เจียงซุ่ยฮวนลาจากกู้จิ่นแล้วมาที่ค่ายนางมองรอบ ๆ ไม่เห็นชุนเถา คิดว่าคงกลับไปแล้ว แต่พอเปิดม่านเต็นท์หมอหลวง กลับเห็นชุนเถานั่งอยู่ข้างฝูหลิง กำลังยัดขนมเข้าปากอย่างมีความสุขพอเห็นเจียงซุ่ยฮวนมา ชุนเถารีบยัดขนมในมือเข้าปากทั้งหมด ลุกขึ้นพูดงึมงำ "หมอหลวงเจียง ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ"เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะเบา ๆ "เจ้ากลืนของในปากก่อนค่อยพูด"ฝูหลิงส่งน้ำให้ชุนเถา ชุนเถาดื่มน้ำแล้วถาม "หมอหลวงเจียง ท่านไม่สบายควรพักผ่อน ทำไมมาที่นี่อีกล่ะ?"หมอหลวงเมิ่งเดินมาถามด้วยความห่วงใย "เด็กน้อยเจียง เจ้าไม่สบายตรงไหน? มีคำกล่าวว่าหมอไม่ควรรักษาตัวเอง ให้ข้าจับชีพจรให้""ไม่ต้องหรอก เมื่อคืนข้าห่มผ้าไม่ดีเลยเป็นหวัดนิดหน่อย นอนพักช่วงเช้าก็ดีขึ้นแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนซ่อนมือไว้ข้างหลัง นางไม่กล้าให้หมอหลวงเมิ่งจับชีพจร เดี๋ยวจะจับได้ว่าเป็นชีพจรคนท้องนางมองไปที่ชุนเถา "มีสตรีมาขอพบข้าไหม?"ชุนเถาบอก "มีสามคน ข้าจดไว้ในกระดาษแล้วเจ้าค่ะ"พูดจบ ชุนเถาก้มลงคลำตัว "เอ๊ะ? กระดาษของข้าไปไหน ก็วางไว้ที่ตัวนี่นา"ฝูหลิงเก็บกระดาษจากพื้น ยิ้มตาหยีส่งให้ "อยู่นี่ไง""ขอบคุณ" ชุนเถารับมาอย่างดีใจ ส่งกระด
"เจ้าเห็นสมุนไพรที่ตากอยู่ตรงนั้นไหม? ข้าเพียงลอง ๆ ถาม แต่นางกลับจำสมุนไพรได้ทั้งหมด" หมอหลวงหยางลูบเครา "และนางไม่เพียงรู้จักชื่อสมุนไพรเท่านั้น ยังบอกสรรพคุณได้อีกด้วย""จริงหรือ?" เจียงซุ่ยฮวนดีใจมาก นางกำลังคิดจะรับศิษย์หญิงสักคนพอดี ไม่คิดว่าจะพบคนที่เหมาะสมง่ายเช่นนี้แต่นางจะเชื่อแค่คำพูดของหมอหลวงหยางแล้วรับศิษย์ไม่ได้ ต้องทดสอบด้วยตัวเองก่อนนางล้วงถุงยาจากแขนเสื้อให้ชุนเถา "เจ้าดมออกไหมว่าข้างในมีสมุนไพรกี่อย่าง?""ขอข้าลองดูนะ" ชุนเถาถือถุงยาแนบจมูก ดมอย่างละเอียดแล้วพูด "ข้างในมีอ้ายเย่ ไป๋จื่อ สะระแหน่... ดอกสายน้ำผึ้ง"นางหยุดครู่หนึ่ง สุดท้ายพูดอย่างมั่นใจ "สมุนไพรตัวสุดท้ายคือใบโหระพา"เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้าอย่างพอใจ แม้นี่จะเป็นเพียงถุงยาไล่แมลงที่นางเย็บเล่น ๆ แต่ข้างในมีสมุนไพรถึงสิบกว่าชนิด สามารถดมออกทั้งหมด แสดงว่าชุนเถารู้จักสมุนไพรจริง ๆ"เจ้ารู้จักพวกนี้ได้อย่างไร?" เจียงซุ่ยฮวนถามชุนเถาตอบ "หมอหลวงเจียง บิดาข้าเป็นหมอเท้าเปล่า ข้าตามท่านไปเก็บสมุนไพรบนเขาตั้งแต่เด็ก จึงรู้จักสมุนไพรมากมาย ภายหลังท่านพลัดตกหน้าผา ข้าจึงถูกขายเข้าวัง"เจียงซุ่ยฮวนเงียบไ
ในตำหนักองค์รัชทายาทค่อนข้างมืด หน้าต่างหลายบานถูกปิด แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง ทำให้ที่นี่ดูเย็นยะเยียบและในตำหนักอันกว้างใหญ่ กลับมีเพียงนางกำนัลคนเดียว นางกำนัลเห็นเจียงซุ่ยฮวนก็เดินเข้ามา "หมอหลวงเจียง ชายาองค์รัชทายาทพักผ่อนอยู่ในห้องบรรทมด้านหลัง ข้าจะพาท่านไป"เจียงซุ่ยฮวนมองนางกำนัลผู้นี้ สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ มือสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในห้องบรรทมเย็นเกินไปหรือไม่"ได้" เจียงซุ่ยฮวนกดความสงสัยไว้ เดินตามนางกำนัลไป"ทำไมไม่เปิดหน้าต่าง?" เจียงซุ่ยฮวนถามอย่างสงสัยฝีเท้านางกำนัลชะงักเล็กน้อย พูดว่า "ชายาองค์รัชทายาทไม่สบาย ทนแสงไม่ได้"ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังคิดว่าโรคอะไรที่ทนแสงไม่ได้ นางกำนัลก็หยุดเดิน ก้มหน้ายืนหลบไปด้านข้าง "หมอหลวงเจียง ถึงแล้ว"เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้ามอง บนเตียงในห้องบรรทมไม่มีใคร นางกำลังจะถาม ก็เห็นองค์รัชทายาทเดินออกมาจากหลังฉากบังตา"สาวงาม ไม่ได้พบกันนานเลยนะ" องค์รัชทายาทมองนางจากหัวจรดเท้า ยิ้มอย่างลามก"ทำไมถึงเป็นท่าน? ชายาองค์รัชทายาทอยู่ไหน?" ในใจนางเตือนภัยอย่างแรง"ตอนนี้นางคงกำลังกินข้าวกับญาติ" องค์รัชทายาททำมือ "ข้าสั่งให้คนเตรีย
ในใจของนางไม่อยากช่วยรักษาองค์รัชทายาทเลย คิดว่าน่าจะกระโดดหน้าต่างหนีไปเสียเลยเหมือนนางกำนัลผู้นั้น แต่เมื่อนางคิดดูดี ๆ เหล่าองครักษ์นอกต้องรู้แน่ว่านางอยู่ที่นี่ หากนางหลบหนีไป มิเท่ากับยอมรับความผิดที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่มีมูลหรือ? "ฮึ!" เจียงซุ่ยฮวนไม่มีทางเลือก จำต้องย่อกายลงเพื่อช่วยรักษาองค์รัชทายาท นางตรวจร่างกายขององค์รัชทายาทอย่างรวดเร็ว ก่อนจะได้ข้อสรุปว่าพระองค์น่าจะถูกวางยาด้วยโอสถหญ้าสีดำ ยาพิษชนิดนี้มีฤทธิ์ร้ายแรงนัก เพียงน้อยนิดก็สามารถพรากชีวิตผู้คนได้ แต่ฤทธิ์ยาออกฤทธิ์ช้า ดังนั้นเจียงซุ่ยฮวนจึงสงสัยว่าองค์รัชทายาทน่าจะถูกวางยาพิษมาตั้งแต่สองวันก่อนนางไม่มียาถอนพิษหญ้าสีดำ ขณะที่กำลังจะหยิบยาถอนพิษจากห้องทดลองมาลองดูว่าจะใช้ได้หรือไม่ องค์รัชทายาทก็ทรงกระตุกพระบาทสองครั้งก่อนจะสิ้นพระสติ ยาพิษชนิดนี้เป็นเช่นนี้เอง ยามที่ยังไม่ออกฤทธิ์ก็ยากจะค้นพบ แต่เมื่อพิษกำเริบขึ้นมาแล้ว แทบจะไม่มีทางรักษาให้รอดชีวิต ผู้ที่วางยาพิษองค์รัชทายาท ต้องเป็นผู้ที่เกลียดชังพระองค์อย่างที่สุด ในยามนั้นเอง ประตูตำหนักรัชทายาทก็ถูกทุบอย่างแรง เสียงสตรีดังมาจากด้านนอก "เจ้าคนบั
นางกำนัลก้มหน้า ชมว่า "พระชายาทรงแสดงได้สมจริงเหลือเกิน ถึงขั้นหลอกบ่าวได้เชียว" โจวอี้หรูปัดกระโปรง ลุกขึ้นจากพื้น พลางบ่นด่า "ไอ้รัชทายาทไร้ค่านี่ ตอนแรกที่ข้าเลือกแต่งงานกับมัน ช่างตาบอดแท้ ๆ ตายเสียตอนนี้ก็ดีแล้ว" มุมปากนางเผยรอยยิ้มเยาะหยัน "ใครจะรู้ว่าฮองเฮาสั่งสอนบุตรธิดาอย่างไร ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน ธิดาสองคน ไม่มีใครใช้การได้สักคน" นางกำนัลพยักหน้าเห็นด้วย "พระชายาตรัสถูกแล้ว องค์หญิงใหญ่จิ่นเสวียนก็ดันโง่เหมือนควาย ไร้วัฒนธรรมเสียจริง ส่วนองค์หญิงจิ่นซิ่วก็เอาแต่ใจเกินไป สองวันก่อนไปล่าสัตว์ถูกเสือดาวทำเอาตกใจจนร่วงจากหลังม้า ป่านนี้ก็ยังไม่ฟื้น" "เจ้าเตือนความจำข้าได้ดี ฮองเฮาช่วงนี้ก็กำลังกลุ้มใจเรื่ององค์หญิงจิ่นซิ่วอยู่ ตอนนี้องค์รัชทายาทก็มาตายเสียอีก นางคงโมโหจนเสียสติแน่" โจวอี้หรูเบ้ปาก กำชับกับนางกำนัลว่า "ข้าไม่อยากยุ่งกับเรื่องวุ่นวายนี้แล้ว เจ้าไปแทนข้าที บอกว่าข้าเสียใจจนสลบไป" "เพคะ" นางกำนัลพยักหน้า ถามว่า "พระชายาจะพักผ่อนที่นี่หรือเพคะ?" โจวอี้หรูหันมองรอบ ๆ แสงในห้องบรรทมนี้สลัวนัก ลมหนาวพัดลอดหน้าต่างทรุดโทรมบานนั้นเข้ามา พอนางคิดว่าองค์รัชท
ฮ่องเต้ทรงลูบพระหัตถ์ของจีกุ้ยเฟย พลางทอดพระเนตรเจียงซุ่ยฮวนด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย "หมอหลวงเจียง เจ้าจงบอกข้ามา เกิดอะไรขึ้นกันแน่" เจียงซุ่ยฮวนคุกเข่าอยู่กับพื้น เล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดอย่างใจเย็นและชัดเจน สุดท้ายทูลว่า "ฝ่าบาท ทุกถ้อยคำที่หม่อมฉันทูลมาล้วนเป็นความจริง ขอพระองค์ทรงพิจารณาด้วยพระปรีชาญาณเถิดเพคะ" พระพักตร์ของฮ่องเต้ขมวดมุ่น "เจ้าว่าตอนนั้นมีนางกำนัลอยู่ด้วยคนหนึ่ง แล้วนางผู้นั้นอยู่ที่ใด?" "หลังจากองค์รัชทายาทล้มลง นางกำนัลก็กระโดดหน้าต่างหนีไปเพคะ" เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปที่หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรและนางกำนัลคนสนิทขององค์ชายารัชทายาท "หน้าต่างมีรูใหญ่ พวกเขาต่างเห็นกันหมดแล้วเพคะ" ฮ่องเต้ตรัสถามหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร "นางพูดความจริงหรือไม่?" สีหน้าของหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรดูลำบากใจ "ทูลฝ่าบาท เมื่อกระหม่อมเข้าไป เห็นเพียงหน้าต่างที่แตกเป็นรู มิได้เห็นนางกำนัลที่หลบหนีแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ" นางกำนัลคนสนิทขององค์ชายารัชทายาทก้มหน้า "เมื่อบ่าวติดตามองค์ชายาเข้าไป ก็มิได้เห็นผู้ใดเพคะ" "หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีผู้ใดยืนยันคำพูดของเจ้าได้" ฮ่องเต้ทอดพระเนตร
เจียงซุ่ยฮวนถูกดึงให้ลุกขึ้นอย่างกะทันหัน รีบดึงชายกระโปรงลงทันที เกรงว่าผู้อื่นจะเห็นแผ่นประคบที่เข่าของนาง นางกระซิบถามเบา ๆ "เหตุใดท่านจึงรู้เรื่องเร็วเช่นนี้?" "เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ในคฤหาสน์มีองครักษ์ลับของข้าอยู่ทั่ว" กู้จิ่นยืนอยู่ข้างนาง จ้องมองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย "..." เจียงซุ่ยฮวนได้เห็นองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ต่อหน้าต่อตา ด้วยความตื่นตระหนกและประหม่า ทำให้นางลืมเรื่ององครักษ์ลับไปสิ้นเมื่อได้ยินเสียงของกู้จิ่น ฮ่องเต้ทรงผลักพระหัตถ์ของจีกุ้ยเฟยออก "เจ้าจิ่น เจ้ามาแล้วหรือ" "อืม" กู้จิ่นทอดสายตามองร่างขององค์รัชทายาทที่บรรทมอยู่บนพื้น แล้วทูลว่า "เสด็จพี่ การสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทไม่เกี่ยวข้องกับหมอหลวงเจียง กระหม่อมขอเป็นพยานให้นางเอง" แววตาของจีกุ้ยเฟยฉายแววประหลาดใจ นางได้ยินว่ากู้จิ่นกับหมอหลวงหญิงคนใหม่นี้ไม่ถูกกัน แต่ดูเหมือนคำเล่าลือจะไม่ตรงกับความเป็นจริง ฮ่องเต้ตรัส "เจ้าจิ่น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยว" "โอรสคนโตของข้าตายเช่นนี้ ข้าต้องสืบให้ถึงที่สุด!" กู้จิ่นเอ่ยเสียงทุ้มหนัก "กระหม่อมมีพยาน" "โอ้?" พระเนตรของฮ่องเต
ตำหนักมังกรนอนที่เงียบสงบกลายเป็นเสียงร่ำไห้ระงม ฝ่าบาททรงโบกพระหัตถ์ให้ลากตัวคนทั้งสามออกไป หมอหลวงเมิ่งและชุนเถาได้ฟังแล้วต่างตกตะลึง พวกเขาคิดว่าชายารัชทายาทเป็นผู้เชิญเจียงซุ่ยฮวนมา ที่แท้นี่เป็นแผนขององค์รัชทายาทเอง หมอหลวงเมิ่งและชุนเถาเพิ่งตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น หมอหลวงเมิ่งกราบทูล "ฝ่าบาท กระหม่อมขอรับรอง แน่นอนว่านางกำนัลผู้นั้นมาแจ้งว่าชายารัชทายาทประชวรจริง" ชุนเถารีบเสริม "บ่าวก็ขอรับรองเพคะ ตอนนั้นหมอหลวงเจียงไม่อยู่ นางกำนัลผู้นั้นมาหาบ่าว บ่าวเป็นผู้แจ้งต่อหมอหลวงเจียงเอง" ฝ่าบาททรงหันไปมองนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้น "เช่นนั้นเจ้าก็คือนางกำนัลที่ทำลายหน้าต่างหนีไปใช่หรือไม่?" นางกำนัลนั้นตัวสั่นไม่หยุด "ฝ่าบาท บ่าวไม่รู้อะไรเลยเพคะ บ่าวเพียงทำตามรับสั่งขององค์รัชทายาทนำหมอหลวงเจียงเข้ามา หมอหลวงเจียงบอกว่าสีพระพักตร์องค์รัชทายาทไม่ดี แล้วองค์รัชทายาทก็...ก็ทรงล้มลงกะทันหัน" "บ่าวตกใจเกินไป ด้วยความร้อนรนจึงทำลายหน้าต่างหนีไป ขอพระองค์ทรงอภัยด้วยเพคะ!" ฝ่าบาททรงสดับแล้ว ทรงพินิจเจียงซุ่ยฮวนอย่างครุ่นคิด "คำให้การของคนเหล่านี้ตรงกับที่เจ้าเล่า ดูเหมือนเจ้าจะ
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื