“บอสครับ” เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวหันกลับไปมองยังประตูระเบียงห้องซึ่งชายในชุดสูทสองคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นก้าวเข้ามาข้าง ๆ เพื่อรายงานว่า
“เราส่งคนเข้าไปสืบหาข้อมูลรถที่เจ้าหน้าที่ของอุทยานพบในเหวลึกของแคนยอน แลนด์แล้วครับ...มันเป็นรถเอสยูวีป้ายทะเบียนที่เฟลรอฟพาไปยูทาห์เมื่อเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาครับ”
พอชายผู้นั้นรายงาน ดวงตาคู่คมบนใบหน้าสวยเฉี่ยวจึงเป็นสีเข้มขึ้น
“ฉันคาดอะไรไว้ไม่ผิด” โมนิกากล่าวออกมาอย่างคั่งแค้นขณะกำมือไว้แน่น เธอฟังเสียงของอีกฝ่ายรายงานต่ออย่างเยือกเย็น
“เจ้าหน้าที่ของทางการพบศพชายสองคนในซากรถที่ระเบิดและกำลังตรวจสอบว่าเป็นใคร ที่สำคัญมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวัตถุระเบิดและอาวุธสงครามที่ติดอยู่ในรถด้วย”
“เฟลรอฟตายไปแล้ว! สิ่งที่เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบได้ก็แค่รู้ว่าเป็นชายชาวรัสเซียขับรถตกเหว ส่วนอาวุธพวกนั้นก็ช่างมันปะไรเพราะถึงยังไงตำรวจก็ไม่มีวันสาวมาถึงพวกเราได้แน่”
“แล้วออโซลย่า ล่ะครับบอส?”
“ฉันจะจัดการเรื่องนี้ทีหลัง เพราะตอนนี้ฉันมีเรื่องที่สำคัญมากกว่านั้น คนของเราเตรียมพร้อมหรือยัง วันนี้ฉันต้องไปพบ อลัน ทีทอน นักค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ของยุโรป”
“ครับ...รถของเราเตรียมพร้อมอยู่ที่หน้าโรงแรมแล้ว เชิญ บอส ครับ”
โมนิกาลุกจากเก้าอี้และหยิบแว่นกันแดดสีชาอันโตขึ้นมาสวม หญิงสาวขบกรามเบา ๆ ก่อนพูด
“กำชับคนของเราว่าอย่าได้ทำอะไรรุ่มร่ามและหละหลวมเด็ดขาด นัดของฉันครั้งนี้สำคัญมาก ทีทอนเป็นพ่อค้าอาวุธสงครามที่เราต้องระมัดระวัง และการนัดพบกันครั้งนี้ก็เพื่อตกลงซื้อขายข้อมูล ถ้าการตกลงประสบความสำเร็จ ไซออนเนตก็จะได้รับค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลเลยทีเดียว”
“แต่เราไม่มีชิปที่ออโซลย่าโจรกรรมมานะครับบอส” เขาแย้งเบา ๆ
“ฉันจะต่อรองกับทีทอนอีกครั้ง” เธอยืนยันด้วยเสียงแน่วแน่และเหยียดมุมปาก “ฉันเคยขายข้อมูลการค้นพบวิธีผลิตอาวุธสงครามสมัยใหม่ให้เขาหลายหน ถึงครั้งนี้ออโซลย่ามันจะหักหลังฉัน แต่ไซออนเนตจะต้องได้ข้อมูลที่ไม่ว่าจะยังไงทีทอนก็จะไม่มีวันปฏิเสธ...ไปกันเถอะ เสร็จธุระแล้วฉันต้องรีบกลับลอสแองเจลิส”
ชายสองคนรีบเดินตามหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นนายใหญ่ขององค์กรเพื่อขึ้นรถโรลส์รอยด์ที่จอดรออยู่แล้วหน้าโรงแรมก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปโดยมีรถเอสยูวีคันใหญ่ติดตามไปอีกสามคัน
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงที่โมนิกานั่งอย่างสงบภายในรถหรูกระทั่งคนขับจอดมันลงวบริเวณใกล้ตึกร้างในเขตบรูคลิน ร่างเพรียวระหงในชุดสูทสีขาวและรองเท้าส้นเข็มสูงสี่นิ้วก้าวลงจากรถ ด้านหน้าเป็นตึกเก่าขนาดสิบห้าชั้นซึ่งมีร่องรอยฉีดพ่นสเปรย์สีหรือกราฟฟิตี้บนผนังเต็มไปหมด
หญิงสาวก้าวด้วยความสงบเข้าไปด้านในพร้อมชายในชุดสูทที่ติดตามมานับสิบคน แต่ก่อนจะพ้นประตูเหล็กเก่า ๆ ก็มีชายร่างยักษ์สามคนเข้ามาพูดคุยและส่งสัญญาณเป็นรหัสผ่าน
“วีนัส วี ทีทอน” โมนิกากล่าวสั้น ๆ ก่อนได้รับการยินยอมให้ผ่านเข้าไปแต่โดยดี แต่ชายที่เฝ้าอยู่ยอมให้มีผู้ติดตามเธอเข้าไปได้แค่สองคน ชายร่างยักษ์คนหนึ่งเป็นผู้นำหญิงสาวขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นที่สิบของตึกเก่า ภายในนั้นอับทึบและมีกลิ่นไม่น่าพิศมัยของตึกร้างอบอวล
“ยูเรก้า! วีนัส ผมรอคุณอยู่นานแล้วนะ”
เสียงของชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทภูมิฐานบนเก้าอี้รับแขกดังขึ้นทันทีที่ประตูลิอฟท์เปิดออก โมนิกาก้าวออกมาพร้อมคนทั้งหมดและเห็นว่าเจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามนั่งเอกเขนกอยู่ท่ามกลางคนของเขาที่รายล้อมรอบ ๆ บนชั้นนั้นโล่งกว้างและไม่ได้ถูกกั้นผนังเป็นห้องเล็กห้องน้อย แสงแดดที่ลอดเข้ามาทำให้อากาศโล่งสบายน่าหายใจกว่าชั้นอื่น ๆ ร่างเพรียวระหงปราศจากท่าทีหวาดหวั่นก้าวไปหยุดตรงหน้าบุรุษใบหน้าคมเข้มแม้เลยวัยกลางคน บนตัวของเขาพราวพรายไปด้วยสร้อยคอและสร้อยข้อมือรวมทั้งแหวนเพชรเม็ดเขื่อง ทีทอนดูดซิก้าก่อนวางมันลงและพูด
“นั่งซี...วีนัส ผมคิดว่าคุณจะไม่มาตามนัดแล้วเสียอีก”
ร่างบางนั่งลงตรงข้ามตามคำเชิญชวน โมนิกายกขาไขว่ห้างและวางมือทั้งสองประสานกันบนตักราวกับนางพญา
“ฉันไม่เคยผิดนัดนะคะ ทีทอน...และนัดครั้งนี้ก็สำคัญกว่าทุกครั้ง”
คนพูดประสานสายตากับบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่ออาวุธสงครามตัวเอ้ของยุโรป เขาอยู่ในชุดสูทอย่างนักธุรกิจ ดูภูมิฐานแต่แววตานั้นคล้ายซ่อนนัยบนใบหน้าดุดัน ทีทอนดูสุขุมแต่โมนิการู้ดีว่าเขาไม่ต่างจากเสือร้ายซ่อนคมเล็บ
“ไหนล่ะ วีนัส...ที่คุณบอกผมว่ามีข้อมูลธาตุชนิดใหม่ที่ถูกสังเคราะห์ได้จะเอามาให้ ผมน่ะแทบจะรอคอยมันไม่ไหวเลยเชียวนะ”
“แดเนียล...ฉันรักคุณค่ะ ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณจะไม่กลับมาหาฉันอีก”“ผมต้องกลับมาที่รัก” เขาก้มลงจูบบนเปลือดกตาของหญิงสาวที่ตัวเธอสั่นสะทานขึ้นมาราวกับยังหวาดหวั่น “ยอดดวงใจของผม คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวมากแค่ไหนถ้ามาถึงที่นี่แล้วไม่พบคุณ”“บ้าน...เป็นที่สุดท้ายสำหรับฉันค่ะ จารชนที่แต่นี้ไปจะเป็นแค่คนธรรมดา แดนคะ...มาเต้นรำกันเถอะค่ะ ฟังซีคะ ต้นหญ้าและขุนเขากำลังร้องเพลง”ร่างอรชรผละห่างจากชายหนุ่มและเริ่มร่ายรำด้วยท่าทางอย่างบัลเล่ต์รีน่าท่ามกลางทุ่งหญ้าส่ายไหวอาบแสงสีเงิน แดเนียลยืนล้วงกระเป๋าและอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ ม้าพันธุ์เทอโรเบรดด้วยความรู้สึกสุขใจ ดวงตาสีน้ำเงินอมม่วงลึกล้ำจับจ้องอยู่ที่ร่างแน่งน้อยที่กำลังเริงระบำกลางที่ราบทุ่งหญ้าพลิ้วไหว เขารักอลินทิรามากเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ตามลำพังและมองเห็นความวาดหวังถึงชีวิตครอบครัวอันอบอุ่นในกาลเบื้องหน้า นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาตามหามาตลอดชีวิตก็เป็นได้ศาลาที่ว่าการกรุงออสโลว์ ประเทศนอรเวย์เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างบอบบางในชุดราตรีสีฟ้าครามซึ่งนั่งอย่างสงบบนเบาะหลังรถเอสยูวีคันใหญ่รีบหยิบขึ้นมากดรับสาย“สวัสดีจ้ะ ซอนญ่า”“ค่ะ...แม่”
“แดน...ที่ผ่านมาคุณไม่คิดบ้างหรือคะว่าฉันเคยทำอะไรแย่ ๆ กับคุณบ้าง อย่างเช่นวางยาคุณ หรือตั้งใจจะเอาคืนให้คุณเจ็บแสบ”“อะไร ๆ อาจแย่กว่านี้ถ้าผมไม่ได้รู้จักคุณ...ออโซลย่า”หญิงสาวเอียงคอเพื่อมองใบหน้าคร้ามคมที่ลดจมูกลงมาเคลียบนแก้มนุ่ม“คุณคงยังไม่ลืมเธอซีนะคะ”“ผมไม่เคยลืมสายลับสาวแสนสวยที่เก่งกาจถึงขนาดถอดรหัสผ่านประตูนิรภัยของผมได้ และยิ่งกว่านั้นเสน่ห์ของเธอก็มัดใจผมไว้จนดิ้นไม่หลุด”“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะแดน...ฉันน่ะไม่เห็นว่าคุณจะพูดดีกับฉันสักหน” อลินทิราอดที่จะตั้งคำถามกับคนที่เธอรักไม่ได้แม้เวลานั้นจะล่วงเลยมาแล้วก็ตาม“อืม...คงตั้งแต่พบกันครั้งแรกในแคนยอน แลนด์ ผู้หญิงอะไรเจ้าเล่ห์ชะมัดทั้งที่รู้ว่าสู้ผมไม่ได้”“ฉันอยากจะฆ่าคุณ” เธอย่นจมูก “ทึ้งคุณให้หลุดเป็นชิ้น ไม่เคยมีใครตามติดและต้อนฉันจนมุมได้เหมือนคุณ”“ตอนแรกคุณจินตนาการว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน ซอนญ่า” ชายหนุ่มจุดความอบอุ่นในกายหญิงสาวด้วยการขบเม้มเบา ๆ ที่ใบหูเล็กบาง“ตอนที่ฉันจะรับงานนี้ ฉันแทบไม่สนใจข้อมูลเจ้าของชิปนั่นเลยสักนิดเดียว ฉันคิดเอาเองว่า แดเนียล ไพรซ์ คงเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อ เขาคงเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
“แม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขค่ะ ท่านยังปลูกผักและเดินเป็นระยะไกล ๆ ได้ ถึงท่านจะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เหงา เพราะว่าเจ้าอิงลิชกับเจ้ามูนวอล์คเกอร์นี่ล่ะค่ะ”หญิงสาวหันกลับไปยังม้าสองตัวที่ยื่นหน้าเข้ามาให้เธอลูบไล้แผงคอของพวกมันเล่น พวกมันดูคุ้นเคยและทำราวกับคิดถึงนายของมัน“ตัวนี้เป็นม้าอิงลิช เทอโรเบรดค่ะ มันเป็นม้าฝีเท้าดี ฉันตั้งชื่อมันว่าอิงลิช” อลินทิราบอกพลางลูบไล้ไปบนหัวของม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มซึ่งเรือนขนบนหลังและหางมีสีดำเป็นมันวาว มันดูบึกบึนแข็งแรงทว่าก็เชื่องอย่างไม่น่าเชื่อ“ผมเคยอ่านประวัติของม้าพันธุ์ผสมพวกนี้ ตอนศตวรรษที่สิบเจ็ดนักล่าอาณานิคมพยายามพัฒนาสายพันธุ์ม้าอเมริกันใหม่ ๆ ก็เลยผสมพันธุ์ม้าพื้นเมืองกับม้าแคนาดา มันขึ้นชื่อเรื่องของความแข็งแรง พอหลังจากนั้นก็ผสมกับม้าพันธุ์อิงลิชเทอโรเบรดอย่างเจ้าอิงลิชของคุณนี่ไง”แดเนียลเสริมแต่ยังไม่สัมผัสตัวของมันเหมือนหญิงสาว“และนี่...เจ้ามูนวอล์คเกอร์ค่ะ มันเป็นม้าป่าพันธุ์สเปน เรียกได้อีกอย่างว่าซัลเฟอร์ เป็นม้าของรัฐยูทาห์ค่ะ แม่เป็นคนตั้งชื่อให้เพราะตอนพามาเลี้ยงใหม่ ๆ มันหายไปตอนคืนจันทร์เต็มดวง เราคิดว่ามันคงถูกขโมยหรือไม่ก
“ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะขอคุณแต่งงาน แต่ผมยังไม่ได้พบแม่บุญธรรมของคุณ ไม่รู้ท่านจะว่ายังไงบ้าง”“ฉันจะว่ายังไงได้ล่ะคะ”เสียงของหญิงสูงวัยที่แทรกขึ้นมาทำให้สองหนุ่มสาวหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน“แม่!” อลินทิราอุทานออกมา เธอลืมตัวจะผละห่างจากชายหนุ่มทว่าแดเนียลยังกอบกุมมือเรียวบางไว้แน่น ดาเลียซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยิ้มกับผู้มาใหม่ นางมองเขาด้วยสายตาบอกความประหลาดใจหากก็เต็มไปด้วยความตื้นตัน“สวัสดีค่ะ...ฉันคือดาเลีย เฮอเกรล ฉันเป็นแม่บุญธรรมของอัลลี่เองค่ะ”ดาเลียแนะนำตัวในขณะที่ชายหนุ่มคลายมือจากหญิงสาว“สวัสดีครับคุณแม่ ผม แดเนียล ไพรซ์”“แม่กลับมาตอนไหนคะ ทำไมหนูไม่ได้ยินเสียงเลย”ร่างบางถามแก้เก้อ เธอดูเงอะงะไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือจะแสดงท่าทางอย่างไรต่อหน้าแม่บุญธรรมในสถานการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้“แม่ลืมของที่จะเอาไปฝากลุงเคิร์คน่ะจ้ะ เลยกลับมาและก็ทันได้ยินว่า คุณแดเนียลจะขอหนูแต่งงาน นี่เป็นความจริงหรือจ๊ะ?”“เป็นความจริงครับคุณแม่”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสูงวัย นางจ้องมองเขาไม่วาง แดเนียล ไพรซ์ เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์ดึงดูด เขาทำให้ดาเลียพรึงเพริศราวถูกสะกดด้วยนัย
แดเนียลอธิบายในขณะที่อาการตื่นกลัวของอีกฝ่ายเริ่มคลายลง อลินทิราเห็นแววตาคู่นั้นหม่นแสงเมื่อเขาพูดต่อไป“เธอแอบจัดตั้งมูลนิธิในนาม ไพรซ์ คอร์ป เพื่อซออนเนต และถ่ายโอนเงินเป็นท่อน้ำเลี้ยงเพื่อองค์กรของตัวเอง พอเออร์วิ่งรายงานเรื่องนี้พร้อมทั้งยืนยันด้วยเอกสาร ผมก็เริ่มส่งคคนตามประกบจนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ข้อมูลว่าโมนิกานัดพบกับ อลัน ทีทอน เจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามของยุโรป...ผมตามเธอไปพร้อมกับตำรวจและหน่วยสวาทติดอาวุธครบมือ”“ตำรวจคงจับเธอได้แล้วใช่ไหมคะ แดเนียล?”หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น ความตื่นเต้นประดังอยู่ในอกแทบระเบิดด้วยอยากรู้วาระสุดท้ายของนายใหญ่แห่งไซออนเนต ทว่าแดเนียลกลับยิ้มขื่นและตอบว่า“โมนิกาเป็นคนเก่ง เธอเป็นอัจฉริยะ แต่...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยถาม“เธอหนีไปได้ใช่ไหมคะ?”ร่างสูงส่ายหน้าและสูดลมหายใจลึก “โมนิกา...ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ...วิสามัญ”“พระเจ้า!”“เราจัดพิธีศพให้เธอและฝังเธอไว้ในสุสานของตระกูล เมื่อไม่มีนายใหญ่ ไซออนเนตก็ถึงจุดจบ”“บางที...อาจจะไม่” อลินทิราขืนตัวออกจากแขนแกร่ง ดวงตาคู่สวยรื้นน้ำและแดงก่ำ“อาจเป็นจุดจบของไซออนเนต แต่คุณ
“ตอนผมไปโรงพยาบาลและพบหมอที่รักษาคุณ เขาบอกว่าภรรยาของผมอาการดีขึ้นมากและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ หมอกำชับผมให้ดูแลคุณเป็นพิเศษ ผมคิดว่าจะไม่ถามอะไรต่อจนคุณหมอเข้ามาแสดงความยินดีที่ผมจะได้เป็นพ่อคน เพราะภรรยาของผมตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก เธอรับฟังทุกอย่างแต่เหมือนยังมีสิ่งค้างคาใจ“แดนคะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีหรือปกปิดเรื่องนี้ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณกลับไปแคลิฟอเนียเป็นเพราะคุณต้องรีบกลับไปหาโมนิกาหรือเปล่า”“ใช่...โมนิกาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องรีบกลับไปที่นั่น”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลและทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายหมองลงอย่างเหนได้ชัด กระทั่งเขาพูดต่อทั้งที่กอดเธอไว้แน่น“ตอนที่คุณยังไม่ฟื้นหลังจากหมอผ่าตัดเอากระสุนฝังในออก ผมได้รับโทรศัพท์จากเออร์วิ่ง เขาเป็นนักสืบเอกชนฝีมือดีที่ผมจ้างมาสืบเรื่องนี้ เออร์วิ่งให้ผมรีบกลับไปที่ซานตาโมนิกาด่วนเพราะเขามีข้อมูลบางอย่างให้ผมดู มันเป็นข้อมูลความผิดปกติทางด้านการเงินของบริษัท ตอนแรกที่เขาเข้ามาสืบเรื่องชิปที่หายไป เขารู้แค่ว่ามันเชื่อมโยงกับองค์กรลับไซออนเนต แต่การล้วงข้อมูลลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้เออร์วิ่งพบกับสิ่งที่น่าต