ร่างบอบบางค่อย ๆ ย่างขึ้นไปตามขั้นบันใดอย่างเงียบกริบ เธอรู้สึกคุ้นเหลือเกินกับเสียงทุ้มต่ำที่ดังอยู่ท่ามกลางความเงียบนั้น กระทั่งก้าวไปถึงด้านหลังของตู้เครื่องดื่มจารชนสาวก็แทบจะหยุดหายใจเมื่อเห็นชัด ๆ ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่นั้นเป็นใครจากแสงไฟที่ส่องลงตกกระทบบนใบหน้าเหี้ยมเกรียม
เฟลรอฟ!! นี่เขายังไม่ตาย เจ้าวายร้ายรัสเซียนมหาภัยที่ฆ่าทุกคนได้ไม่มีละเว้น อลินทิราค่อย ๆ ลดตัวลงนั่งในมุมมืดหลังตู้ของบาร์เครื่องดื่มและลอบมองเหตุการณ์เบื้องหน้าที่เธอไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง คนที่เธอรัวยิงและคิดว่าตายไปแล้วที่ร้านอาหารในนิวยอร์คเมื่อวันก่อนยังดูสบายดีในชุดหนังสีดำสนิทและกางเกงเดนิมบนร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม เขายืนคู่กันกับชายผิวขาวอีกคนที่เธอไม่คุ้นเคยซึ่งแต่งกายในลักษณะเดียวกัน คนพวกนี้ดูคล้ายกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าและจิตใจอำมหิตผิดมนุษย์ซึ่งหญิงสาวรู้จักนักฆ่าในองค์กรเป็นอย่างดี เธอกำลังถูกตลบหลังหรือนี่
จารชนสาวพยายามกลั้นลมหายใจตัวเองเมื่อเธอเห็นร่างระหงเพรียวบางของใครคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงเข้ารูปที่ยืนหันเสี้ยวหน้าด้านข้างและกำลังพูดคุยด้วยอารมณ์เคร่งเครียด
“จนป่านนี้พวกแกยังไม่พบร่องรอยอะไรเลยหรือว่าออโซลย่าไปกบดานอยู่ที่ไหน?”
เสียงหวานที่เปลี่ยนเป็นดุดันเกรี้ยวกราดขึ้นขณะชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้ายืนประสานมือในท่าสงบและรับฟัง
“เรารู้จากสายที่รายงานแต่เพียงว่าออโซลย่ามุ่งหน้าไปยูทาห์หลังจากที่มันหักหลังเราแล้วเอาข้อมูลสำคัญกับเช็คเงินสดยี่สิบล้านดอลล่าห์ติดตัวไปด้วยครับ”
เฟลรอฟเป็นผู้รายงานและทำจมูกย่นเหมือนยังติดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย
“ออโซลย่ามันฉลาด” เขากล่าวต่อสีหน้าเคร่งเครียด “มันไหวตัวทันว่าพวกเราไม่ต้องการเก็บมันไว้ โชคดีที่ผมสวมเสื้อเกราะอ่อน ไม่อย่างนั้นก็คงเป็นศพอยู่ในร้านที่นัดพบกับมันไปแล้ว”
“ฉันเตือนพวกแกแล้วยังไงว่านังนี่มันไม่ธรรมดา! ถึงฉันจะไม่เคยเห็นหน้าและพูดคุยกับสายลับมือหนึ่งของไซออนเนตโดยตรงแต่ฉันก็รู้ว่าจะประมาทมันไม่ได้”
“แต่...บอสครับ ออโซลย่าไม่ได้มีฝีมือการต่อสู้เหมือนสายลับคนอื่น ๆ นะครับ”
“แต่แกก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะมัน เฟลรอฟ!”
เสียงกราดเกรี้ยวที่แย้งขึ้นทำเอาอีกฝ่ายนิ่งไปและเพียงก้มหน้ารับฟังคำพูดต่อจากนั้น
“แกเป็นนักฆ่ามือหนึ่งขององค์กรก็จริง แต่แก...ไม่มีวันตามทันความคิดของออโซลย่า ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีฝีมือเก่งกาจหรือต่อสู้ได้เยี่ยมยอดอย่างผู้ชาย แค่มีตรงนี้” บุคคลผู้ถูกเรียกว่า บอส ชี้ไปที่ขมับตัวเองก่อนกล่าวต่อ “มันก็ทำให้พวกแกหมดลมหายใจได้แทบไม่ทันรู้ตัว”
“บอสครับ”
ชายอีกคนแทรกขึ้นขณะร่างเพรียวระหงหย่อนตัวลงนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้อาบแดด
“ตอนนี้ออโซลย่าหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย จากการตรวจสอบกับทางธนาคารก็ไม่มีการเคลื่อนไหวในบัญชี มันคงยังไม่กล้าทำอะไรกับเช็คยี่สิบล้านดอลล่าห์นั่น”
“มันอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าข้อมูลที่มันได้ไปมีมูลค่าสูงยิ่งกว่านั้นก็ในเมื่อพวกผลิตอาวุธสงครามมันเสนอให้เรามากกว่าหนึ่งร้อยล้านดอลล่าห์!”
บอส แสดงท่าทีฉุนเฉียวในขณะที่คนทั้งสองก็ยังคงรับฟังด้วยอาการสงบเช่นเดิม
“ตอนที่แดเนียล ไพรซ์กับทีมวิจัยค้นพบธาตุหนักชนิดใหม่ มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ เขาพยายามปิดมันไว้เป็นความลับซึ่งฉันก็ได้แต่สงสัย กระทั่งฉันแน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงจากการติดเครื่องดักฟังที่ตัวของหนึ่งในนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ของทีมวิจัย ฉันรอคอยสิ่งนี้มานานมากเท่า ๆ กับที่แดเนียลรอคอยผลงานของเขา แต่ฉันก็ใจร้อนมากเกินกว่าจะทนรอให้เขาจดลิขสิทธิ์การค้นพบธาตุชนิดใหม่ของโลก ฉันเลยวางใจให้ออโซลย่าซึ่งฉันคิดว่าหล่อนทำงานไม่เคยพลาดเข้าไปโจรกรรมข้อมูลในห้องทดลองของเขาได้โดยสะดวก ฉันมีแผนที่ในคฤหาสน์ รู้ทางหนีทีไล่ทุกซอกทุกมุมในที่แห่งนั้น ฉันมีรหัสการเข้าออกของประตูทุกบานในห้องปฏิบัติการไซโคลตรอนที่มีระบบความปลอดภัยแน่นหนา ออโซลย่าแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร แค่เข้าไปแล้วหยิบชิปเก็บข้อมูลออกมาให้ ฉันเกือบจะได้ครอบครองทุกอย่างอยู่แล้ว แต่มันก็ทำทุกอย่างพัง! มันเอาข้อมูลนั่นไป...ฉันไม่เก็บมันไว้แน่ เฟลรอฟ!”
“บอสครับ...แต่ก็มีเบาะแสบางอย่างที่ทำให้เราเข้าใกล้ออโซลย่ามากขึ้นในตอนนี้ ตอนที่มันเดินทางไปยูทาห์ มันเปลี่ยนชื่อกับนามสกุลและซื้อรถคาดิลแล็คเก่า ๆ จากอู่ขายรถมือสอง มีคนพบรถคันนั้นจอดทิ้งไว้ที่แคนยอนแลนด์ มันคงต้องการไปหาใครสักคนแต่เราไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมมันทิ้งรถกับสัมภาระไว้ที่นั่น
“แดเนียล...ฉันรักคุณค่ะ ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณจะไม่กลับมาหาฉันอีก”“ผมต้องกลับมาที่รัก” เขาก้มลงจูบบนเปลือดกตาของหญิงสาวที่ตัวเธอสั่นสะทานขึ้นมาราวกับยังหวาดหวั่น “ยอดดวงใจของผม คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวมากแค่ไหนถ้ามาถึงที่นี่แล้วไม่พบคุณ”“บ้าน...เป็นที่สุดท้ายสำหรับฉันค่ะ จารชนที่แต่นี้ไปจะเป็นแค่คนธรรมดา แดนคะ...มาเต้นรำกันเถอะค่ะ ฟังซีคะ ต้นหญ้าและขุนเขากำลังร้องเพลง”ร่างอรชรผละห่างจากชายหนุ่มและเริ่มร่ายรำด้วยท่าทางอย่างบัลเล่ต์รีน่าท่ามกลางทุ่งหญ้าส่ายไหวอาบแสงสีเงิน แดเนียลยืนล้วงกระเป๋าและอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ ม้าพันธุ์เทอโรเบรดด้วยความรู้สึกสุขใจ ดวงตาสีน้ำเงินอมม่วงลึกล้ำจับจ้องอยู่ที่ร่างแน่งน้อยที่กำลังเริงระบำกลางที่ราบทุ่งหญ้าพลิ้วไหว เขารักอลินทิรามากเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ตามลำพังและมองเห็นความวาดหวังถึงชีวิตครอบครัวอันอบอุ่นในกาลเบื้องหน้า นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาตามหามาตลอดชีวิตก็เป็นได้ศาลาที่ว่าการกรุงออสโลว์ ประเทศนอรเวย์เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างบอบบางในชุดราตรีสีฟ้าครามซึ่งนั่งอย่างสงบบนเบาะหลังรถเอสยูวีคันใหญ่รีบหยิบขึ้นมากดรับสาย“สวัสดีจ้ะ ซอนญ่า”“ค่ะ...แม่”
“แดน...ที่ผ่านมาคุณไม่คิดบ้างหรือคะว่าฉันเคยทำอะไรแย่ ๆ กับคุณบ้าง อย่างเช่นวางยาคุณ หรือตั้งใจจะเอาคืนให้คุณเจ็บแสบ”“อะไร ๆ อาจแย่กว่านี้ถ้าผมไม่ได้รู้จักคุณ...ออโซลย่า”หญิงสาวเอียงคอเพื่อมองใบหน้าคร้ามคมที่ลดจมูกลงมาเคลียบนแก้มนุ่ม“คุณคงยังไม่ลืมเธอซีนะคะ”“ผมไม่เคยลืมสายลับสาวแสนสวยที่เก่งกาจถึงขนาดถอดรหัสผ่านประตูนิรภัยของผมได้ และยิ่งกว่านั้นเสน่ห์ของเธอก็มัดใจผมไว้จนดิ้นไม่หลุด”“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะแดน...ฉันน่ะไม่เห็นว่าคุณจะพูดดีกับฉันสักหน” อลินทิราอดที่จะตั้งคำถามกับคนที่เธอรักไม่ได้แม้เวลานั้นจะล่วงเลยมาแล้วก็ตาม“อืม...คงตั้งแต่พบกันครั้งแรกในแคนยอน แลนด์ ผู้หญิงอะไรเจ้าเล่ห์ชะมัดทั้งที่รู้ว่าสู้ผมไม่ได้”“ฉันอยากจะฆ่าคุณ” เธอย่นจมูก “ทึ้งคุณให้หลุดเป็นชิ้น ไม่เคยมีใครตามติดและต้อนฉันจนมุมได้เหมือนคุณ”“ตอนแรกคุณจินตนาการว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน ซอนญ่า” ชายหนุ่มจุดความอบอุ่นในกายหญิงสาวด้วยการขบเม้มเบา ๆ ที่ใบหูเล็กบาง“ตอนที่ฉันจะรับงานนี้ ฉันแทบไม่สนใจข้อมูลเจ้าของชิปนั่นเลยสักนิดเดียว ฉันคิดเอาเองว่า แดเนียล ไพรซ์ คงเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อ เขาคงเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
“แม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขค่ะ ท่านยังปลูกผักและเดินเป็นระยะไกล ๆ ได้ ถึงท่านจะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เหงา เพราะว่าเจ้าอิงลิชกับเจ้ามูนวอล์คเกอร์นี่ล่ะค่ะ”หญิงสาวหันกลับไปยังม้าสองตัวที่ยื่นหน้าเข้ามาให้เธอลูบไล้แผงคอของพวกมันเล่น พวกมันดูคุ้นเคยและทำราวกับคิดถึงนายของมัน“ตัวนี้เป็นม้าอิงลิช เทอโรเบรดค่ะ มันเป็นม้าฝีเท้าดี ฉันตั้งชื่อมันว่าอิงลิช” อลินทิราบอกพลางลูบไล้ไปบนหัวของม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มซึ่งเรือนขนบนหลังและหางมีสีดำเป็นมันวาว มันดูบึกบึนแข็งแรงทว่าก็เชื่องอย่างไม่น่าเชื่อ“ผมเคยอ่านประวัติของม้าพันธุ์ผสมพวกนี้ ตอนศตวรรษที่สิบเจ็ดนักล่าอาณานิคมพยายามพัฒนาสายพันธุ์ม้าอเมริกันใหม่ ๆ ก็เลยผสมพันธุ์ม้าพื้นเมืองกับม้าแคนาดา มันขึ้นชื่อเรื่องของความแข็งแรง พอหลังจากนั้นก็ผสมกับม้าพันธุ์อิงลิชเทอโรเบรดอย่างเจ้าอิงลิชของคุณนี่ไง”แดเนียลเสริมแต่ยังไม่สัมผัสตัวของมันเหมือนหญิงสาว“และนี่...เจ้ามูนวอล์คเกอร์ค่ะ มันเป็นม้าป่าพันธุ์สเปน เรียกได้อีกอย่างว่าซัลเฟอร์ เป็นม้าของรัฐยูทาห์ค่ะ แม่เป็นคนตั้งชื่อให้เพราะตอนพามาเลี้ยงใหม่ ๆ มันหายไปตอนคืนจันทร์เต็มดวง เราคิดว่ามันคงถูกขโมยหรือไม่ก
“ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะขอคุณแต่งงาน แต่ผมยังไม่ได้พบแม่บุญธรรมของคุณ ไม่รู้ท่านจะว่ายังไงบ้าง”“ฉันจะว่ายังไงได้ล่ะคะ”เสียงของหญิงสูงวัยที่แทรกขึ้นมาทำให้สองหนุ่มสาวหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน“แม่!” อลินทิราอุทานออกมา เธอลืมตัวจะผละห่างจากชายหนุ่มทว่าแดเนียลยังกอบกุมมือเรียวบางไว้แน่น ดาเลียซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยิ้มกับผู้มาใหม่ นางมองเขาด้วยสายตาบอกความประหลาดใจหากก็เต็มไปด้วยความตื้นตัน“สวัสดีค่ะ...ฉันคือดาเลีย เฮอเกรล ฉันเป็นแม่บุญธรรมของอัลลี่เองค่ะ”ดาเลียแนะนำตัวในขณะที่ชายหนุ่มคลายมือจากหญิงสาว“สวัสดีครับคุณแม่ ผม แดเนียล ไพรซ์”“แม่กลับมาตอนไหนคะ ทำไมหนูไม่ได้ยินเสียงเลย”ร่างบางถามแก้เก้อ เธอดูเงอะงะไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือจะแสดงท่าทางอย่างไรต่อหน้าแม่บุญธรรมในสถานการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้“แม่ลืมของที่จะเอาไปฝากลุงเคิร์คน่ะจ้ะ เลยกลับมาและก็ทันได้ยินว่า คุณแดเนียลจะขอหนูแต่งงาน นี่เป็นความจริงหรือจ๊ะ?”“เป็นความจริงครับคุณแม่”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสูงวัย นางจ้องมองเขาไม่วาง แดเนียล ไพรซ์ เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์ดึงดูด เขาทำให้ดาเลียพรึงเพริศราวถูกสะกดด้วยนัย
แดเนียลอธิบายในขณะที่อาการตื่นกลัวของอีกฝ่ายเริ่มคลายลง อลินทิราเห็นแววตาคู่นั้นหม่นแสงเมื่อเขาพูดต่อไป“เธอแอบจัดตั้งมูลนิธิในนาม ไพรซ์ คอร์ป เพื่อซออนเนต และถ่ายโอนเงินเป็นท่อน้ำเลี้ยงเพื่อองค์กรของตัวเอง พอเออร์วิ่งรายงานเรื่องนี้พร้อมทั้งยืนยันด้วยเอกสาร ผมก็เริ่มส่งคคนตามประกบจนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ข้อมูลว่าโมนิกานัดพบกับ อลัน ทีทอน เจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามของยุโรป...ผมตามเธอไปพร้อมกับตำรวจและหน่วยสวาทติดอาวุธครบมือ”“ตำรวจคงจับเธอได้แล้วใช่ไหมคะ แดเนียล?”หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น ความตื่นเต้นประดังอยู่ในอกแทบระเบิดด้วยอยากรู้วาระสุดท้ายของนายใหญ่แห่งไซออนเนต ทว่าแดเนียลกลับยิ้มขื่นและตอบว่า“โมนิกาเป็นคนเก่ง เธอเป็นอัจฉริยะ แต่...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยถาม“เธอหนีไปได้ใช่ไหมคะ?”ร่างสูงส่ายหน้าและสูดลมหายใจลึก “โมนิกา...ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ...วิสามัญ”“พระเจ้า!”“เราจัดพิธีศพให้เธอและฝังเธอไว้ในสุสานของตระกูล เมื่อไม่มีนายใหญ่ ไซออนเนตก็ถึงจุดจบ”“บางที...อาจจะไม่” อลินทิราขืนตัวออกจากแขนแกร่ง ดวงตาคู่สวยรื้นน้ำและแดงก่ำ“อาจเป็นจุดจบของไซออนเนต แต่คุณ
“ตอนผมไปโรงพยาบาลและพบหมอที่รักษาคุณ เขาบอกว่าภรรยาของผมอาการดีขึ้นมากและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ หมอกำชับผมให้ดูแลคุณเป็นพิเศษ ผมคิดว่าจะไม่ถามอะไรต่อจนคุณหมอเข้ามาแสดงความยินดีที่ผมจะได้เป็นพ่อคน เพราะภรรยาของผมตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก เธอรับฟังทุกอย่างแต่เหมือนยังมีสิ่งค้างคาใจ“แดนคะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีหรือปกปิดเรื่องนี้ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณกลับไปแคลิฟอเนียเป็นเพราะคุณต้องรีบกลับไปหาโมนิกาหรือเปล่า”“ใช่...โมนิกาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องรีบกลับไปที่นั่น”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลและทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายหมองลงอย่างเหนได้ชัด กระทั่งเขาพูดต่อทั้งที่กอดเธอไว้แน่น“ตอนที่คุณยังไม่ฟื้นหลังจากหมอผ่าตัดเอากระสุนฝังในออก ผมได้รับโทรศัพท์จากเออร์วิ่ง เขาเป็นนักสืบเอกชนฝีมือดีที่ผมจ้างมาสืบเรื่องนี้ เออร์วิ่งให้ผมรีบกลับไปที่ซานตาโมนิกาด่วนเพราะเขามีข้อมูลบางอย่างให้ผมดู มันเป็นข้อมูลความผิดปกติทางด้านการเงินของบริษัท ตอนแรกที่เขาเข้ามาสืบเรื่องชิปที่หายไป เขารู้แค่ว่ามันเชื่อมโยงกับองค์กรลับไซออนเนต แต่การล้วงข้อมูลลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้เออร์วิ่งพบกับสิ่งที่น่าต