“ขอโทษที เออร์วิ่ง...ผมมีธุระยุ่งเล็กน้อย” แดเนียลกล่าวก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมหลังโต๊ะทำงาน ท่าทางของเขาทำให้เออร์วิ่งส่ายหน้า
“คุณคงยุ่งมากล่ะสิท่าถึงได้ปล่อยให้หนวดเครารกครึ้มแบบนั้น”
นักสืบหนุ่มร่างสูงผมทองยังมีอารมณ์ขัน แต่คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบคางไปมา
“โอเค...ผมต้องเดินทางมาที่นี่ด่วนตามความต้องการของคุณเลยไม่มีเวลามากนัก ถ้าเป็นไปได้ปัญหานี้ผมจะอธิบายให้ ฟังทีหลัง ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากรู้คือเบาะแสของคุณที่เกี่ยวกับไพรซ์ คอร์ป”
“ขอบคุณมากแดเนียล...ที่ผมต้องให้คุณรีบกลับมาก็เพราะอยากให้คุณรับทราบเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริษัทด้วยตัวคุณเอง ผมกับทีมนักสืบพยายามสืบหาเบาะแสทุกอย่างกระทั่งเราตรวจสอบพบความไม่ชอบมาพากลของการดำเนินงานภายในไพรซ์ กรุ๊ป...เราพบว่าบริษัทของคุณมีการจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมาโดยใช้ชื่อนี้”
เออร์วิ่งยื่นเอกสารให้แดเนียลรับไปดูซึ่งบนหน้ากระดาษมีตัวอักษรว่า
Prize Group Foundation for Sionate (มูลนิธิไพรซ์ กรุ๊ป เพื่อองค์กรไซออนเนต)
แดเนียลพิจารณาดูก่อนส่ายหน้า
“เราจัดตั้งมูลนิธิการกุศลหลายมูลนิธิก็จริง แต่ไม่เคยมีมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับองค์กรนี้เลย”
“คุณแน่ใจหรือ แดเนียล ในเมื่อคุณเป็นประธานบริหารในกลุ่มไพรซ์ กรุ๊ป...ถ้าอย่างนั้นใครกันที่เป็นคนจัดการเกี่ยวกับการก่อตั้งมูลนิธิและมีอำนาจเด็ดขาดในกระทำโดยไม่ต้องผ่านมือคุณ”
“ไพรซ์ กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทที่ใหญ่มาก นอกจากผู้จัดการด้านทรัพย์สินของบริษัทเราได้แต่งตั้งรองประธานกรรมการขึ้นมาอีกสามคน โดยเป็นคนในครอบครัวของเรา สองคนคือน้องชายผม คิลเลียนและเอเดรียน ส่วนอีกคน...”
ชายหนุ่มเว้นจังหวะขณะประหวัดคิดไปถึงต่างหูเพชรที่หล่นอยู่ในห้องทำงานก่อนพูดคำสุดท้ายออกมาเสียงแผ่ว
“โมนิกา...โมนิกา ไพรซ์ ลูกสาวคนเดียวของอาที่ผมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานของไพรซ์ กรุ๊ป”
“เธอจบด้านการเงินการธนาคารจากมหาวิทยาลัยเยล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา และคุณเคยรู้หรือเปล่าว่าเธอมีไอคิวสูงมากกว่าคนปกติทั่วไปถึงระดับ 250”
คำกล่าวของเออร์วิ่งที่เสริมขึ้นนั้นทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูง สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับโมนิกาไม่มากไปกว่าการที่เธอต้องอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางญาติสนิทเพราะบิดามารดาแยกทางตั้งแต่เล็ก เธอเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ไพรซ์แต่เด็กและทุกคนก็ไว้วางใจในตัวโมนิกาไม่เว้นแม้แต่เขาและน้องชายอีกสองคน
“คุณอยากจะบอกอะไรผม...เออร์วิ่ง”
“แดเนียล...สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณน่ะมันมากมายจนตัวคุณเองอาจคาดไปไม่ถึง แต่คุณจำเป็นต้องรู้สิ่งนี้เพราะผมคิดว่าบางทีมันอาจยังไม่สายเกินไป”
นักสืบหนุ่มยื่นแฟ้มเอกสารอีกปึกหนึ่งให้ประธานไพรซ์ คอร์ปพิจารณา แดเนียลดูเอกสารเหล่านั้นแค่ปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเกิดความผิดปกติด้านการเงินกับบริษัท เออร์วิ่งรออยู่ชั่วขณะก่อนอธิบาย
“ตอนที่คุณเรียกผมกับทีมนักสืบเข้ามาช่วยหาเบาะแสชิปที่ถูกขโมยไป หลักฐานทุกอย่างที่ได้ก็ถูกเชื่อมโยงเข้ากับไซออนเนต มันเป็นองค์กรลับที่มีเครื่อข่ายโยงใยกับกลุ่มผลิตและค้าอาวุธสงครามซึ่งอาจรวมถึงพวกก่อการร้าย แต่มีฉากหน้าเป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อการกุศลโดยไม่แสวงหาผลกำไร มันกำลังขยายตัวแต่ก็ถูกเอฟบีไอจับตาดูอยู่อย่างเงียบ ๆ โครงข่ายของไซออนเนตเหมือนรังมด มันถูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ ในขณะเดียวกันก็มีรายละเอียดซับซ้อนไม่ใช่เล่น คนขององค์กรเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญมาก พวกเขาไม่ใช่อัจฉริยะหรืออาชญากรแต่มีจุดยืนร่วมกันคือช่วยรักษาโลกให้พ้นจากการก่อการร้าย”
“ฟังดูดี” แดเนียลกล่าวสั้น ๆ แต่ความคิดในสมองกลับวิ่งพล่านราวไม่มีจุดดสิ้นสุด
“ถ้ารัสปูตินสร้างเหล่าสาวกได้จากความศรัทธา มันก็ดูเหมือนว่าไซออนเนตก็ใช้วิธีการเช่นนั้น พวกเราเริ่มสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรลึกลับนี้จากพื้นดินลงลึกไปถึงเบื้องล่างจนเรารู้ว่ามันเป็นองค์กรที่อันตรายมาก มันเหมือนเควซาร์ เป็นวัตถุในอวกาศที่เขมือบทุกอย่าง มันเป็นพวกกระหายข้อมูลโดยเฉพาะการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เพื่อถ่ายโอนไปให้พวกผลิตอาวุธสงครามแลกกับค่าตอบแทนมหาศาล และการค้นพบธาตุชนิดใหม่ก็เป็นหนึ่งในข้อมูลที่พวกมันต้องการเป็นอย่างมาก ทีนี้คุณก็คงพอเข้าใจแล้วว่าองค์กรนี้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไร...แต่เหนืออื่นใดเราได้สืบสาวไปถึงที่ที่มีความสำคัญ มันเป็นแหล่งเสบียงหรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นแหล่งเงินทุน เราพยายามหาว่ามันอยู่ที่ไหนและเราก็พบว่าท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ขององค์กรมาจาก ไพรซ์ คอร์ป นี่เอง”
แดเนียลปิดแฟ้มเอกสารลงพร้อม ๆ กับที่เออร์วิ่งกล่าวจบ เขาถอนหายใจก่อนหันไปยังนักสืบเอกชน
“ขอบคุณมากเออร์วิ่ง ผมก็มีอะไรจะบอกคุณเหมือนกันว่า ตอนนี้ผมได้ชิปข้อมูลนั่นกลับมาแล้ว”
“หา! อะไรนะ แดเนียล!” นักสืบหนุ่มตาวาว “นี่คุณได้ชิปสำคัญนั่นกลับมาแล้วจริง ๆ หรือ ออโซลย่าคืนชิปให้คุณแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ผมได้ชิปคืนมาแล้ว แต่มีเรื่องน่าตกใจเกี่ยวกับชิปที่ไซออนเนตอยากได้ เพราะมันมีมูลค่าการโจรกรรมสูงถึงยี่สิบล้านดอลลาห์สหรัฐ”
“แดเนียล...ฉันรักคุณค่ะ ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณจะไม่กลับมาหาฉันอีก”“ผมต้องกลับมาที่รัก” เขาก้มลงจูบบนเปลือดกตาของหญิงสาวที่ตัวเธอสั่นสะทานขึ้นมาราวกับยังหวาดหวั่น “ยอดดวงใจของผม คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวมากแค่ไหนถ้ามาถึงที่นี่แล้วไม่พบคุณ”“บ้าน...เป็นที่สุดท้ายสำหรับฉันค่ะ จารชนที่แต่นี้ไปจะเป็นแค่คนธรรมดา แดนคะ...มาเต้นรำกันเถอะค่ะ ฟังซีคะ ต้นหญ้าและขุนเขากำลังร้องเพลง”ร่างอรชรผละห่างจากชายหนุ่มและเริ่มร่ายรำด้วยท่าทางอย่างบัลเล่ต์รีน่าท่ามกลางทุ่งหญ้าส่ายไหวอาบแสงสีเงิน แดเนียลยืนล้วงกระเป๋าและอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ ม้าพันธุ์เทอโรเบรดด้วยความรู้สึกสุขใจ ดวงตาสีน้ำเงินอมม่วงลึกล้ำจับจ้องอยู่ที่ร่างแน่งน้อยที่กำลังเริงระบำกลางที่ราบทุ่งหญ้าพลิ้วไหว เขารักอลินทิรามากเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ตามลำพังและมองเห็นความวาดหวังถึงชีวิตครอบครัวอันอบอุ่นในกาลเบื้องหน้า นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาตามหามาตลอดชีวิตก็เป็นได้ศาลาที่ว่าการกรุงออสโลว์ ประเทศนอรเวย์เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างบอบบางในชุดราตรีสีฟ้าครามซึ่งนั่งอย่างสงบบนเบาะหลังรถเอสยูวีคันใหญ่รีบหยิบขึ้นมากดรับสาย“สวัสดีจ้ะ ซอนญ่า”“ค่ะ...แม่”
“แดน...ที่ผ่านมาคุณไม่คิดบ้างหรือคะว่าฉันเคยทำอะไรแย่ ๆ กับคุณบ้าง อย่างเช่นวางยาคุณ หรือตั้งใจจะเอาคืนให้คุณเจ็บแสบ”“อะไร ๆ อาจแย่กว่านี้ถ้าผมไม่ได้รู้จักคุณ...ออโซลย่า”หญิงสาวเอียงคอเพื่อมองใบหน้าคร้ามคมที่ลดจมูกลงมาเคลียบนแก้มนุ่ม“คุณคงยังไม่ลืมเธอซีนะคะ”“ผมไม่เคยลืมสายลับสาวแสนสวยที่เก่งกาจถึงขนาดถอดรหัสผ่านประตูนิรภัยของผมได้ และยิ่งกว่านั้นเสน่ห์ของเธอก็มัดใจผมไว้จนดิ้นไม่หลุด”“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะแดน...ฉันน่ะไม่เห็นว่าคุณจะพูดดีกับฉันสักหน” อลินทิราอดที่จะตั้งคำถามกับคนที่เธอรักไม่ได้แม้เวลานั้นจะล่วงเลยมาแล้วก็ตาม“อืม...คงตั้งแต่พบกันครั้งแรกในแคนยอน แลนด์ ผู้หญิงอะไรเจ้าเล่ห์ชะมัดทั้งที่รู้ว่าสู้ผมไม่ได้”“ฉันอยากจะฆ่าคุณ” เธอย่นจมูก “ทึ้งคุณให้หลุดเป็นชิ้น ไม่เคยมีใครตามติดและต้อนฉันจนมุมได้เหมือนคุณ”“ตอนแรกคุณจินตนาการว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน ซอนญ่า” ชายหนุ่มจุดความอบอุ่นในกายหญิงสาวด้วยการขบเม้มเบา ๆ ที่ใบหูเล็กบาง“ตอนที่ฉันจะรับงานนี้ ฉันแทบไม่สนใจข้อมูลเจ้าของชิปนั่นเลยสักนิดเดียว ฉันคิดเอาเองว่า แดเนียล ไพรซ์ คงเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อ เขาคงเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
“แม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขค่ะ ท่านยังปลูกผักและเดินเป็นระยะไกล ๆ ได้ ถึงท่านจะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เหงา เพราะว่าเจ้าอิงลิชกับเจ้ามูนวอล์คเกอร์นี่ล่ะค่ะ”หญิงสาวหันกลับไปยังม้าสองตัวที่ยื่นหน้าเข้ามาให้เธอลูบไล้แผงคอของพวกมันเล่น พวกมันดูคุ้นเคยและทำราวกับคิดถึงนายของมัน“ตัวนี้เป็นม้าอิงลิช เทอโรเบรดค่ะ มันเป็นม้าฝีเท้าดี ฉันตั้งชื่อมันว่าอิงลิช” อลินทิราบอกพลางลูบไล้ไปบนหัวของม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มซึ่งเรือนขนบนหลังและหางมีสีดำเป็นมันวาว มันดูบึกบึนแข็งแรงทว่าก็เชื่องอย่างไม่น่าเชื่อ“ผมเคยอ่านประวัติของม้าพันธุ์ผสมพวกนี้ ตอนศตวรรษที่สิบเจ็ดนักล่าอาณานิคมพยายามพัฒนาสายพันธุ์ม้าอเมริกันใหม่ ๆ ก็เลยผสมพันธุ์ม้าพื้นเมืองกับม้าแคนาดา มันขึ้นชื่อเรื่องของความแข็งแรง พอหลังจากนั้นก็ผสมกับม้าพันธุ์อิงลิชเทอโรเบรดอย่างเจ้าอิงลิชของคุณนี่ไง”แดเนียลเสริมแต่ยังไม่สัมผัสตัวของมันเหมือนหญิงสาว“และนี่...เจ้ามูนวอล์คเกอร์ค่ะ มันเป็นม้าป่าพันธุ์สเปน เรียกได้อีกอย่างว่าซัลเฟอร์ เป็นม้าของรัฐยูทาห์ค่ะ แม่เป็นคนตั้งชื่อให้เพราะตอนพามาเลี้ยงใหม่ ๆ มันหายไปตอนคืนจันทร์เต็มดวง เราคิดว่ามันคงถูกขโมยหรือไม่ก
“ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะขอคุณแต่งงาน แต่ผมยังไม่ได้พบแม่บุญธรรมของคุณ ไม่รู้ท่านจะว่ายังไงบ้าง”“ฉันจะว่ายังไงได้ล่ะคะ”เสียงของหญิงสูงวัยที่แทรกขึ้นมาทำให้สองหนุ่มสาวหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน“แม่!” อลินทิราอุทานออกมา เธอลืมตัวจะผละห่างจากชายหนุ่มทว่าแดเนียลยังกอบกุมมือเรียวบางไว้แน่น ดาเลียซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยิ้มกับผู้มาใหม่ นางมองเขาด้วยสายตาบอกความประหลาดใจหากก็เต็มไปด้วยความตื้นตัน“สวัสดีค่ะ...ฉันคือดาเลีย เฮอเกรล ฉันเป็นแม่บุญธรรมของอัลลี่เองค่ะ”ดาเลียแนะนำตัวในขณะที่ชายหนุ่มคลายมือจากหญิงสาว“สวัสดีครับคุณแม่ ผม แดเนียล ไพรซ์”“แม่กลับมาตอนไหนคะ ทำไมหนูไม่ได้ยินเสียงเลย”ร่างบางถามแก้เก้อ เธอดูเงอะงะไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือจะแสดงท่าทางอย่างไรต่อหน้าแม่บุญธรรมในสถานการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้“แม่ลืมของที่จะเอาไปฝากลุงเคิร์คน่ะจ้ะ เลยกลับมาและก็ทันได้ยินว่า คุณแดเนียลจะขอหนูแต่งงาน นี่เป็นความจริงหรือจ๊ะ?”“เป็นความจริงครับคุณแม่”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสูงวัย นางจ้องมองเขาไม่วาง แดเนียล ไพรซ์ เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์ดึงดูด เขาทำให้ดาเลียพรึงเพริศราวถูกสะกดด้วยนัย
แดเนียลอธิบายในขณะที่อาการตื่นกลัวของอีกฝ่ายเริ่มคลายลง อลินทิราเห็นแววตาคู่นั้นหม่นแสงเมื่อเขาพูดต่อไป“เธอแอบจัดตั้งมูลนิธิในนาม ไพรซ์ คอร์ป เพื่อซออนเนต และถ่ายโอนเงินเป็นท่อน้ำเลี้ยงเพื่อองค์กรของตัวเอง พอเออร์วิ่งรายงานเรื่องนี้พร้อมทั้งยืนยันด้วยเอกสาร ผมก็เริ่มส่งคคนตามประกบจนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ข้อมูลว่าโมนิกานัดพบกับ อลัน ทีทอน เจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามของยุโรป...ผมตามเธอไปพร้อมกับตำรวจและหน่วยสวาทติดอาวุธครบมือ”“ตำรวจคงจับเธอได้แล้วใช่ไหมคะ แดเนียล?”หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น ความตื่นเต้นประดังอยู่ในอกแทบระเบิดด้วยอยากรู้วาระสุดท้ายของนายใหญ่แห่งไซออนเนต ทว่าแดเนียลกลับยิ้มขื่นและตอบว่า“โมนิกาเป็นคนเก่ง เธอเป็นอัจฉริยะ แต่...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยถาม“เธอหนีไปได้ใช่ไหมคะ?”ร่างสูงส่ายหน้าและสูดลมหายใจลึก “โมนิกา...ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ...วิสามัญ”“พระเจ้า!”“เราจัดพิธีศพให้เธอและฝังเธอไว้ในสุสานของตระกูล เมื่อไม่มีนายใหญ่ ไซออนเนตก็ถึงจุดจบ”“บางที...อาจจะไม่” อลินทิราขืนตัวออกจากแขนแกร่ง ดวงตาคู่สวยรื้นน้ำและแดงก่ำ“อาจเป็นจุดจบของไซออนเนต แต่คุณ
“ตอนผมไปโรงพยาบาลและพบหมอที่รักษาคุณ เขาบอกว่าภรรยาของผมอาการดีขึ้นมากและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ หมอกำชับผมให้ดูแลคุณเป็นพิเศษ ผมคิดว่าจะไม่ถามอะไรต่อจนคุณหมอเข้ามาแสดงความยินดีที่ผมจะได้เป็นพ่อคน เพราะภรรยาของผมตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก เธอรับฟังทุกอย่างแต่เหมือนยังมีสิ่งค้างคาใจ“แดนคะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีหรือปกปิดเรื่องนี้ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณกลับไปแคลิฟอเนียเป็นเพราะคุณต้องรีบกลับไปหาโมนิกาหรือเปล่า”“ใช่...โมนิกาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องรีบกลับไปที่นั่น”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลและทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายหมองลงอย่างเหนได้ชัด กระทั่งเขาพูดต่อทั้งที่กอดเธอไว้แน่น“ตอนที่คุณยังไม่ฟื้นหลังจากหมอผ่าตัดเอากระสุนฝังในออก ผมได้รับโทรศัพท์จากเออร์วิ่ง เขาเป็นนักสืบเอกชนฝีมือดีที่ผมจ้างมาสืบเรื่องนี้ เออร์วิ่งให้ผมรีบกลับไปที่ซานตาโมนิกาด่วนเพราะเขามีข้อมูลบางอย่างให้ผมดู มันเป็นข้อมูลความผิดปกติทางด้านการเงินของบริษัท ตอนแรกที่เขาเข้ามาสืบเรื่องชิปที่หายไป เขารู้แค่ว่ามันเชื่อมโยงกับองค์กรลับไซออนเนต แต่การล้วงข้อมูลลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้เออร์วิ่งพบกับสิ่งที่น่าต