หลังจากงานมื้อกลางวันระหว่างสองตระกูลสิ้นสุดลง บรรยากาศดูผ่อนคลายลงไปไม่น้อย แต่สำหรับฉัน...สิ่งที่รออยู่ข้างหน้ายังคงหนักหนาไม่ต่างจากสนามรบ
อีกเกือบ ๆ สองเดือน...คือช่วงเวลาที่ฉันต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับ ‘งานเปิดตัว’ อย่างเป็นทางการ ในฐานะลูกสาวคนโตของคุณพิชิต และผู้บริหารคนใหม่ของโรงสีพาณิชย์วงศ์
ฟังดูง่าย แต่ความจริงกลับไม่ง่ายเลยสักนิด
โรงสีของบ้านฉันตั้งอยู่ติดกับคฤหาสน์ใหญ่ แบ่งเขตอย่างชัดเจนด้วยกำแพงอิฐสีเทาเตี้ย ๆ และต้นไทรตัดแต่งอย่างเรียบร้อยตลอดแนว
พื้นที่ด้านในถูกจัดโซนอย่างมีระบบ ฝั่งหนึ่งเป็นโกดังเก็บข้าว เครื่องสี และสายพานลำเลียง อีกฝั่งเป็นออฟฟิศสองชั้นแบบเรียบง่าย มีห้องประชุม ห้องบัญชี และห้องทำงานของผู้บริหารเรียงราย รวมไปถึงห้องทำงานใหม่ของฉันที่ถูกจัดและตกแต่งไว้ด้วย
คุณพิชิตเริ่มพาฉันไปแนะนำตัวกับบอร์ดบริหารภายในบริษัทอย่างเป็นทางการ พวกเขาแสดงออก ‘เหมือนจะ’ ต้อนรับ แต่ฉันจับได้ไม่ยากเลยว่า...แววตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่ไว้ใจ และตั้งแง่
“เธอคือคนที่ช่วยวิเคราะห์ต
ในสายตาคนภายนอก อาทิตย์คือชายหนุ่มแสนดี สุภาพ เรียบร้อย และเอาใจใส่ทุกคนเขายิ้มเก่ง พูดจาไพเราะ เป็นที่รักของผู้ใหญ่ และมักได้รับคำชมเสมอว่า อบอุ่นน่าคบ แต่ไม่มีใครรู้...ว่าเบื้องหลังของรอยยิ้มนั้นมีอะไรซ่อนอยู่อาทิตย์แอบชอบวราลีมานาน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอเดินผ่านสวนข้างบ้านในชุดคนใช้ ผมยาวสีน้ำตาลที่มักถักเปียหลวม ๆ นั่นสะดุดตาเขา และดวงตาคู่นั้น…ที่มีทั้งความดื้อรั้นและความเศร้าในเวลาเดียวกัน เขาตัดสินใจในวันนั้นเลยว่า ต้องได้เธอมาเขาเริ่มตีสนิทกับเธอ ใช้ความเนียนและความ ‘ดูดี’ เข้าหาอย่างไม่รีบร้อนในขณะที่เธอมักหลบสายตา ไม่กล้าเผชิญหน้า เขากลับมองว่านั่นคือความเขินอายที่น่ารักไม่มีใครรู้ว่าในตอนกลางคืน อาทิตย์เคยแอบย่องเข้าไปในห้องของวราลีไม่มีใครเห็นว่าเขานั่งลงข้างเตียงเธอ จ้องมองใบหน้าหวานขณะเธอหลับ และกระซิบคำว่า "ฝันดีนะวี" เบาๆ ข้างหูเธอ...หลายต่อหลายครั้งแม้เธอจะตื่นขึ้นด้วยความตกใจ หวาดกลัวจนตัวสั่น เขาก็เพียงยิ้ม และบอกว่า“ก็แค่อยากบอกฝันดี...แค่นั้นเอง ไม่เ
หลังจากซื้อของกันเสร็จ เขาพาฉันไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารอิตาเลียน ริมแม่น้ำ บรรยากาศอบอุ่น แสงไฟประดับอ่อนนุ่ม และเสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอเบา ๆ ระหว่างอาหาร เรายังคุยกันเรื่องโน่นนี่นั่น ทั้งเรื่องงานในบริษัท โรงสี ชีวิตระหว่างเรียนของเขา ไปจนถึงเรื่องเรื่อยเปื่อยอย่างสัตว์ที่ชอบและอยากเลี้ยง ฉันเหลือบมองเขาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น“ฉันสงสัยมานานแล้วค่ะ…”เขาเงยหน้าจากจานมองฉัน เลิกคิ้วเล็กน้อย“ทำไมคุณถึงไม่มีรูปหลุดออกมาเลยสักครั้ง? เป็นสิบ ๆ ปีแล้วนะคะที่สื่อแทบไม่เคยได้ภาพคุณเลย นอกจากรูปคุณถือไม้ลูกชิ้นเมื่อสิบปีก่อนน่ะ”ภูริหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะตอบเรียบ ๆ“ผมไม่ชอบถูกจับตามอง”“ถ้าใครจะรู้จักผม ผมอยากให้รู้จักเพราะ ‘ผลงาน’ มากกว่า ‘ใบหน้า’ หรือ ‘ชีวิตส่วนตัว’ ”ฉันเลิกคิ้วนิด ๆ“แต่ยุคนี้นะคะ…คนดังในวงการธุรกิจ ยังไงก็ต้องมีภาพหลุดบ้างสิ อย่างน้อยเวลาไปงานอีเวนต์ หรือเซ็นสัญญาอะไรใหญ่ ๆ ก็ต้อง
เช้าวันเสาร์ฉันมีนัดกับคุณภูริช่วงบ่าย ๆ เพื่อไปเลือกแหวนคู่ เอามาสวมจะได้ดูเป็นคู่รักเนียน ๆเขาว่าแบบนั้นน่ะนะ...ภูริเป็นคนเสนอเองว่าจะมารับที่บ้าน และฉันตั้งใจจะถือโอกาสนี้แวะซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วยแต่งานที่ล้นมือช่วงนี้ทำให้ร่างกายของฉันแทบไม่ไหว หลังจากอ่านสรุปรายงานประจำสัปดาห์ช่วงเช้า ฉันแวะเข้าไปที่ห้องสมุดเงียบ ๆ ระหว่างรอเวลาหนังสือที่เปิดค้างอยู่บนตักเป็นนิยายแฟนตาซีกำลังภายในที่เพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยม...แต่ฉันยังไม่ทันได้อ่านบทนำจบ เปลือกตาก็หนักอึ้งลงอย่างห้ามไม่ไหวไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษเบา ๆ ใกล้ตัว...และเมื่อเงยหน้าขึ้นสิ่งแรกที่ฉันเห็นคือภาพของชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามภูริเขากำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างสงบนิ่ง ไม่เจอกันแค่ไม่กี่อาทิตย์ เขาหล่อขึ้นกว่าเดิมอีกหรือเปล่านะ?เมื่อเห็นฉันตื่น เขาก็เพียงเหลือบตามามองแล้วยิ้มบาง ๆ“สวัสดีครับ”ฉันหน้าร้อนผ่าว รู้สึกกระดากใจที่ตัวเองเผล
หลังจากงานมื้อกลางวันระหว่างสองตระกูลสิ้นสุดลง บรรยากาศดูผ่อนคลายลงไปไม่น้อย แต่สำหรับฉัน...สิ่งที่รออยู่ข้างหน้ายังคงหนักหนาไม่ต่างจากสนามรบอีกเกือบ ๆ สองเดือน...คือช่วงเวลาที่ฉันต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับ ‘งานเปิดตัว’ อย่างเป็นทางการ ในฐานะลูกสาวคนโตของคุณพิชิต และผู้บริหารคนใหม่ของโรงสีพาณิชย์วงศ์ฟังดูง่าย แต่ความจริงกลับไม่ง่ายเลยสักนิดโรงสีของบ้านฉันตั้งอยู่ติดกับคฤหาสน์ใหญ่ แบ่งเขตอย่างชัดเจนด้วยกำแพงอิฐสีเทาเตี้ย ๆ และต้นไทรตัดแต่งอย่างเรียบร้อยตลอดแนวพื้นที่ด้านในถูกจัดโซนอย่างมีระบบ ฝั่งหนึ่งเป็นโกดังเก็บข้าว เครื่องสี และสายพานลำเลียง อีกฝั่งเป็นออฟฟิศสองชั้นแบบเรียบง่าย มีห้องประชุม ห้องบัญชี และห้องทำงานของผู้บริหารเรียงราย รวมไปถึงห้องทำงานใหม่ของฉันที่ถูกจัดและตกแต่งไว้ด้วยคุณพิชิตเริ่มพาฉันไปแนะนำตัวกับบอร์ดบริหารภายในบริษัทอย่างเป็นทางการ พวกเขาแสดงออก ‘เหมือนจะ’ ต้อนรับ แต่ฉันจับได้ไม่ยากเลยว่า...แววตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่ไว้ใจ และตั้งแง่“เธอคือคนที่ช่วยวิเคราะห์ต
ย้อนกลับไปไม่นานมานี้ ฉันเคยช่วยหญิงชราคนหนึ่งไว้จากการถูกโจรวิ่งราวกระเป๋า เธอแต่งกายภูมิฐาน มีบอดี้การ์ดตามติดไม่ห่าง ดูชัดเจนว่าไม่ใช่คนธรรมดา แต่ตอนนั้นเธอไม่ได้แนะนำตัวเองสักนิด...กลับถามชื่อฉันแทน พร้อมหัวเราะร่าเมื่อได้ยิน ก่อนจะจากไปพร้อมประโยคปริศนาสั้น ๆ“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก"ตอนนั้น ฉันยังคิดเล่น ๆ ว่าเธออาจหมายถึงการเจอกันในตลาดหรือห้างสักแห่งแต่วันนี้...ฉันเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าเธอหมายถึงอะไรคุณยายใจดีที่ฉันช่วยไว้...คือคุณหญิงสมศรี ประมุขของตระกูลทรัพย์ไพศาลอนันต์หรือคุณย่าของภูริ ว่าที่สามีของฉันเอง“คุณหญิงอะไรล่ะ เรียกย่าเถอะลูก เดี๋ยวก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”หญิงชรายิ้มกว้างอย่างเมตตา ขณะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้แน่นฉันเหลือบมองภูริที่ยืนข้าง ๆ เขาพยักหน้ายืนยันพร้อมรอยยิ้มบาง"ค่ะ...คุณย่า" ฉันตอบรับในที่สุด“เอาล่ะ หนูวราลีไปนั่งกับย่านะ กินข้าวกันดีกว่า”แล้วภาพที่เกิดขึ้นก็คือ ฉันถูกควงแขนเดินนำเข้า
หลังจากผ่านหนึ่งเดือนเต็มกับการฝึกงานสุดโหด ฉันก็กลับมารับบทเดิมสาวใช้ที่พ่วงตำแหน่งนักแก้ปัญหาประจำโรงสีแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมการฝึกงานกับภูริกลายเป็นบทเรียนที่มีค่ากว่าที่คาด ฉันมองเห็นปัญหาได้ชัดขึ้น วิเคราะห์ได้ลึกขึ้น และวางแนวทางรับมือได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ทุกอย่างที่เรียนรู้ ฉันนำมาปรับใช้จนงานราบรื่นกว่าที่เคยแม้แต่คุณพิชิตยังเอ่ยปากชมออกมาด้วยตัวเองก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะ...วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ฉันควรได้หยุดพักผ่อนจากการตรากตรำทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ ขลุกอยู่ในห้องสมุด อ่านหนังสือที่รักแต่กลับกลายเป็นวันรวมญาติระดับชาติที่ฉันต้องทำใจล่วงหน้ามาหลายวันแล้ว วันนี้ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงธรรมดา แต่เป็นการรวมตัวของสองตระกูล ‘ทรัพย์ไพศาลอนันต์’ และ ‘พาณิชย์วงศ์’ เพื่อร่วมโต๊ะอาหารในนาม ‘ครอบครัว’ เป็นครั้งแรกความจริงแล้ว มันเหมือนการแถลงข่าวภายในมากกว่า วันนี้คือวันเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการของฉันในฐานะว่าที่คู่หมั้นของภูริ ทรัพย์ไพศาลอนันต์ หลานชายคนเล็กของคุณหญิงสมศรี แล