ในห้องนอน ตำหนักใหญ่... เสี่ยวอี้จื่อยกสำรับอาหารมาตั้งโต๊ะให้หลี่ชิง พลางส่งเสียงบอกอย่างนอบน้อมว่า "อาหารมาแล้วขอรับ กุ้ยหวางเฟย"หลี่ชิงจึงลุกจากเตียงนอนไปนั่งที่โต๊ะ...โซ่ที่ล่ามข้อเท้ายาวพอให้เขาลุกเดินในระยะหนึ่งจั้ง( สองเมตรครึ่ง ) เสี่ยวหงจื่อกล่าวเสริมว่า "กินให้มากๆ นะขอรับ กุ้ยหวางเฟยกินได้มากเท่าไหร่ อาหารที่ส่งให้ซูฟูเหรินก็มีจำนวนมากเท่านั้น" หลี่ชิงน้ำตาหยดลงในชามข้าวขณะคีบอาหารเข้าปาก ในเวลาเดียวกัน...ที่เรือนดอกเหมย สาวใช้ก็ยกสำรับมาตั้งโต๊ะ แล้วเชื้อเชิญซูไห่ถังกิน "กินมากมากนะเจ้าคะ...ฟูเหรินกินได้มากเท่าไหร่ กุ้ยหวางเฟยก็จะได้รับอาหารมากเท่านั้นเจ้าค่ะ" สาวใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน อาชิง เวลานี้แม่คงทำเพื่อลูกได้อย่างมากที่สุดก็คือพยายามกินให้มากๆ เท่านั้น...ซูไห่ถังคิดในใจ พลางยกตะเกียบขึ้นกินอาหารอย่างเงียบๆ ที่กลางป่า...อาเฟยกำลังกัดกินไก่ย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ อ๋องสี่บอกว่า...กินไก่ย่างหมดหนึ่งตัว จะได้เงินสามตำลึง กินน้อยกว่าหนึ่งตัวหักเงิน กินมากกว่าหนึ่งตัวไม่ว่า... อาเฟยคิด...หากกินไก่ย่างมื้อละตัว สิบมื้อสิบต
เพราะฮ่องเต้น้อยและตราแผ่นดินหายไป...ไท่ชินอ๋องจึงต้องเข้าวังกลางดึก เขาตรงไปหาไทเฮาที่ตำหนักของนาง แต่ตำหนักของไทเฮาวันนี้ไร้ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นขันที นางกำนัล ราชองครักษ์ หรือแม้แต่ทหารยาม พอเปิดประตูห้องโถงใหญ่เข้าไปก็เห็นตรงกลางห้อง...ร่างของอ๋องสามนอนอยู่บนพื้นในสภาพเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าไท่ชินอ๋องสะบัดมือวูบ...ลูกเหล็กลูกหนึ่งก็พุ่งใส่หน้าผากของร่างบนพื้นทันที...อ๋องสามรีบพลิกตัวหลบอย่างหวุดหวิด ลูกเหล็กกระทบกับพื้นจนเกิดเป็นหลุมหลุมหนึ่งก่อนจะกระดอนกลับไปอยู่ในมือไท่ชินอ๋อง อ๋องสามดีดตัวยืนข้างๆ ไทเฮา กล่าวว่า "พี่ใหญ่ ท่านยังคงเหี้ยมโหดไม่เปลี่ยนแปลง แม้แต่กับศพ ท่านยังลงมือได้" "ศพที่จ้องจะทำร้ายข้าอย่างเจ้านะหรือ" ไท่ชินอ๋องควงลูกเหล็กในมือเพิ่มขึ้นเป็นสี่ลูกด้วยมือข้างเดียว "ข้าต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษอยู่แล้ว" "เวลานี้ ภายในวังถูกข้าควบคุมเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่ไทเฮาก็ถูกข้าสะกัดจุดเอาไว้ ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว" อ๋องสามกล่าวสีหน้ากระหยิ่ม แต่เพราะมีคราบเลือดปลอมแปลงบนใบหน้า จึงทำให้ดูขัดหูขัดตา "เจ้าต้องการอะไร?" ไท่ชินอ๋องถาม "พว
ไท่ชินอ๋องมองศพของไทเฮานิ่งๆ อึดใจหนึ่ง จึงเดินจากไป...เพื่อตรงไปยังห้องโถงของตำหนักหลวง ที่นั่นคนที่เคยปลอมตัวเป็นคนขับรถม้า เขาคือชั่งเหอ รองหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์รออยู่ พร้อมกับเหมยฟงองครักษ์ซ้าย "สามารถควบคุมหน่วยราชองครักษ์ได้แล้วขอรับท่านอ๋อง" ชั่งเหอน้อมกายรายงาน "ทางท่านอ๋องสี่ส่งข่าวมาว่า งานสำเร็จเรียบร้อยขอรับ" เหมยฟงกล่าว ไท่ชินอ๋องยกยิ้มอย่างเบาใจ...อ๋องสี่สามารถปลิดชีพแม่ทัพภาคเหนือเจียงจ้าน พี่ชายของไทเฮาแล้ว แต่ข่าวดีมาถึงไม่ถึงอึดใจ ข่าวร้ายก็ตามมา ทันใด...หลิวกงกงก็พุ่งทะยานเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้า "เรียนท่านอ๋อง เกิดเรื่องกับกุ้ยหวางเฟยแล้วขอรับ" "เกิดอะไรขึ้น?" ไท่ชินอ๋องถาม สีหน้าเครียด "กุ้ยหวางเฟยถูกพ่อบ้านเจา เสี่ยวอี้จื่อ และเสี่ยวลู่จื่อจับตัวไป เสี่ยวฉีจื่อและเสี่ยวหงจื่อล้วนถูกทำร้ายบาดเจ็บ พวกเขาทิ้งจดหมายฉบับนี้ไว้" หลิวกงกงส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ไท่ชินอ๋องที่ลานกว้างภายในจวนของมหาเสนาบดีเจียงผิง...หลี่ชิงถูกมัดแขวนไว้กับเสาสูงอยู่ตรงกลาง มีมือธนูขึ้นสายอาวุธอาบยาพิษเล็งมาที่เขา ซ่อนตัวอยู่ในที่กำบังมองไม่เห็นตัว หลี่ชิ
สิ่งแรกที่ไท่ชินอ๋องทำ เมื่อฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็คือร่างพระราชโองการ ประกาศความผิดของมหาเสนาบดีเจียงผิง ไทเฮาเจียงซู่จิ่น และอ๋องสาม มีใจความว่า...ทั้งสามร่วมมือกันก่อขบถต่อฮ่องเต้ แต่ไท่ชินอ๋องได้ทำการปราบปรามสำเร็จ ถึงแม้ทั้งสามจะสิ้นชีวิตในการปราบปรามไปแล้วก็ตาม แต่ยังคงมีโทษผิดติดตัว ให้ถอดยศเป็นสามัญชนทั้งตัวผู้กระทำและครอบครัว ยึดทรัพย์สินข้าทาสบริวาร และเนรเทศครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ไปชายแดนในฐานะนักโทษใช้แรงงาน แล้วให้หวังกงกงเชิญฮ่องเต้น้อยนั่งบัลลังก์ เพื่อประกาศพระราชโองการ ให้เจ้ากรมอาญารับราชโองการไปปฏิบัติในทันทีซึ่งครอบครัวและเหล่าข้าทาสบริวารของนักโทษทั้งหมดล้วนถูกคุมตัวตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันแล้ว โดยกองทัพพิทักษ์เมืองหลวงที่มีแม่ทัพอยู่ในสังกัดไท่ชินอ๋องโดยตรงและให้หวังกงกงรวบรวมฎีกาที่ยังไม่ได้วินิจฉัยทั้งหมดส่งมายังจวนของไท่ชินอ๋อง เมื่อหวังกงกงอ่านพระราชโองการจบ เหล่าขุนนางต่างกล่าวถวายพระพรฮ่องเต้ที่กำลังปีนพระราชบัลลังก์เล่นอย่างสนุกสนาน ด้วยความพร้อมเพรียงกันว่า "ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปีๆๆๆๆๆ" แล้วหลานกงกง
ไท่ชินอ๋องหายจากอาการบาดเจ็บ ไปว่าราชการตามปกติได้สามวันแล้ว พอกลับถึงจวนวันนี้ก็บอกข่าวดีต่อหลี่ชิง "จริ งหรือขอรับ? ท่านอ๋อง" หลี่ชิงตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้า...ตั้งแต่เขาถูกจับตัวกลับมา จนเกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย เขาไม่ได้พบกับแม่เลย มีเพียงหลิวกงกง เสี่ยวฉีจื่อ กับไท่ชินอ๋องคอยบอกเขาว่า อย่าได้กังวล ขอเพียงเขาอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แม่ก็จะปลอดภัย แต่วันนี้...ไท่ชินอ๋องบอกว่าจะให้เขาได้พบกับแม่ "ข้าไม่หลอกเจ้าหรอกนะ...ชิงชิง" ไท่ชินอ๋องตอบ พลางยกมือลูบผมนุ่ม "ขอบคุณขอรับ ขอบคุณมากขอรับ" หลี่ชิงพร่ำพูด น้ำตารื้อ ไท่ชินอ๋องจึงจูงมือหลี่ชิงไปนั่งที่โต๊ะอาหาร "พวกเรากินอาหารกันไปพลางๆ พูดคุยกันไปพลางๆ อีกสักครู่ท่านแม่ยายก็คงมาถึง เพราะข้าให้หลิวกงกงไปรับแล้ว" "ขอรับ" หลี่ชิงคีบกับไว้ในชามของไท่ชินอ๋องอย่างเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ "ตั้งแต่ข้าฟื้นจากถูกลูกธนูอาบยาพิษครั้งนี้ ดูชิงชิงของข้าจะเอาใจใส่ข้าเป็นพิเศษ" ไท่ชินอ๋องกล่าวแล้วยกยิ้ม "เช่นนี้ต่อให้ข้าถูกลูกธนูพิษเพิ่มอีกสักสองสามดอกก็คุ้มค่า" หลี่ชิงยกมือเรียวปิดปากได้รูป ปรามว่า "ท่านอ๋องไม่พูดเช
หลังพิธีการฝังศพ "ซูฟูเหริน" เสร็จ หลี่ชิงก็ขึ้นรถม้ากลับจวนไท่ชินอ๋อง พอถึงจวน...ท่านหมอก็รีบตรวจดูดวงตาของหลี่ชิงทันทีส่วนเสี่ยวฉีจื่อรับผ้าเช็ดหน้าที่ห่อหัวหอมแดงที่เป็นตัวต้นเหตุให้หลี่ชิงน้ำตาไหลพรากไปจากมือเรียวงาม เสี่ยวหงจื่อก็รีบนำกาละมังใส่น้ำสะอาดมาให้เด็กหนุ่มล้างมือที่อาจจะเปื้อนยางของหัวหอมแดง ออกให้หมด "ดวงตาของกุ้ยหวางเฟยระคายเคืองเล็กน้อย พักผ่อนสักวันหนึ่งก็คงหายดีขอรับ ข้าน้อยจะจัดยาบำรุงสายตาให้เทียบหนึ่งขอรับ" ท่านหมอกล่าวหลังจากตรวจดวงตาคู่งามเสร็จ "ขอบคุณท่านหมอมาก" หลี่ชิงกล่าวเสียงนุ่มนวล "เป็นหน้าที่ของข้าน้อยขอรับ" ท่านหมอตอบ แล้วไปจัดยาไท่ชินอ๋องที่นั่งรออยู่ปล่อยให้คนรุมล้อมดูแลหลี่ชิงเสร็จเรียบร้อยก่อนจึงลุกจากเก้าอี้ยาวที่นั่งอยู่ เข้ามาโอบไหล่บอบบาง ถามว่า "เหนื่อยมากหรือไม่? ชิงชิง" หลี่ชิงเผยอยิ้ม ตอบว่า "นิดหน่อยขอรับ...แล้วแม่..." กล่าวยังไม่ทันจบประโยค ไท่ชินอ๋องก็ขัดขึ้น "จุ๊ๆ...ต่อแต่นี้ไปไม่มีท่านแม่ มีแต่ท่านน้า 'หานฝูหรง' น้าสาวคนเล็กของข้า หรือท่านหญิงหาน" "ขอรับ ข้าน้อยจะจำไว้ให้แม่นยำ" หลี่ชิงยิ้
ต้าโก่วนำจดหมายจากต้าเหลียวมาส่งสองฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นของอ๋องสี่ส่งถึงไท่ชินอ๋อง อีกฉบับหนึ่งเป็นของอาเฟยที่ส่งมาถึงกุ้ยหวางเฟย ไท่ชินอ๋องเปิดจดหมายของอ๋องสี่ก่อน แล้วอ่านออกเสียงให้หลี่ชิงฟังด้วย ข้อความในจดหมายเขียนมาสั้นๆ ว่า... "ถึงพี่ใหญ่ วานท่านช่วยหาขันทีให้ข้าสักสี่คน ต้องหนุ่มแน่น วรยุทธดี ซื่อสัตย์ ที่สำคัญที่สุดคือ"รู้งาน" จากน้องสี่ เฉินชง" ดวงตาคู่สวยมองไท่ชินอ๋องอย่างสงสัย "ท่านอ๋องสี่มิใช่มีขันทีอยู่แล้วหรอกหรือ?" "ที่เขาต้องการคือ...ขันทีรู้งาน" ไท่ชินอ๋องตอบ พลางพับจดหมายใส่ซองตามเดิม "รู้งาน?" เรียวคิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย "อืม...คงเอาไว้ประกบตัวเจ้ากรมข่าว"ประกบตัวอาเฟย!...หมายความว่าอ๋องสี่ตัดสินใจจะรับอาเฟยเป็นภรรยาแล้ว!!! หลี่ชิงลอบถอนหายใจเบาๆ ไท่ชินอ๋องโอบแขนกอดไหล่บอบบางเอาไว้อย่างปลอบประโลม พลางกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า "ชิงชิง...น้องสี่เป็นคนที่พึ่งพาได้ และท่าทางเขาจะรักอาเฟยอย่างจริงใจ เจ้าอย่าได้กังวลเลย" หลี่ชิงพยักหน้าน้อยๆ ไท่ชินอ๋องรู้ว่าหลี่ชิงรักอาเฟยเหมือนน้องชายแท้ๆ และพยายามจะปกป้องอีกฝ่ายไว้
ไท่ชินอ๋องหันไปมองต้าโก่ว แล้วถามว่า "ตกลงอาเฟยซื้ออะไรมาฝากชิงชิง?" "เป็นพรมขนสัตว์อย่างดีที่สุดขอรับ" ต้าโก่วประสานมือตอบนอบน้อม "อ้อ..." หลี่ชิงพยักหน้า ก่อนจะถามต้าโก่วว่า "อาเฟยเขียนจดหมายบอกข้าว่า...เขาไม่มีข้าวกิน จริงหรือไม่?" "เป็นความจริงขอรับ" ต้าโก่วตอบด้วยสีหน้าประหลาดชอบกล แต่ดวงตาคู่สวยของหลี่ชิงเริ่มแดงเรื่อและคลอด้วยหยาดน้ำใส ไท่ชินอ๋องเห็น ก็โอบกระชับไหล่บอบบาง พลางเอ่ยปลอบ "น้องสี่คงไม่ปล่อยให้อาเฟยต้องอดข้าวหรอกชิงชิง...จริงหรือไม่ต้าโก่ว?" ท้ายประโยคหันไปไล่เบี้ยองครักษ์ประจำตัวอาเฟยอันดับสี่ "เรื่องนี้มันยาวขอรับ ท่านอ๋อง" ต้าโก่วตอบไม่เต็มปากเต็มคำนัก "เช่นนั้น...เจ้าเล่ามาให้ละเอียด" "ขอรับ..." ต้าโก่วขานรับ แล้วเล่าว่า "มีอยู่วันหนึ่ง ท่านอาเฟยนั่งร้องไห้..." "อาเฟยคงคิดถึงบ้าน" หลี่ชิงเอ่ยขึ้นเบาๆ "หามิได้ขอรับ" ต้าโก่วตอบ "แล้วอาเฟยร้องไห้ทำไม? ถูกผู้ใดรังแกหรือ?" ไท่ชินอ๋องถาม "มิมีผู้ใดรังแกท่านอาเฟยขอรับ" ต้าโก่วเอ่ย "เพียงแต่ท่านอาเฟยเบื่อแป้งย่าง อยากกินข้าวสวย แต่ต้าเหลียวไม่มีข้าวสวย ท่านอ๋อง
"ดังนั้น...ข้ามีทางเลือกสามทาง คือ...หนึ่ง ปฏิเสธองค์ชายสาม สองรับองค์ชายสามเอาไว้ แล้วจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากันอีกที อาจจะนำไปขังไว้ในคุก หรือกักบริเวณไว้ที่เรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "แต่ข้าเลือกวิธีที่สาม ส่งเขากลับไปเป็นหอกทิ่มแทงองค์ชายใหญ่หลี่เผิง และใช้โอกาสนี้กวาดล้างตระกูลเฉาที่หนีเล็ดลอดไปภักดีต่อซีเป่ยด้วย" "ท่านอ๋องมั่นใจหรือว่าองค์ชายสามอ้ายหยางจะกลับซีเป่ยไปกำจัดเฉาฮั่น?" หลี่ชิงถาม "ยิ่งกว่ามั่นใจเสียอีก...เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว เฉาฮั่นสนับสนุนองค์ชายใหญ่ ช่วยวางแผนการกำจัดองค์ชายสาม เมื่อองค์ชายสามสามารถกลับไปยังซีเป่ย ก็ต้องจัดการกับเฉาฮั่นและครอบครัวเป็นอันดับแรก" หลี่ชิงพยักหน้าเห็นด้วย "แต่นั่น...องค์ชายสามจะต้องกลับให้ถึงเมืองหลวงของแคว้นซีเป่ยเสียก่อน" "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าองค์ชายสามอาจจะกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของแคว้นตนเองหรือ?" หลี่ชิงเอ่ยถาม ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงร่างบอบบางไปกอดเอาไว้ แล้วย้อนถามว่า "ถ้าเจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าจะทำอย่างไร หากคนของตนในคณะทูตส่งข่าวว่า องค์ชายสามกำลังจ
องค์ชายสามอ้ายหยางหน้าเปลี่ยนสี"พระบิดาและพี่ชายของเจ้ามั่นใจมากหรือว่าเจ้าจะครอบครองหนานหยางได้สำเร็จ?" ไท่ชินอ๋องกล่าวชัดถ้อยชัดคำ "ท่านอ๋อง...ท่านกล่าวอันใด ข้าน้อยมิรู้เรื่อง" องค์ชายสามอ้ายหยางยังพยายามจะปฏิเสธ "องค์ชาย..." ไท่ชินอ๋องเรียกเสียงหนักๆ "มีสารลับจากซีเป่ยถึงข้า บอกว่า...กวางตัวงามมาถึงปาก เคี้ยวเล่นสักเดือนสองเดือนแล้วฆ่าทิ้ง ก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไร....เจ้าลองคิดดู ถ้าข้ารับเจ้าเป็นพระชายา เล่นสนุกสักเดือนสองเดือน แล้วประกาศว่าเจ้าป่วยตาย...พระบิดาและพี่ชายของเจ้าจะยกทัพมาแก้แค้นให้เจ้าหรือไม่?" องค์ชายสามอ้ายหยางขบริมฝีปากจนเลือดซิบ "การตายของเจ้า...พระบิดาของเจ้าอาจจะเสียใจอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่มากพอที่จะยกทัพมาล้างแค้นให้กับเจ้า...ส่วนพี่ชายของเจ้านั้น เขาคงโล่งใจจนอยากจะหัวเราะเสียงดังๆ เสียด้วยซ้ำ" "ความหมายของท่านอ๋องคือ...?" องค์ชายสามอ้ายหยางเอ่ยถามเสียงเบา "อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า อย่าตะเกียกตะกายให้ลำบากเลย...ส่วนอะไรที่สมควรเป็นของเจ้า ไยจึงไม่ไขว่คว้า...เจ้าทิ้งซีเป่ยมาคว้าหนานหยางมิเป็นการทิ้งของในกำมือไปไขว่คว้าเงาหรอกหรื
เช้าวันรุ่งขึ้น...คณะทูตเข้าพบไท่ชินอ๋องที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ท่านทูตน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างแคว้นซีเป่ยกับแคว้นหนานหยาง...ทางซีเป่ยจึงขอมอบองค์ชายสามอ้ายหยางให้เป็นพระชายาของไท่ชินอ๋อง หวังว่าไท่ชินอ๋องและไท่หวางเฟยจะยินดีต้อนรับองค์ชายแห่งซีเป่ยขอรับ" หลี่ชิงนึกไม่ถึงว่า...อีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ พอชิงตำแหน่งไท่หวางเฟยไม่ได้ ก็ยอมเป็นน้อยเพื่อเข้ามาอยู่วงใน...เจตนาไม่ดีชัดๆ แต่เขาอยู่ในฐานะที่พูดอะไรก็มีแต่เสีย...เพราะทุกคนจะลงความเห็นเป็นว่า เขาใจแคบหึงหวง ไม่สมกับเป็นไท่หวางเฟย! ทว่าเขามั่นใจว่า...ไท่ชินอ๋องก็ต้องดูออกเช่นกัน ...จึงลอบชำเลืองมองผู้เป็นสามี ไท่ชินอ๋องมีสีหน้ายิ้มแย้ม ตอบว่า"เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด...เพียงแต่ข้าต้องการจะสนทนากับองค์ชายสามอ้ายหยางตามลำพังสักครู่หนึ่ง ขอให้ทุกท่านรออยู่ที่นี้" ว่าแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเดินมาจูงมือหลี่ชิงไปด้วย ทั้งสามเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว "ไท่ชินอ๋องมิใช่ว่าจะสนทนากับข้าน้อยตามลำพังหรอกหรือ?" องค์ชายสามอ้ายหยางกล่าวถาม พลาง
หลังจากองค์ชายสามอ้ายหยางกับท่านทูตจากแคว้นซีเป่ยแยกไปแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็พาทุกคนกลับพระราชวังแล้วไท่ชินอ๋องได้พาหลี่ชิงไปยังห้องทำงานสำคัญที่แยกต่างหากจากห้องทำงานที่ใช้พิจารณาฎีกา ห้องนี้หลี่ชิงเพิ่งจะได้เข้ามาเป็นครั้งแรก อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ห้องตกแต่งเรียบหรูด้วยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่หลังโต๊ะ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นั่งของไท่ชินอ๋องพอหลี่ชิงถูกจูงมือเข้ามาด้วย...ราชองครักษ์ก็จัดแจงยกเก้าอี้ที่มีพนักและเท้าแขนมาตั้งข้างๆ เก้าอี้ของไท่ชินอ๋องให้หลี่ชิงนั่ง และยกอีกตัวมาให้อ๋องสี่นั่ง เมื่อทั้งสามคนสำคัญนั่งลงเรียบร้อย...หวังกงกงก็ประสานมือน้อมคำนับ "คารวะไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟย และท่านอ๋องสี่" "ไม่ต้องมากพิธี" ไท่ชินอ๋องเอ่ย "หวังเสียงได้ความว่าอย่างไร เล่ามาซิ" "ขอรับ" หวังกงกงรับคำ แล้วรายงานว่า "เรื่องที่องค์ชายสามอ้ายหยางมาที่แคว้นหนานหยางมีเบื้องหลังเกิดจากคนขายชาติขอรับ คนผู้นั้นก็คือเฉาฮั่นน้องชายของเฉาฮั่ว และเป็นอาของเฉาฉุน...เฉาฮั่นพาครอบครัวตระกูลเฉาที่เหลือไปอยู่ที่ซีเป่ย เขามีสหายอยู่ที่นั่น สหายของเขาเป็นขุนนางยศสูงพอส
หลังจากกินอาหารเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็เอ่ยชวนหลี่ชิงว่า "ชิงชิง...เดี๋ยวพวกเราไปเดินเที่ยวเล่นชมตลาดกันดีกว่า" "ขอรับ" หลี่ชิงรับคำเบาๆ "เชิญองค์ชายสามและท่านทูตด้วย" ไท่ชินอ๋องออกปากชวนผู้เป็นแขกบ้านแขกเมือง องค์ชายสามอ้ายหยางเริ่มไม่ค่อยไว้วางใจในตัวไท่ชินอ๋องนัก ว่าจะเล่นงานอะไรเขาอีก จึงปฏิเสธว่า "ข้าน้อยมิชอบผู้คนเบียดเสียด ขอตัวกลับที่พักก่อนขอรับ" "เจ้ามิใช่บอกว่าชอบศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมของหนานหยางหรอกหรือ?" ไท่ชินอ๋องกล่าว "ข้าจึงใคร่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านพาเจ้าและท่านทูตชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวเมืองของหนานหยางที่แท้จริง มิใช่อ่านเพียงในตำหรับตำรา" ทำให้องค์ชายสามอ้ายหยางไม่อาจหลีกเลี่ยง "เช่นนั้น...ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" "มิใช่คำสั่งแต่เป็นคำเชิญ" ไท่ชินอ๋องแก้ แล้วจูงมือหลี่ชิงเดินออกจากเหลาสุราไปยังจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งคึกคักด้วยผู้คนและร้านรวงตลอดจนแผงค้าขาย โดยมีท่านทูต และองค์ชายสามจากซีเป่ย อ๋องสี่และพระชายาอาเฟย ติดตามมาด้วย ราชองครักษ์และทหารรักษาความปลอดภัยปะปนอยู่ในฝูงชน โดยไม่ได้ขับไล่หรือรบกวนกิจกรรมของชาวบ้านแต่อย่างไร เพร
องค์ชายสามอ้ายหยางรู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง...ให้เขาแข่งม้ากับเด็กจูงม้านะหรือ? ชนะก็ไม่ได้เกียรติอันใด แต่ถ้าแพ้จะต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น...เขาไม่มีวันแข่งขันกันคนชั้นต่ำแบบนั้นหรอก! จึงลงจากม้าแล้วเดินเข้าไปยังพลับพลา ค้อมศีรษะให้แก่ไท่ชินอ๋อง "น้อมเรียนไท่ชินอ๋อง หากไท่หวางเฟยหลี่ชิงไม่สะดวกที่จะร่วมสนุกกับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่สนใจจะร่วมแข่งขันกับผู้อื่นขอรับ" "น่าเสียดาย มาถึงสนามม้าทั้งที ถ้ามิได้ดูการแข่งม้าก็เสียรสชาติยิ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าว และสั่งราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า "สั่งลงไป...ให้จัดเด็กฝึกหัดเลี้ยงม้า มาแข่งขันกันให้ชมดูหน่อย" "ขอรับ" ราชองครักษ์น้อมรับคำ แล้วไปปฏิบัติ ส่วนองค์ชายสามอ้ายหยางนั้นกลับไปนั่งที่ของตน ซึ่งอยู่ในพลับพลาเดียวกันไม่ห่างนักเพียงครู่เดียว...เด็กอายุสิบสองสิบสามจำนวนสิบห้าคนต่างขี่ม้าตัวใหญ่ให้เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มแสดงการขี่ม้าแบบต่างๆ อย่างโลดโผน "ชิงชิง...เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ มีผู้ใดบ้างที่ขี่ม้าด้อยกว่าองค์ชายสาม?" ไท่ชินอ๋องกระซิบถามหลี่ชิงที่เขาโอบกอดไม่ปล่อย "หากเ
พอเสียงปรบมือซาลง...องค์ชายสามอ้ายหยางก็ค้อมคำนับให้แก่ไท่ชินอ๋อง แล้วกล่าว "ข้าน้อยด้อยฝีมือทางอักษรศาสตร์ ทำขายหน้าต่อหน้าไท่ชินอ๋องแล้ว" พระชายาอาเฟยได้ยินได้แต่ขบฟัน...เจ้าเสมอกับเกอเกอของข้า เจ้าบอกว่าขายหน้า อย่างนี้ก็หมายความว่า เกอเกอของข้าก็ต้องขายหน้าด้วยนะสิ...ข้าโมโหยิ่งนัก อยากเอาฝุ่นสกปรกริมทางเดินมาใส่ในน้ำชาให้เจ้ากินยิ่งนัก! "อาเฟย...สายตาประสงค์ร้ายของเจ้าโจ่งแจ้งมากเกินไป" อ๋องสี่กระซิบบอกพระชายาของตน "เก็บอาการหน่อย" "ช่างข้า" พระชายาอาเฟยเสียงสะบัด "ไม่สนับสนุนข้าก็เฉยไปเลย ไม่ต้องมาซ้ำเติมข้า... จะอย่างไร องค์ชายเทียนเป่าก็เข้าใจข้ามากที่สุด" ก็เจ้าทั้งสองคนมันเด็กเมื่อวานซืนเหมือนกันนี่...อ๋องสี่คิดในใจ องค์ชายสามอ้ายหยางคลี่ยิ้มเย้ายวนใจแล้วกล่าวต่อ "แต่ข้าน้อยยังใคร่ขอโอกาสขอการชี้แนะทางดนตรีจากไท่หวางเฟยหลี่ชิงสักครั้ง" แล้วหันไปทางไท่หวางเฟยหลี่ชิงพลางค้อมศีรษะให้ "หวังว่าไท่หวางเฟยจะไม่ปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยนี้นะขอรับ" "ชิงชิง...ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ" ไท่ชินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ทว่าหนักแน่นหลี่ชิงมอง
องค์ชายสามอ้ายหยางเม้มปากนิดหนึ่ง แล้วหันมายิ้มให้แก่ไท่หวางเฟยหลี่ชิงอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "ข้าได้ยินกิตติศัพท์อันโด่งดังของไท่หวางเฟยหลี่ชิงว่า...มีความสามารถจนได้รับการยกเว้นจากกฎมนเทียรบาลที่ห้ามมิให้ฝ่ายในเกี่ยวข้องกับราชกิจ ไท่หวางเฟยจึงสามารถช่วยไท่ชินอ๋องอ่านฎีกาได้ ความรู้ความสามารถของไท่หวางเฟยย่อมต้องมีมากล้น ข้าขอบังอาจขอศึกษาจากท่านสักเล็กน้อย เพราะข้านั้นมีความรักในภาษาและวัฒนธรรมของหนานหยางยิ่งนัก หากได้รับการชี้แนะจากไท่หวางเฟยบ้าง นับว่าเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก""องค์ชายกล่าวยกย่องเกินไป" หลี่ชิงได้แต่ตอบตามแบบแผน เพราะอีกฝ่ายไล่ต้อนด้วยคำพูดที่ฟังดูอ่อนหวาน ทว่าเคลือบอาบด้วยยาพิษ "ความรู้ของข้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น""ข้าเองก็มีความรู้เพียงหางอึ่ง...แต่ใคร่ขอแลกเปลี่ยนความรู้กับท่าน หวังว่าท่านจะให้เกียรติ" องค์ชายสามอ้ายหยางยังคงยืนกราน"เช่นนั้น...นับถือมิสู้ทำตาม" หลี่ชิงจำต้องรับปากในที่สุดเจ้ากรมพิธีการเห็นไท่ชินอ๋องมิได้คัดค้านอันใด ก็สั่งให้ยกโต๊ะเก้าอี้และกระดาษพร้อมเครื่องเขียนมาให้ไท่หวางเฟยหลี่ชิงกับองค์ชายสามอ้ายหยางคนละชุดอาเฟยเอียงต
ที่ท้องพระโรง...ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟยหลี่ชิง มหาเสนาบดีอ๋องสี่ และพระชายาอาเฟย ล้วนนั่งประจำตำแหน่งเพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย เพียงแต่ฮ่องเต้น้อยมิได้เสด็จเนื่องเพราะเมื่อวานอากาศร้อน ฮ่องเต้น้อยจึงทรงเล่นน้ำนานไปหน่อย เมื่อเช้าก็เลยพระวรกายร้อน มีไข้เล็กน้อยไท่ชินอ๋องสั่งให้หมอหลวงมาดูพระอาการ แล้วให้หลานกงกงดูแลฮ่องเต้น้อยพักผ่อน และสั่งเด็ดขาด...ห้ามซนเล่นน้ำอย่างเมื่อวานอีก!ดังนั้น...ฮ่องเต้น้อยจึงมิได้ออกนั่งบัลลังก์ว่าราชการคณะทูตแคว้นซีเป่ยนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่แคว้นหนานหยางตามธรรมเนียม เพราะเมื่อเจ็ดปีก่อนไท่ชินอ๋องได้กรีฑาทัพไปปราบแคว้นซีเป่ย และปราบสำเร็จเมื่อสี่ปีที่แล้ว นับจากนั้นแคว้นซีเป่ยก็ส่งบรรณาการมาให้แก่แคว้นหนานหยางเป็นประจำทุกปีแต่ปีนี้พิเศษ...เพราะคณะทูตที่คุมเครื่องบรรณาการมาด้วยเป็นคณะใหญ่เต็มยศ"ข้าในนามของแคว้นหนานหยางยินดีต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย" ไท่ชินอ๋องกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ"พวกข้าน้อยในนามของคณะทูตจากแคว้นซีเป่ยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง" หัวหน้าคณะทูตน้อมคำนับพลางกล่าว "ปีนี้นอกจากของบรรณาการตามธรรมเนี