"ลูก ๆ ของฉันมีความสุขดีอยู่แล้ว พวกเขาไม่ต้องการพ่อที่ไม่เคยมีตัวตนในชีวิตของพวกเขามาตลอดห้าปี" ณิชชาตอบโต้ทันที
"แต่พวกเขาควรจะมีพ่อ และผมต้องการที่จะเป็นพ่อคนนั้น ผมอยากจะชดเชยเวลาที่ผมเสียไป ผมอยากที่จะ..."
"มันสายเกินไปแล้วค่ะ ท่านประธาน มันสายเกินไปมากแล้ว" ณิชชาตอบเสียงเด็ดขาด
"ไม่สายเกินไปหรอก ถ้าคุณเปิดใจให้ผม ถ้าคุณให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเอง" รามิลยังคงยืนกราน
"ฉันไม่เชื่อใจคุณ" หญิงสาวตอบตรง ๆ
"ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น ผมสัญญา"
ทนายวรุตม์ก้าวเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่แฝงไปด้วยความกดดัน "คุณณิชชาครับ คุณรามิลต้องการที่จะพูดคุยถึงเรื่องการดูแลบุตรอย่างเป็นทางการ ท่านหวังว่าจะสามารถตกลงกันด้วยดีโดยไม่ต้องถึงศาล ท่านต้องการที่จะให้เด็ก ๆ ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีที่สุด และท่านก็ยินดีที่จะให้คุณเป็นผู้ดูแลหลัก โดยที่คุณจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากคุณรามิล"
"คุณหมายความว่ายังไง" ณิชชาถามด้วยความสับสนระคนสงสัย
"คุณรามิลต้องการที่จะสนับสนุนทางการเงินและการศึกษาของเด็ก ๆ อย่างเต็มที่ และท่านก็เคารพการตัดสินใจของคุณในการเลี้ยงดูพวกเขา ท่านเพียงแต่ต้องการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของพวกเขาในฐานะพ่อ และต้องการที่จะชดเชยความผิดพลาดในอดีต" ทนายวรุตม์อธิบายอย่างละเอียด
ณิชชามองหน้ารามิลด้วยความสับสน เธอไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใจเขาดีหรือไม่
"คุณแม่ฮับ คุณลุงคนนี้เป็นใครฮับ" เมฆาที่เกาะขาแม่แน่นได้เงยหน้าขึ้นถาม
"นั่น...เอ่อ" เธออึกอัก ไม่รู้จะตอบลูกอย่างไร
"พ่อของพวกหนู" รามิลเป็นฝ่ายตอบแทนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"พ่อ...?" วารินเลิกคิ้วด้วยความสงสัย "คุณพ่อไปไหนมาตั้งนานคะ ทำไมเพิ่งมา"
“คือพ่อไม่รู้ว่ามีพวกหนู” เขาตอบด้วยเสียงอึกอัก
“ผ่านมาตั้งนานหนูไม่เคยมีพ่อนะคะ”
ภูผามองหน้ารามิลด้วยความระมัดระวัง สังเกตทุกการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของชายแปลกหน้า "แล้วทำไมคุณพ่อถึงไม่เคยมาหาพวกเราเลยครับ บอกว่าไม่เคยรู้ พวกเราเองก็ไม่เคยรู้เหมือนกันครับว่ามีพ่อ" ท่าทางของภูผาเหมือนโตเกินวัย ทำตัวเป็นพี่ใหญ่ที่จริงจังไปเสียหมด
"พ่อขอโทษนะลูก ที่ผ่านมาพ่อไม่รู้ พ่อผิดไปแล้ว ต่อไปนี้พ่อจะมาหาพวกหนูบ่อย ๆ จะมาเล่นกับพวกหนู จะดูแลพวกหนู"
"จริงเหรอฮับ!" เมฆาตาโตด้วยความตื่นเต้น ปล่อยมือจากขาแม่แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้รามิลอย่างขี้อ้อน
"จริงสิ" ชายหนุ่มคุกเข่าลงตรงหน้าลูกชายคนเล็ก ยื่นมือไปลูบศีรษะนุ่มของเขาเบา ๆ
"แล้วคุณพ่อมีของเล่นให้พวกเราไหมคะ" วารินถามด้วยความคาดหวัง ดวงตาเป็นประกายวิบวับ
รามิลยิ้มบาง ๆ "แน่นอนสิลูก พ่อมีของเล่นสนุก ๆ เยอะแยะเลย อยากไปดูไหม"
เด็ก ๆ มองหน้ากันด้วยความลังเล ก่อนที่เมฆาจะพยักหน้าอย่างรวดเร็ว "อยากไปฮับ!"
วารินเองก็ยิ้มกว้าง "หนูก็อยากไปค่ะ"
ภูผายังคงยืนอยู่ที่เดิม มองรามิลด้วยสายตาที่ยังคงระแวง แต่ก็มีความอยากรู้อยากเห็นเจือปนอยู่เล็กน้อย
“เอาล่ะ คราวหน้าพ่อจะพาไปนะครับ พ่อจะเตรียมของเล่นไว้ให้เยอะๆ เลย ดีไหมเด็กๆ”
“เย่ๆ” เมฆากระโดดโลดเต้น ดวงตากลมใสเป็นประกายวาววับ
“หนูอยากได้ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ๆ ค่ะ”
“ได้สิ พ่อจะเตรียมไว้ให้นะ”
“ขอรถบังคับด้วยนะฮับ ขอสีแดง” เมฆาตาวิบวับ “ขอเผื่อพี่ภูผาด้วยฮับ สีน้ำเงินนะฮับ” ยังอุตส่าห์มีน้ำใจนึกถึงพี่ชายคนโต
“ได้สิ ไม่ว่าต้องการอะไร พ่อสามารถจัดหาให้ได้หมดเลย”
“พ่อใจดีจังเลยฮับ”
“ใช่ค่ะ ใจดีที่ซู้ดดดเลย”
ณิชชามองภาพพ่อลูกคุยกันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เธอไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกังวลกับสถานการณ์ตรงหน้ากันแน่ แต่ที่แน่ๆ เธอเคยทำงานกับรามิล เธอรู้จักเขาดี...ผู้ชายคนนี้อันตราย ถึงเขาจะทำเหมือนอ่อนโยนกับลูก แต่เธอไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เช้าวันรุ่งขึ้น รามิลสั่งให้เด็ก ๆ แต่งตัวให้เรียบร้อยเป็นพิเศษ เพราะจะมีครูจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังมาทำการคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนในภาคเรียนถัดไปเขาได้ทำการให้เด็กๆ ลาออกจากโรงเรียนรัฐ เพื่อเข้าโรงเรียนเอกชนที่เขาเป็นคนคัดสรรว่าดีที่สุด“อย่าทำให้ผมอับอายขายหน้า หากลูกของคุณสอบไม่ผ่าน นั่นหมายความว่าเพราะคุณสั่งสอนไม่ดี” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบขณะยืนแต่งสูทเรียบหรูหน้ากระจก โดยไม่แม้แต่จะหันมามองณิชชาที่กำลังจัดชุดให้เด็ก ๆ อยู่บนโซฟา“เด็กทั้งสามคนมีศักยภาพและมีความสามารถค่ะ ฉันมั่นใจในตัวพวกเขา” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มือที่กำลังติดกระดุมเสื้อของเมฆาสั่น“ความมั่นใจลม ๆ แล้ง ๆ ของคุณ ไม่ใช่หลักประกันที่เชื่อถือได้สำหรับผม” เขาย้อนทันควันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูก“ค่ะ ดูเหมือนว่าฉันพูดอะไรไปก็จะผิดหูสำหรับคุณไปหมดเลยนะคะ”“นั่นเพราะคุณมันเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่”“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ คุณจะเหน็บ จะแซะ จะแขวะอะไรฉัน
“ตุ๊กตาแพนด้าของเมฆหายไปฮับ แงงงง” เสียงร้องไห้ของเมฆาดังลั่นบ้านในเช้าวันจันทร์ที่ควรเริ่มต้นด้วยความสดใส เมฆานั่งกอดหมอนบนโซฟา น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงหน้าเล็ก ๆ ยู่ยี่ด้วยความเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมตุ๊กตาตัวโปรดถึงหายไป ณิชชานั่งย่อตัวลงตรงหน้าลูกชายอย่างอ่อนโยน มือเรียวลูบศีรษะเล็ก ๆ เบา ๆ อย่างปลอบโยน“เมฆแน่ใจนะว่าเอาตุ๊กตามาด้วยจริง ๆ”“แน่ใจฮับคุณแม่ เมฆวางไว้บนหัวเตียงเมื่อคืนก่อนนอน เมฆกอดมันทุกคืนเลย”“ไม่ร้องนะครับคนเก่ง เดี๋ยวแม่ช่วยหานะ” หญิงสาวยิ้มให้ลูกชายอย่างให้กำลังใจ แล้วลุกขึ้นเดินหาทั่วบ้านพร้อมกับภูผาและวารินที่ช่วยกันค้นหาอย่างขะมักเขม้น ครู่ต่อมา วารินวิ่งหน้าตื่นมาจากหลังบ้าน “คุณแม่... วาเห็นตุ๊กตาอยู่ในถังขยะค่ะ”ณิชชาชะงัก หัวใจเหมือนถูกบีบอย่างแรง เธอรีบตามลูกสาวไปที่หลังบ้าน และก็เป็นอย่างที่วารินบอก... ตุ๊กตาแพนด้าขอ
เช้าวันใหม่ เด็กทั้งสามนั่งเรียงกันอยู่บนพรมผืนนุ่มในห้องนั่งเล่น วารินกำลังสานริบบิ้นหลากสีกับแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมฆากำลังจัดเรียงรถของเล่นคันโปรดอย่างขะมักเขม้น ส่วนภูผาเงียบกว่าทุกครั้ง เขานั่งอยู่ข้างน้องชายแต่สายตากลับคอยชำเลืองมองแม่ตลอดเวลาด้วยความกังวล“แม่ฮะ... วันนี้เราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมฮับ” เสียงเล็กของเมฆาถามขึ้นอย่างมีความหวัง ดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากออกไปข้างนอกหญิงสาวหันไปสบตากับลูกชายแล้วลูบศีรษะเล็ก “ถ้าพ่ออนุญาต แม่ก็พาไปได้จ้ะ”เด็กทั้งสามหันไปมองบิดาที่เพิ่งเดินลงมาจากบันไดเกือบจะพร้อมกัน รามิลมองภาพนั้นนิ่ง ๆ ด้วยแววตาเย็นชา“พ่อครับ พวกเราขอออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมคับ” ภูผาเป็นคนลุกขึ้นก่อนใคร และออกปากขออนุญาตตามประสาพี่ใหญ่หญิงสาวเห็นสายตาของเขา ก็รู้สึกขนลุก เลยรีบพูดว่า “แค่เดินเล่นเองค่ะ ช่วงนี้เด็กๆ โรงเรียนหยุดยาวด้วย ให้ได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถอะนะคะ ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีค่ะ”เขาพยักหน้าอนุญาตอย่างไม่เต็มใจนัก “ได้ แต่คุณต้องพาคนขับรถไปด้วย ห้ามพาเด็ก ๆ ไปในที่แออัด หรือสถานที่ที่คุณเคยไปสมัยทำงานในบริษัทเด็ดขาด” น้ำเสียงเข้มเต็ม
คืนนั้น ณิชชาแทบไม่ได้หลับเลย เธอนั่งเฝ้าลูก ๆ ที่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล นอนพักฟื้นอยู่ในห้องนอนส่วนตัว ร่างเล็ก ๆ ที่เพิ่งหายจากอาการป่วยยังดูอ่อนแรง หากแต่ก็ยังส่งยิ้มสดใสให้เธอเสมอ ราวกับต้องการบอกว่าพวกเขาไม่เป็นไรและไม่อยากให้เธอต้องเป็นห่วงหัวใจของคนเป็นแม่เจ็บปวดราวกับถูกกรีดเป็นริ้ว ๆ หากแต่ก็ไม่อาจเอ่ยคำใด หรืออธิบายความรู้สึกใด ๆ ให้ใครได้รับรู้เลย เธอทำได้เพียงกอดลูกๆไว้ และภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปโดยเร็วเช้าวันถัดมา รามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับไร้อารมณ์ เขาไม่แม้แต่จะชายตามองเธอสักครั้ง ขณะที่ณิชชายกถาดอาหารเช้าไปวางตรงหน้าลูก ๆ“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะให้แม่ครัวเป็นคนจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็ก ๆ เอง คุณไม่จำเป็นต้องเข้ามาในครัวอีกต่อไป” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเธอ“แต่ว่า…” ณิชชาพยายามจะค้านอย่างอ่อนแรง“อย่าได้คิดที่จะโต้แย้ง ผมไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสี่ยงกับความสะเพร่าของใครบางคน” รามิลตัดบทอย่างเด็ดขาด น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเฉียบขาดจนณิชชาไม่อาจโต้เถียงได้อีกถ้อยคำเหล่านั้นราวกับตอกย้ำว่าเธอเป็นเพียงคว
กลิ่นหอมหวานของขนมอบลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัว ณิชชาบรรจงทำอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ทุกเช้าด้วยความใส่ใจ ราวกับเป็นกิจวัตรสำคัญที่ไม่อาจละเลย เธอผสมแป้งด้วยมือ คัดสรรวัตถุดิบทุกอย่างด้วยความระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะรู้ดีว่า ไม่มีใครในบ้านหลังนี้รับรู้ในความตั้งใจของเธอเลยก็ตามแต่สำหรับเด็ก ๆ แล้ว เธอปรารถนาให้ทุกคำที่พวกเขาได้ทานเข้าไป เปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่“วันนี้แม่ทำเค้กกล้วยหอมด้วยนะลูก” เธอยิ้มละมุนขณะจัดขนมใส่จาน เตรียมเสิร์ฟพร้อมนมอุ่นหอมกรุ่นเด็กทั้งสามเดินลงมานั่งประจำที่ วารินส่งยิ้มหวานให้มารดา “วาอยากทานขนมฝีมือคุณแม่ทุกวันเลยค่ะ อร่อยที่สุดในโลก”“พี่ภูขออันที่กล้วยเยอะ ๆ นะฮะ เขาชอบกล้วย” เมฆาเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วณิชชาหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะจัดจานตามความต้องการของลูก ๆ อย่างใส่ใจ แล้วยกไปวางบนโต๊ะอาหารรามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารพอดี นัยน์ตาคมกริบปรายมองอาหารเช้าบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยทักทายเด็ก ๆ หรือแม้แต่เธอ“เช้านี้ฉันทำเค้กกล้วยหอมค่ะ ไม่มีน้ำตาลมาก เด็ก ๆ จะได้ทานง่าย ๆ” ณิชชาอ
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับอากาศเย็นสบาย หากแต่ในความรู้สึกของณิชชา กลับเหมือนต้องเดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ความอึดอัดที่เกาะกุมหัวใจยังคงหนักอึ้ง เธอตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมนมกล่องและอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ด้วยความใส่ใจ แม้ในใจจะตระหนักดีถึงสถานะของตนเองในบ้านหลังนี้เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร รามิลปรากฏตัวในชุดสูทสีเทาเข้ม ใบหน้าคมคายเรียบนิ่งราวกับรูปสลักหินอ่อน"เด็ก ๆ ยังไม่ลงมาอีกหรือไง" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ"กำลังล้างมือกันอยู่ค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว" ณิชชาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพรามิลกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะอาหาร ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา "นมต้องอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอดี ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส อาหารว่างควรมีผลไม้สดเพื่อเพิ่มวิตามิน ไม่ใช่แค่ขนมปังอย่างเดียว นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นแม่ควรใส่ใจ หากคิดจะทำหน้าที่แม่ของลูก ๆ ผม"ณิชชากล้ำกลืนความรู้สึกขุ่นเคืองลงไป พยักหน้ารับอย่างสงบเสงี่ยม เธอรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งใด ๆเด็ก ๆ วิ่งกรูเข้ามาในห้องอาหารด้วยท่าทีร่าเริง เมฆาเป็นคนแรกที่ส่งเสียงใส "คุณพ่ออออ"รามิลยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายคนเล็ก "