉยๆ ด้วยป
ด้วยความกลัวตาย...เซี่ยฉงโขกศีรษะร่ำร้องแต่ว่า "ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วยๆๆ..." "ให้ข้าไว้ชีวิตเจ้านั้นไม่ยาก แต่เจ้าจะต้องสารภาพเบื้องหลังเรื่องครั้งนี้ออกมาให้หมด" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "ขอรับ" เซี่ยฉงรับคำอย่างหวาดกลัว "ข้าน้อยเป็นคนเสเพลขอรับ ชอบกินชอบเที่ยวชอบดื่ม มิได้ทำมาหากินอะไร ทรัพย์สินเงินทองที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้ก็ใช้จวนหมด เมื่อเจ็ดวันก่อนท่านอำมาตย์ฟางเหยียนเจ้ากรมพิธีการ ให้คนนำข้าน้อยไปพบ และสั่งให้ข้าน้อยมาฟ้องร้องกุ้ยหวางเฟยว่าเป็นบุตรของข้าน้อย ไม่ว่าข้าน้อยจะทำสำเร็จหรือไม่ เขาก็จะให้เงินข้าน้อยสิบหมื่นตำลึงขอรับ" "แล้วเงินค่าธรรมเนียมวางศาลล่ะ เจ้าเอามาจากไหน?" ใต้เท้าจิน ผู้พิพากษาถามขึ้นเพราะค่าธรรมเนียมวางศาลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผู้ถูกฟ้องร้อง...ครั้งนี้ฟ้องถึงกุ้ยหวางเฟย ค่าธรรมเนียมวางศาลจึงสูงมาก! "เป็นเงินของท่านอำมาตย์ฟางเหยียนขอรับ ...เงินร้อยหมื่นตำลึงทอง แม้แต่เศรษฐียังน้อยคนนักจะหามาได้ ถ้าข้าน้อยมีเงินมากขนาดนั้น ข้าน้อยคงไม่หาเรื่องใส่ตัวมาฟ้องร้องกุ้ยหวางเฟยหรอกขอรับ""เพราะเหตุใดใต้เท้าฟาง(อำมาตย์ฟางเหยียน)จึ
ไท่ชินอ๋องนำรายชื่อของบุรุษที่เคยร่วมหลับนอนกับซูไห่ถังทั้งหมดห้าคนส่งให้เซียวซานองครักษ์ขวา พร้อมกับคำสั่งว่า "เก็บอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และเผาหอคณิกาให้ไม่เหลือซากด้วย" "ขอรับ" เซียวซานน้อมรับคำ แล้วผละจากไป "หลิวยี่ ดูแลซูฟูเหริน อย่าให้นางคิดสั้น" "ขอรับ" หลิวกงกงน้อมรับคำสั่ง แล้วเข้าไปในห้องที่ซูไห่ถังพักอยู่ สั่งงานเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็ขึ้นม้าขี่กลับจวน ซูไห่ถังเห็นหลิวกงกงยังรั้งอยู่ ก็ถามว่า "กงกง ท่านมิได้กลับพร้อมไท่ชินอ๋องหรือ?" "ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยอยู่รับใช้ฟูเหรินซักพัก รอเรื่องคดีความผ่านพ้น ค่อยกลับไปจวนขอรับ" หลิวกงกงตอบ ซูไห่ถังรู้ว่า...ไท่ชินอ๋องเกรงว่าตนจะคิดสั้น จึงให้ขันทีผู้ใหญ่อย่างหลิวกงกงคอยประกบไว้ ไท่ชินอ๋องกลับถึงจวน...ก็เรียกเสี่ยวฉีจื่อมาสอบถาม "ชิงชิงเป็นอย่างไรบ้าง?" "กุ้ยหวางเฟยกินอาหารไม่ลงขอรับ กินได้เพียงสองคำก็ไม่ยอมกิน ไม่ว่าพวกบ่าวจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ก็เอาแต่ส่ายหน้า" "อืม..." ไท่ชินอ๋องทำเสียงรับรู้ แล้วสั่ง "ให้ห้องครัวตั้งโต๊ะ เดี๋ยวข้าป้อนกุ้ยหวางเฟยเอง" "ขอรับ" เสี่ยวฉีจื่อรับ
"จะอย่างไร...เด็กคนนี้ต่อไปเติบโตขึ้นจะได้มีความเกรงใจกตัญญูต่อไทเฮา" มหาเสนาบดีเจียงผิงกล่าวต่อ "ท่านพ่อคิดว่าสมควรปล่อยให้เติบโตหรือ?" ไทเฮาย้อนถามกลับ "หากเขาเติบโตขึ้นและกุมอำนาจไว้ในมือได้ คิดว่าเขาจะปล่อยข้าหรือ?"มหาเสนาบดีเจียงผิงรู้ดีแก่ใจว่า...คำพูดของบุตรสาวนั้นมีทีท่าว่าจะกลายเป็นความจริงได้มากทีเดียว...หากฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้นแล้ว ได้รู้ความจริงว่า จางอวี้เหลียนมารดาแท้ๆ ของเขา ที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย(พระสนมเอก) ถูกฮองเฮาใส่ร้ายจนต้องขังในวังเย็น ซ้ำร้ายฮองเฮายังส่งคนไปเผาวังเย็นคลอกมารดาของเขาตายอย่างน่าอนาถ เท่านั้นยังไม่พอ...ฮองเฮายังวางยาฮ่องเต้ให้เหมือนป่วยตายเพราะความเศร้าเสียใจต่อการตายของสนมจางอวี้เหลียน...ครั้นพอฮ่องเต้น้อยได้ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียงหกเดือน ฮองเฮาได้เลื่อนขึ้นเป็นไทเฮา และด้วยการสนับสนุนของมหาเสนาบดีเจียงผิงผู้บิดา ได้นั่งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการร่วมกับไท่ชินอ๋อง นางยังถวายผ้าแพรขาว (สั่งให้ผูกคอตาย)ให้แก่ฮองไทเฮาอีกด้วย "ดังนั้น...ข้าต้องจัดการอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะเติบโต" ไทเฮาเอ่ยเรียบๆ "ไทเฮาหมายถึงเปลี่ยนผู้นั่งบ
ซูไห่ถังถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเล่าต่อไปว่า "พอแม่เติบโตเป็นสาว ซูมามาก็ติดต่อแม่สื่อให้หาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด เพื่อตบแต่งแม่ออกไป เศรษฐีที่กล้าสู้ราคาซูมามา เป็นชายชราอายุแปดสิบ เขาจะแต่งแม่ไปเป็นนางบำเรอ...แต่แม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดไม่ยอมแต่งให้เขา ซูมามาจึงวางยานอนหลับแม่ แล้วให้เขาเข้าหา แล้วบังคับแม่ให้ยอมแต่ง แม่ได้เสียตัวไปแล้ว จึงจำใจยอมแต่งตามที่ซูมามาต้องการ แต่ภรรยาเอกคนที่สอง(ภรรยาเอกคนแรกเสียชีวิต สามารถแต่งภรรยาเอกคนที่สอง ซึ่งจะมีสิทธิ์เท่าภรรยาเอกคนแรกทุกประการ)ของเขาพร้อมบุตรชายมาอาละวาดที่หอคณิกา จนงานแต่งครั้งนั้นต้องล้มเลิก แม่อยู่ในหอคณิกาต่อมา...ซูมามาก็ให้แม่รับแขกที่ร่ำรวย ที่สามารถประมูลตัวแม่ในราคาสูง หลังจากแม่รับแขก ซูมามาก็จะให้แม่กินยาป้องกันการตั้งครรภ์ แม่มองไม่เห็นอนาคตที่ดี นอกจากอยู่นานไปต้องกลายเป็นหญิงคณิการาคาถูกคาหอคณิกาเป็นแน่ ก็คิดจะหาทางแต่งงานกับบุรุษที่มีอนาคตสักคน ประกอบกับเวลานั้นได้พบกับหลี่ไฉที่เป็นขุนนางหนุ่มอนาคตไกล ยังหนุ่ม และหน้าตาดี แม่ก็หลงรักเขา เขาเองก็ชอบแม่ แม่ลอบให้เงินเขาให้ประมูลตัวแม่...หลังจากที่มีอะไ
คืนนั้น...ไท่ชินอ๋องกลับถึงจวนต้นยามจื่อ( 23.00 น ) จึงเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเข้าห้องนอน โดยไม่ได้ให้ขันทีคนสนิทติดตามเข้าไปด้วย ก็เห็น...หลี่ชิงนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา พอเห็นไท่ชินอ๋อง...หลี่ชิงก็ลุกขึ้นยืนน้อมคำนับ "คารวะท่านอ๋อง" "ดึกแล้ว...ทำไมเจ้าไม่เข้านอนละ ชิงชิง?" "ข้าน้อยรอท่านอ๋องอยู่" หลี่ชิงกล่าวพลางเข้าไปช่วยท่านอ๋องถอดเสื้อราชสำนักออก ไท่ชินอ๋องพอจะคาดเดาได้ว่า เด็กหนุ่มคงมีเรื่องต้องการจะพูด และต้องการจะพูดเรื่องอะไร...จึงกล่าวว่า "ข้าง่วงแล้ว ชิงชิง" "ขอเวลาให้ข้าน้อยประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นขอรับ" หลี่ชิงกล่าวต่อทันทีว่า "วันนี้ข้าน้อยได้สนทนากับมารดาแล้ว...มารดาของข้าน้อยเคยเป็นหญิงคณิกามาก่อนจริงๆ ถึงแม้บิดาของข้าน้อยจะไม่ใช่ผู้ฟ้องร้องคนนั้นก็ตาม แต่สักวันเรื่องนี้ก็ต้องถูกเปิดเผยจนได้ ซึ่งจะทำให้ท่านอ๋องชื่อเสียงมัวหมอง อีกประการหนึ่งท่านอ๋องก็ได้กวาดล้างตระกูลเฉาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เบี้ยอย่างข้าน้อยอีกต่อไป...ท่านอ๋องโปรดอนุญาตให้ข้าน้อยพามารดาไปจากเมืองหลวงด้วยขอรับ" ไท่ชินอ๋องดึงร่างบอบบางมาโอบกอดเอาไว้ แล้วก้มจู
วันต่อมา...ไท่ชินอ๋องพาหลี่ชิงไปร่วมงานประเพณีล่าสัตว์ ที่ทุ่งหญ้านอกกำแพงเมืองทิศเหนือ ไท่ชินอ๋อง อ๋องสาม อ๋องสี่ ล้วนขี่ม้าศึกตัวใหญ่ รวมทั้งแขกเมืองอย่างคณะทูตจากซีเซี่ยด้วย ส่วนไทเฮา กุ้ยหวางเฟย พระชายาอ๋องสามและฮ่องเต้น้อย นั่งเกี้ยวมา โดยหลานกงกงอุ้มฮ่องเต้น้อยเอาไว้ พวกท่านอ๋องกับคณะทูตและองครักษ์คนสนิทต่างสะพายธนูออกล่าสัตว์ ไทเฮา กุ้ยหวางเฟย พระชายาอ๋องสาม และฮ่องเต้น้อย พักอยู่ในกระโจม นั่งดื่มน้ำชา หลบแดด ฮ่องเต้น้อยวิ่งเล่นไปมาตามประสาเด็ก...อยู่ๆ ก็วิ่งมาเกาะตักของหลี่ชิง ส่งเสียงเล็กๆ ว่า "ผู้ใดอ่า ...ฉวยจัง" ไทเฮาที่นั่งอยู่ข้างๆ ค้อนให้อย่างไม่พอใจ หลานกงกงรีบเข้ามาจะอุ้มฮ่องเต้น้อยออกไป แต่ฮ่องเต้น้อยงอแงไม่ยินยอม...หลี่ชิงจึงอุ้มฮ่องเต้น้อยขึ้นมานั่งตัก ฮ่องเต้น้อยยื่นมือป้อมๆ มาแตะแก้มของหลี่ชิง เอ่ยแต่คำว่า "ฉวยจังๆ..." ไทเฮามองอย่างหงุดหงิดรำคาญ จึงลุกจากเก้าอี้มาดึงตัวฮ่องเต้น้อยส่งให้หลานกงกง แล้วสั่งว่า "พาฮ่องเต้ไปเล่นที่อื่นก่อน อย่าให้มารบกวนกุ้ยหวางเฟย" "พ่ะย่ะค่ะ" หลานกงกงลนลานรับคำ แล้วอุ้มฮ่องเต้น้อยออกไป แม้ฮ
"ดังนั้น...ข้ามีทางเลือกสามทาง คือ...หนึ่ง ปฏิเสธองค์ชายสาม สองรับองค์ชายสามเอาไว้ แล้วจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากันอีกที อาจจะนำไปขังไว้ในคุก หรือกักบริเวณไว้ที่เรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "แต่ข้าเลือกวิธีที่สาม ส่งเขากลับไปเป็นหอกทิ่มแทงองค์ชายใหญ่หลี่เผิง และใช้โอกาสนี้กวาดล้างตระกูลเฉาที่หนีเล็ดลอดไปภักดีต่อซีเป่ยด้วย" "ท่านอ๋องมั่นใจหรือว่าองค์ชายสามอ้ายหยางจะกลับซีเป่ยไปกำจัดเฉาฮั่น?" หลี่ชิงถาม "ยิ่งกว่ามั่นใจเสียอีก...เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว เฉาฮั่นสนับสนุนองค์ชายใหญ่ ช่วยวางแผนการกำจัดองค์ชายสาม เมื่อองค์ชายสามสามารถกลับไปยังซีเป่ย ก็ต้องจัดการกับเฉาฮั่นและครอบครัวเป็นอันดับแรก" หลี่ชิงพยักหน้าเห็นด้วย "แต่นั่น...องค์ชายสามจะต้องกลับให้ถึงเมืองหลวงของแคว้นซีเป่ยเสียก่อน" "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าองค์ชายสามอาจจะกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของแคว้นตนเองหรือ?" หลี่ชิงเอ่ยถาม ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงร่างบอบบางไปกอดเอาไว้ แล้วย้อนถามว่า "ถ้าเจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าจะทำอย่างไร หากคนของตนในคณะทูตส่งข่าวว่า องค์ชายสามกำลังจ
องค์ชายสามอ้ายหยางหน้าเปลี่ยนสี"พระบิดาและพี่ชายของเจ้ามั่นใจมากหรือว่าเจ้าจะครอบครองหนานหยางได้สำเร็จ?" ไท่ชินอ๋องกล่าวชัดถ้อยชัดคำ "ท่านอ๋อง...ท่านกล่าวอันใด ข้าน้อยมิรู้เรื่อง" องค์ชายสามอ้ายหยางยังพยายามจะปฏิเสธ "องค์ชาย..." ไท่ชินอ๋องเรียกเสียงหนักๆ "มีสารลับจากซีเป่ยถึงข้า บอกว่า...กวางตัวงามมาถึงปาก เคี้ยวเล่นสักเดือนสองเดือนแล้วฆ่าทิ้ง ก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไร....เจ้าลองคิดดู ถ้าข้ารับเจ้าเป็นพระชายา เล่นสนุกสักเดือนสองเดือน แล้วประกาศว่าเจ้าป่วยตาย...พระบิดาและพี่ชายของเจ้าจะยกทัพมาแก้แค้นให้เจ้าหรือไม่?" องค์ชายสามอ้ายหยางขบริมฝีปากจนเลือดซิบ "การตายของเจ้า...พระบิดาของเจ้าอาจจะเสียใจอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่มากพอที่จะยกทัพมาล้างแค้นให้กับเจ้า...ส่วนพี่ชายของเจ้านั้น เขาคงโล่งใจจนอยากจะหัวเราะเสียงดังๆ เสียด้วยซ้ำ" "ความหมายของท่านอ๋องคือ...?" องค์ชายสามอ้ายหยางเอ่ยถามเสียงเบา "อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า อย่าตะเกียกตะกายให้ลำบากเลย...ส่วนอะไรที่สมควรเป็นของเจ้า ไยจึงไม่ไขว่คว้า...เจ้าทิ้งซีเป่ยมาคว้าหนานหยางมิเป็นการทิ้งของในกำมือไปไขว่คว้าเงาหรอกหรื
เช้าวันรุ่งขึ้น...คณะทูตเข้าพบไท่ชินอ๋องที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ท่านทูตน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างแคว้นซีเป่ยกับแคว้นหนานหยาง...ทางซีเป่ยจึงขอมอบองค์ชายสามอ้ายหยางให้เป็นพระชายาของไท่ชินอ๋อง หวังว่าไท่ชินอ๋องและไท่หวางเฟยจะยินดีต้อนรับองค์ชายแห่งซีเป่ยขอรับ" หลี่ชิงนึกไม่ถึงว่า...อีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ พอชิงตำแหน่งไท่หวางเฟยไม่ได้ ก็ยอมเป็นน้อยเพื่อเข้ามาอยู่วงใน...เจตนาไม่ดีชัดๆ แต่เขาอยู่ในฐานะที่พูดอะไรก็มีแต่เสีย...เพราะทุกคนจะลงความเห็นเป็นว่า เขาใจแคบหึงหวง ไม่สมกับเป็นไท่หวางเฟย! ทว่าเขามั่นใจว่า...ไท่ชินอ๋องก็ต้องดูออกเช่นกัน ...จึงลอบชำเลืองมองผู้เป็นสามี ไท่ชินอ๋องมีสีหน้ายิ้มแย้ม ตอบว่า"เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด...เพียงแต่ข้าต้องการจะสนทนากับองค์ชายสามอ้ายหยางตามลำพังสักครู่หนึ่ง ขอให้ทุกท่านรออยู่ที่นี้" ว่าแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเดินมาจูงมือหลี่ชิงไปด้วย ทั้งสามเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว "ไท่ชินอ๋องมิใช่ว่าจะสนทนากับข้าน้อยตามลำพังหรอกหรือ?" องค์ชายสามอ้ายหยางกล่าวถาม พลาง
หลังจากองค์ชายสามอ้ายหยางกับท่านทูตจากแคว้นซีเป่ยแยกไปแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็พาทุกคนกลับพระราชวังแล้วไท่ชินอ๋องได้พาหลี่ชิงไปยังห้องทำงานสำคัญที่แยกต่างหากจากห้องทำงานที่ใช้พิจารณาฎีกา ห้องนี้หลี่ชิงเพิ่งจะได้เข้ามาเป็นครั้งแรก อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ห้องตกแต่งเรียบหรูด้วยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่หลังโต๊ะ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นั่งของไท่ชินอ๋องพอหลี่ชิงถูกจูงมือเข้ามาด้วย...ราชองครักษ์ก็จัดแจงยกเก้าอี้ที่มีพนักและเท้าแขนมาตั้งข้างๆ เก้าอี้ของไท่ชินอ๋องให้หลี่ชิงนั่ง และยกอีกตัวมาให้อ๋องสี่นั่ง เมื่อทั้งสามคนสำคัญนั่งลงเรียบร้อย...หวังกงกงก็ประสานมือน้อมคำนับ "คารวะไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟย และท่านอ๋องสี่" "ไม่ต้องมากพิธี" ไท่ชินอ๋องเอ่ย "หวังเสียงได้ความว่าอย่างไร เล่ามาซิ" "ขอรับ" หวังกงกงรับคำ แล้วรายงานว่า "เรื่องที่องค์ชายสามอ้ายหยางมาที่แคว้นหนานหยางมีเบื้องหลังเกิดจากคนขายชาติขอรับ คนผู้นั้นก็คือเฉาฮั่นน้องชายของเฉาฮั่ว และเป็นอาของเฉาฉุน...เฉาฮั่นพาครอบครัวตระกูลเฉาที่เหลือไปอยู่ที่ซีเป่ย เขามีสหายอยู่ที่นั่น สหายของเขาเป็นขุนนางยศสูงพอส
หลังจากกินอาหารเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็เอ่ยชวนหลี่ชิงว่า "ชิงชิง...เดี๋ยวพวกเราไปเดินเที่ยวเล่นชมตลาดกันดีกว่า" "ขอรับ" หลี่ชิงรับคำเบาๆ "เชิญองค์ชายสามและท่านทูตด้วย" ไท่ชินอ๋องออกปากชวนผู้เป็นแขกบ้านแขกเมือง องค์ชายสามอ้ายหยางเริ่มไม่ค่อยไว้วางใจในตัวไท่ชินอ๋องนัก ว่าจะเล่นงานอะไรเขาอีก จึงปฏิเสธว่า "ข้าน้อยมิชอบผู้คนเบียดเสียด ขอตัวกลับที่พักก่อนขอรับ" "เจ้ามิใช่บอกว่าชอบศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมของหนานหยางหรอกหรือ?" ไท่ชินอ๋องกล่าว "ข้าจึงใคร่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านพาเจ้าและท่านทูตชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวเมืองของหนานหยางที่แท้จริง มิใช่อ่านเพียงในตำหรับตำรา" ทำให้องค์ชายสามอ้ายหยางไม่อาจหลีกเลี่ยง "เช่นนั้น...ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" "มิใช่คำสั่งแต่เป็นคำเชิญ" ไท่ชินอ๋องแก้ แล้วจูงมือหลี่ชิงเดินออกจากเหลาสุราไปยังจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งคึกคักด้วยผู้คนและร้านรวงตลอดจนแผงค้าขาย โดยมีท่านทูต และองค์ชายสามจากซีเป่ย อ๋องสี่และพระชายาอาเฟย ติดตามมาด้วย ราชองครักษ์และทหารรักษาความปลอดภัยปะปนอยู่ในฝูงชน โดยไม่ได้ขับไล่หรือรบกวนกิจกรรมของชาวบ้านแต่อย่างไร เพร
องค์ชายสามอ้ายหยางรู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง...ให้เขาแข่งม้ากับเด็กจูงม้านะหรือ? ชนะก็ไม่ได้เกียรติอันใด แต่ถ้าแพ้จะต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น...เขาไม่มีวันแข่งขันกันคนชั้นต่ำแบบนั้นหรอก! จึงลงจากม้าแล้วเดินเข้าไปยังพลับพลา ค้อมศีรษะให้แก่ไท่ชินอ๋อง "น้อมเรียนไท่ชินอ๋อง หากไท่หวางเฟยหลี่ชิงไม่สะดวกที่จะร่วมสนุกกับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่สนใจจะร่วมแข่งขันกับผู้อื่นขอรับ" "น่าเสียดาย มาถึงสนามม้าทั้งที ถ้ามิได้ดูการแข่งม้าก็เสียรสชาติยิ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าว และสั่งราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า "สั่งลงไป...ให้จัดเด็กฝึกหัดเลี้ยงม้า มาแข่งขันกันให้ชมดูหน่อย" "ขอรับ" ราชองครักษ์น้อมรับคำ แล้วไปปฏิบัติ ส่วนองค์ชายสามอ้ายหยางนั้นกลับไปนั่งที่ของตน ซึ่งอยู่ในพลับพลาเดียวกันไม่ห่างนักเพียงครู่เดียว...เด็กอายุสิบสองสิบสามจำนวนสิบห้าคนต่างขี่ม้าตัวใหญ่ให้เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มแสดงการขี่ม้าแบบต่างๆ อย่างโลดโผน "ชิงชิง...เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ มีผู้ใดบ้างที่ขี่ม้าด้อยกว่าองค์ชายสาม?" ไท่ชินอ๋องกระซิบถามหลี่ชิงที่เขาโอบกอดไม่ปล่อย "หากเ
พอเสียงปรบมือซาลง...องค์ชายสามอ้ายหยางก็ค้อมคำนับให้แก่ไท่ชินอ๋อง แล้วกล่าว "ข้าน้อยด้อยฝีมือทางอักษรศาสตร์ ทำขายหน้าต่อหน้าไท่ชินอ๋องแล้ว" พระชายาอาเฟยได้ยินได้แต่ขบฟัน...เจ้าเสมอกับเกอเกอของข้า เจ้าบอกว่าขายหน้า อย่างนี้ก็หมายความว่า เกอเกอของข้าก็ต้องขายหน้าด้วยนะสิ...ข้าโมโหยิ่งนัก อยากเอาฝุ่นสกปรกริมทางเดินมาใส่ในน้ำชาให้เจ้ากินยิ่งนัก! "อาเฟย...สายตาประสงค์ร้ายของเจ้าโจ่งแจ้งมากเกินไป" อ๋องสี่กระซิบบอกพระชายาของตน "เก็บอาการหน่อย" "ช่างข้า" พระชายาอาเฟยเสียงสะบัด "ไม่สนับสนุนข้าก็เฉยไปเลย ไม่ต้องมาซ้ำเติมข้า... จะอย่างไร องค์ชายเทียนเป่าก็เข้าใจข้ามากที่สุด" ก็เจ้าทั้งสองคนมันเด็กเมื่อวานซืนเหมือนกันนี่...อ๋องสี่คิดในใจ องค์ชายสามอ้ายหยางคลี่ยิ้มเย้ายวนใจแล้วกล่าวต่อ "แต่ข้าน้อยยังใคร่ขอโอกาสขอการชี้แนะทางดนตรีจากไท่หวางเฟยหลี่ชิงสักครั้ง" แล้วหันไปทางไท่หวางเฟยหลี่ชิงพลางค้อมศีรษะให้ "หวังว่าไท่หวางเฟยจะไม่ปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยนี้นะขอรับ" "ชิงชิง...ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ" ไท่ชินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ทว่าหนักแน่นหลี่ชิงมอง
องค์ชายสามอ้ายหยางเม้มปากนิดหนึ่ง แล้วหันมายิ้มให้แก่ไท่หวางเฟยหลี่ชิงอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "ข้าได้ยินกิตติศัพท์อันโด่งดังของไท่หวางเฟยหลี่ชิงว่า...มีความสามารถจนได้รับการยกเว้นจากกฎมนเทียรบาลที่ห้ามมิให้ฝ่ายในเกี่ยวข้องกับราชกิจ ไท่หวางเฟยจึงสามารถช่วยไท่ชินอ๋องอ่านฎีกาได้ ความรู้ความสามารถของไท่หวางเฟยย่อมต้องมีมากล้น ข้าขอบังอาจขอศึกษาจากท่านสักเล็กน้อย เพราะข้านั้นมีความรักในภาษาและวัฒนธรรมของหนานหยางยิ่งนัก หากได้รับการชี้แนะจากไท่หวางเฟยบ้าง นับว่าเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก""องค์ชายกล่าวยกย่องเกินไป" หลี่ชิงได้แต่ตอบตามแบบแผน เพราะอีกฝ่ายไล่ต้อนด้วยคำพูดที่ฟังดูอ่อนหวาน ทว่าเคลือบอาบด้วยยาพิษ "ความรู้ของข้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น""ข้าเองก็มีความรู้เพียงหางอึ่ง...แต่ใคร่ขอแลกเปลี่ยนความรู้กับท่าน หวังว่าท่านจะให้เกียรติ" องค์ชายสามอ้ายหยางยังคงยืนกราน"เช่นนั้น...นับถือมิสู้ทำตาม" หลี่ชิงจำต้องรับปากในที่สุดเจ้ากรมพิธีการเห็นไท่ชินอ๋องมิได้คัดค้านอันใด ก็สั่งให้ยกโต๊ะเก้าอี้และกระดาษพร้อมเครื่องเขียนมาให้ไท่หวางเฟยหลี่ชิงกับองค์ชายสามอ้ายหยางคนละชุดอาเฟยเอียงต
ที่ท้องพระโรง...ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟยหลี่ชิง มหาเสนาบดีอ๋องสี่ และพระชายาอาเฟย ล้วนนั่งประจำตำแหน่งเพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย เพียงแต่ฮ่องเต้น้อยมิได้เสด็จเนื่องเพราะเมื่อวานอากาศร้อน ฮ่องเต้น้อยจึงทรงเล่นน้ำนานไปหน่อย เมื่อเช้าก็เลยพระวรกายร้อน มีไข้เล็กน้อยไท่ชินอ๋องสั่งให้หมอหลวงมาดูพระอาการ แล้วให้หลานกงกงดูแลฮ่องเต้น้อยพักผ่อน และสั่งเด็ดขาด...ห้ามซนเล่นน้ำอย่างเมื่อวานอีก!ดังนั้น...ฮ่องเต้น้อยจึงมิได้ออกนั่งบัลลังก์ว่าราชการคณะทูตแคว้นซีเป่ยนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่แคว้นหนานหยางตามธรรมเนียม เพราะเมื่อเจ็ดปีก่อนไท่ชินอ๋องได้กรีฑาทัพไปปราบแคว้นซีเป่ย และปราบสำเร็จเมื่อสี่ปีที่แล้ว นับจากนั้นแคว้นซีเป่ยก็ส่งบรรณาการมาให้แก่แคว้นหนานหยางเป็นประจำทุกปีแต่ปีนี้พิเศษ...เพราะคณะทูตที่คุมเครื่องบรรณาการมาด้วยเป็นคณะใหญ่เต็มยศ"ข้าในนามของแคว้นหนานหยางยินดีต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย" ไท่ชินอ๋องกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ"พวกข้าน้อยในนามของคณะทูตจากแคว้นซีเป่ยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง" หัวหน้าคณะทูตน้อมคำนับพลางกล่าว "ปีนี้นอกจากของบรรณาการตามธรรมเนี