เจียงซุ่ยฮวนสะดุ้ง รีบผลักคนข้างกายออก “เหตุใดองค์ชายจึงมาอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ?” กู้จิ่นสวมอาภรณ์สีดำสนิท ดูขึงขังน่าเกรงขามในราตรี เอ่ยว่า “ข้ามาจับกุมผู้ร้าย” เขายกมือขึ้นเล็กน้อย องครักษ์มากมายก็ผุดออกมาจากความมืด ล้อมคนทั้งสามเอาไว้ เจียงซุ่ยฮวนจึงเข้าใจว่า กู้จิ่นมาจับคนแคระและพรรคพวก นึกถึงคำที่กู้จิ่นเพิ่งกล่าว นางจึงชี้ไปที่คนแคระและพวกพ้อง “หม่อมฉันมิได้มาเอง พวกเขาลักพาตัวหม่อมฉันมา” แปลกนัก แม้คนแคระจะกลัวเจียงซุ่ยฮวน แต่อารมณ์ยังคงมั่นคง แต่พอเห็นกู้จิ่น กลับราวกับเห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง ดิ้นรนบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง กู้จิ่นยกมือขึ้น องครักษ์ก็ดึงผ้าในปากคนแคระออก คนแคระตะโกนสุดเสียง “อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า! ความตายขององค์ฮองเฮาไม่เกี่ยวกับข้า!” บรรยากาศรอบด้านพลันเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง ดวงตาของกู้จิ่นคมดั่งลูกธนู น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กระชากคอคนแคระ “เจ้าว่าอะไร? เจ้ารู้อะไรบ้าง? พูดมาทั้งหมด!” “ข้าไม่ได้ฆ่า!” คนแคระหน้าแดงก่ำด้วยการขาดอากาศ เสียงแหลมแหบแห้ง “เป็น... เป็น...” ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็วจากที่ไกล ทะลุอากาศที่หยุดนิ่ง ปักเข้ากลางศีรษะคนแ
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ? คุณชายหลี่รออยู่ที่ห้องรับแขกเจ้าค่ะ” เจียงซุ่ยฮวนยังงัวเงียจากการนอน ถามว่า “คุณชายหลี่ผู้ใดหรือ?” “ก็คุณชายหลี่เสวียหมิงไงเจ้าคะ” หยิ่งเถาอธิบาย “อาการป่วยของเขาหายดีแล้ว มาขอบคุณคุณหนู รออยู่เกือบครึ่งชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ” “เหตุใดเจ้าไม่ปลุกข้าแต่แรก?” เจียงซุ่ยฮวนใช้ผ้าเช็ดหน้า สติค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น หยิ่งเถากระทืบเท้าเบาๆ พูดอย่างน้อยใจ “เมื่อวานคุณหนูพักผ่อนไม่เพียงพอ บ่าวอยากให้คุณหนูได้นอนเพิ่มอีกสักหน่อยน่ะเจ้าค่ะ!” “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปห้องรับแขกเดี๋ยวนี้ เจ้าไปนอนต่อเถิด” เจียงซุ่ยฮวนจิ้มรอยคล้ำใต้ตาหยิ่งเถา “ดูสิ รอยคล้ำใต้ตาเจ้าหนักเชียว” หยิ่งเถาเกาศีรษะ “เช่นนั้นบ่าวขอไปนอนก่อนนะเจ้าคะ หากคุณหนูมีอะไรให้รับใช้ เรียกบ่าวได้ทุกเมื่อ” “ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนเดินไปที่ห้องรับแขก หลี่เสวียหมิงกำลังเหม่อมองกาน้ำชา อาการป่วยของเขาดูหายสนิท จากคนป่วยซูบผอมกลายเป็นบุรุษรูปงามสง่า เปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว “หากคุณชายหลี่เสียดายกาน้ำชานี้ จะนำกลับไปด้วยก็ได้” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยขึ้น ปลุกหลี่เสวียหมิงจากภวังค์ หลี่เสวียหมิงรีบลุกขึ้นคำนับ “ผู้น้อย
สาวใช้ที่ถูกจับตัวอายุเพียงสิบสองสิบสามปี ราวกับเห็นฟางรวงที่จะช่วยชีวิต สะบัดหลุดจากมือชายฉกรรจ์ทั้งสอง คุกเข่าร้องไห้ต่อเจียงซุ่ยฮวน “คุณชายใจดี ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากถูกขายเข้าหอนางโลม” “นางตัวดี! แม่เจ้ารับเงินยี่สิบตำลึงจากพวกข้าแล้ว ขายเจ้าให้พวกข้า จะไปไหนมิใช่เรื่องที่เจ้าจะเลือก!” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำตบหน้าสาวใช้อย่างแรง มุมปากนางมีเลือดไหลซึมทันที อีกคนมีแผลเป็นยาวเท่าฝ่ามือบนใบหน้า หน้าตาดุร้าย ชี้นิ้วด่าเจียงซุ่ยฮวน “ข้าเกลียดที่สุดคือไอ้หน้าจืดแบบเจ้า อย่ายุ่งเรื่องที่ไม่ใช่กงการของเจ้า!” หลี่เสวียหมิงขมวดคิ้ว “ข้าเคยได้ยินมาว่า สองพี่น้องนี้เป็นอันธพาลที่มีชื่อแถวนี้ ทำมาหากินด้วยการค้ามนุษย์ หน้าตาดุร้ายจนไม่มีใครกล้าแตะต้อง” “ใต้เงาวังยังมีคนเช่นนี้หรือ?” เจียงซุ่ยฮวนฟาดตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง คว้าถ้วยชาสาดลงไปข้างล่าง โดนหน้าชายแผลเป็นเต็มๆ ชายแผลเป็นปาดน้ำชาบนหน้า โกรธจัดจะพุ่งเข้าเยว่ฟางโหลวไปหาบัญชีกับเจียงซุ่ยฮวน แต่ถูกลูกมือเยว่ฟางโหลวกั้นไว้ เยว่ฟางโหลวเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ชายแผลเป็นไม่กล้าบุกรุก แต่ก็กลืนความแค้นไม่ลง จึงแหงนหน้า
ในทันใดนั้น ชาวบ้านที่เดิมยืนดูความสนุกต่างตะลึง ใครจะคิดว่าคุณชายที่ดูอ่อนแอบอบบางเช่นนี้ จะสามารถจัดการชายฉกรรจ์ทั้งสองได้ถึงเพียงนี้? แม้แต่หลี่เสวียหมิงก็ตาโต พึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “เก่งเหลือเกิน...” เจียงซุ่ยฮวนปัดมือ ค่อยๆ พยุงหญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้นขึ้น ถามด้วยความห่วงใย “น้องหญิง เจ้าไม่เป็นไรหรือ?” “ขอบคุณคุณชาย...” สาวใช้พูดจบก็สลบไป เจียงซุ่ยฮวนจับชีพจรนาง ขมวดคิ้ว “มีอาการบาดเจ็บภายใน ต้องพาไปโรงหมอ” ในยามนั้น จู่ๆ มีคนเดินออกมาจากฝูงชน กอดอกเยาะเย้ย “อ้อ นี่มิใช่เจียงซุ่ยฮวน ธิดาเอกผู้โง่เขลาของจวนโหวหรือ? เห็นแต่ไกลว่าหน้าเยว่ฟางโหลวคึกคัก ข้านึกว่าเกิดอะไรขึ้น ที่แท้เจ้าก่อเรื่องอยู่ที่นี่” เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้ามอง พบว่าเมิ่งเซียว เมิ่งชิง และเจียงเม่ยเอ๋อร์สามคนยืนอยู่หน้าฝูงชน คนที่เพิ่งเยาะเย้ยนางคือเมิ่งเซียว “วันนี้เหตุใดจึงสวมชุดบุรุษ? คิดว่าตนไม่สมควรเป็นสตรีแล้วหรือ?” ได้ยินคำพูดของเมิ่งเซียว ชาวบ้านที่มุงดูยิ่งประหลาดใจ คุณชายที่มีวรยุทธ์เก่งกาจผู้นี้แท้จริงเป็นสตรี! ทั้งยังเป็นธิดาเอกของจวนโหว! เจียงซุ่ยฮวนไม่อยากพูดกับเมิ่งเซียว หยิบเงินยี่สิบ
เมิ่งชิงเพิ่งตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่อง นางพูดติดอ่าง “เจ้า...เจ้ากล้าหรือ! บิดามารดาข้าจะไม่ยอม!” “บิดามารดาเจ้าจะยอมหรือไม่ไม่สำคัญ ขอเพียงท่านยอดขุนนางต้าหลี่สี่ยอมก็พอ” สองพี่น้องเมิ่งเซียวเมิ่งชิงต่างเสียท่าเจียงซุ่ยฮวน เจียงเม่ยเอ๋อร์ทนไม่ไหวก้าวออกมาอีกครั้ง “พี่สาว พวกเราล้วนเป็นพี่น้องกัน เหตุใดต้องไม่ยอมปล่อยแม้มีเหตุผล! ยังจะส่งพี่เมิ่งชิงเข้าคุก นี่มิใช่บีบให้จวนแม่ทัพกับจวนโหวเป็นศัตรูกันหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนช้อนตามอง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “น้องสาว รักษาอาการผมร่วงหายแล้วหรือ? ถึงมีแรงมาช่วยคนอื่นพูด” “เจ้า!” เจียงเม่ยเอ๋อร์เอามือปิดผมท้ายทอยโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด หนังศีรษะตรงที่ผมร่วงนั้นไม่ยอมงอกผมอีก นางจึงต้องตัดผมของสาวใช้มาทำวิกปิดท้ายทอย เจียงซุ่ยฮวนมองไปที่เมิ่งชิง พูดเสียงเข้ม “เป็นถึงหลานสาวแท้ๆ ของแม่ทัพเจิ้นหยวน กลับมาใส่ร้ายคนกลางถนน หากท่านปู่รู้เข้า อย่างน้อยต้องกักบริเวณเจ้าสามเดือน!” เมิ่งชิงร้องเสียงแหลม “ไม่ได้! อย่าบอกท่านปู่!” เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะเยาะ “ข้าจะไม่แจ้งความ และไม่บอกท่านปู่เจ้าก็ได้ ขอเพียงเจ้าก้มหัวขอโทษข้ากับคุณช
หลังจากสามคนนั้นจากไป เจียงซุ่ยฮวนก้มตัวจะพยุงสาวใช้ที่สลบไปส่งโรงหมอ แต่สาวใช้กลับฟื้นขึ้นมา คุกเข่าต่อเจียงซุ่ยฮวน “ขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต หงหลัวไม่มีสิ่งใดตอบแทน ขอมอบกายถวายชีวิตแด่คุณชาย!” “อะไรกัน!” เจียงซุ่ยฮวนตะลึง เกาศีรษะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน จะมอบกายถวายชีวิตได้อย่างไร?” “กราบทูลคุณชาย หม่อมฉันอายุสิบสามแล้วเจ้าค่ะ” หงหลัวเห็นทั้งสองตกใจมาก ก็งุนงง “ในนิยายเขียนไว้เช่นนี้นี่เจ้าคะ สตรีที่ถูกคุณชายหน้าตาดีช่วยชีวิต ก็ต้องมอบกายถวายชีวิต” เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะ “แต่ข้าก็เป็นสตรีเช่นกันนะ” หงหลัวตะลึงครู่หนึ่ง แล้วรีบตั้งสติ ก้มศีรษะกราบกับพื้นแรงๆ “ขอบพระคุณคุณหนูที่ช่วยชีวิต หงหลัวขอเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนู รับใช้คุณหนูไปชั่วชีวิต!” เจียงซุ่ยฮวนลังเลเล็กน้อย นางต้องการรับบ่าวไพร่เพิ่มจริง แต่หงหลัวอายุน้อยเกินไป หงหลัวมีท่าทีมุ่งมั่น ทำท่าว่าถ้าเจียงซุ่ยฮวนไม่รับก็จะไม่ลุก “หม่อมฉันถูกแม่เลี้ยงขายเข้าหอนางโลม หากกลับบ้านท่านพ่อจะตีหม่อมฉันตาย ได้โปรดรับหม่อมฉันด้วยเถิดเจ้าค่ะ หม่อมฉันกินน้อย และทำงานคล่องแคล่ว” “ก็ได้” เจียงซุ่ยฮวนจำต้องพยุงนางขึ้น “ตามข้าม
หงหลัววางเสื้อผ้าในมือลงอย่างงุนงง ลุกขึ้นพูด “หม่อมฉันชื่อหงหลัว เป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูเจียง ท่านเป็นผู้ใดหรือ?” หยิ่งเถาโกรธจนเท้าสะเอว “โกหก! ข้าต่างหากที่เป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนู!” นางเพียงแค่นอนไปงีบเดียว เหตุใดคุณหนูจึงมีสาวใช้คนสนิทเพิ่มมา? ต้องเป็นคนหลอกลวงแน่ๆ! เจียงซุ่ยฮวนได้ยินเสียงจึงเดินมาที่เรือนหลัง เห็นหยิ่งเถาท่าทางโกรธเกรี้ยว รู้ว่านางเข้าใจผิด จึงเล่าเรื่องที่ช่วยหงหลัวให้ฟัง หยิ่งเถาจึงรู้ว่าหงหลัวไม่ใช่คนหลอกลวง รู้สึกละอายใจแต่ไม่กล้าขอโทษ บิดตัวอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปจับมือหงหลัว “เจ้าผอมเช่นนี้ ซักผ้าคงไม่สะอาด ข้าพาเจ้าไปดูรอบๆ จวนก่อนดีกว่า” หงหลัวพยักหน้าเชื่อฟัง ตามหยิ่งเถาไปดูจวน เจียงซุ่ยฮวนกลับห้องนอน ขณะถอดชุดบุรุษ สังเกตเห็นรอยเลือดบนกางเกงชั้นใน หัวใจนางสั่นวูบ ยื่นมือจับชีพจรตนเอง เมื่อพบว่าไม่มีอันตรายร้ายแรงจึงถอนหายใจ คงเป็นเพราะต่อสู้กลางถนนเมื่อครู่ ทำให้ทารกในครรภ์กระเทือน กินยาบำรุงครรภ์ พักผ่อนสักหน่อยก็คงดีขึ้น ห้องทดลองไม่มียาบำรุงครรภ์ นางจึงตั้งใจจะปรุงเอง เจียงซุ่ยฮวนให้หยิ่งเถาถือเงินไปร้านยา ซื้อสมุนไพรที่ต้องใช้
ระหว่างลงเขา นางยังพบสมุนไพรหลายชนิดที่ช่วยบำรุงร่างกายและเสริมภูมิคุ้มกัน จึงเก็บทั้งหมดเข้าห้องทดลองโดยไม่ลังเล อีกสองวันจวนโหวมีงานเลี้ยง นางจะปรุงยาลูกกลอนบำรุงร่างกายไปมอบให้ เผื่อเจียงเม่ยเอ๋อร์จะเอาไปกระซิบฮูหยินและท่านโหวว่านางอกตัญญู “โฮ่ง! โฮ่ง!” มีเสียงแผ่วเบาดังมาจากพุ่มไม้ไม่ไกล เจียงซุ่ยฮวนกำเคียวแน่น ค่อยๆ เดินไปที่พุ่มไม้อย่างระแวดระวัง ราวกับรู้ว่ามีคนเข้าใกล้ เสียงในพุ่มไม้ดังขึ้นเรื่อยๆ เจียงซุ่ยฮวนใช้เคียวแหวกหญ้า พบลูกหมาป่าบาดเจ็บนอนอยู่ อุ้งเท้าหน้าของลูกหมาป่าคงติดกับดักสัตว์ มีแผลลึก มันร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เจียงซุ่ยฮวนไม่กล้าประมาท ที่มีลูกหมาป่าต้องมีแม่หมาป่า ยิ่งลูกบาดเจ็บ แม่หมาป่าจะยิ่งดุร้าย นางใช้เคียวป้องกันตัว ค่อยๆ ถอยหลัง หวังจะรีบจากไปก่อนแม่หมาป่าจะพบ ลูกหมาป่ามองนางอย่างน่าสงสาร นางหยุดฝีเท้า ใจไม่กล้าทิ้งไป หากแม่หมาป่าไม่อยู่ที่นี่ ลูกหมาป่าบาดเจ็บหนักเช่นนี้คงไม่รอดถึงพรุ่งนี้ เจียงซุ่ยฮวนสำรวจรอบๆ หากพบร่องรอยแม่หมาป่า นางจะรีบจากไปทันที บนหญ้าข้างลูกหมาป่ามีคราบเลือด นางตามรอยเลือดไปหลังต้นไม้ใหญ่ พบแม่หมาป่านอนน
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช
คิดดูแล้ว ท่าทางท่านอาจารย์คงถูกสับเปลี่ยนตัวตั้งแต่อยู่ในวังหลวงเป็นแน่แท้เช่นนั้นแล้ว...อาจารย์ตัวจริงเล่า? ยามนี้จะอยู่ ณ แห่งหนใด?ไม่นานนัก องครักษ์เงาที่ออกตามจับก็กลับมาสองคน เจียงซุ่ยฮวนส่งเสี่ยวถังหยวนให้แม่นม แล้วหันมาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ว่าอย่างไร พวกเจ้าจับเขาได้หรือไม่?”องครักษ์ทั้งสองก้มหน้าด้วยความละอาย “เขามีวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก พวกกระหม่อมตามไปได้ไม่นานก็คลาดจากเงาของเขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เจียงซุ่ยฮวนหาได้แปลกใจนัก หากคนผู้นี้สามารถปลอมตัวเป็นฉู่เฉินได้ ย่อมต้องเอาชนะฉู่เฉินได้ นั่นหมายความว่า ฝีมือย่อมเหนือกว่าอาจารย์ของนางเสียอีกคิดถึงตรงนี้ นางเริ่มรู้สึกหงุดหงิด บนโลกนี้ช่างมีผู้รู้วิชาแปลงโฉมมากเกินไปหรือไม่ เหตุใดจึงมีแต่คนอยากปลอมตัวเป็นผู้อื่น!แม้ตนจะระวังระไวอยู่แล้ว แต่ก็มิวายถูกหลอกอยู่ร่ำไปอาจารย์ของนางเฉลียวฉลาดนัก ใครเลยจะคิดว่าเขากลับตกเป็นเหยื่อเช่นกัน!เจียงซุ่ยฮวนแอบตัดสินไว้ในใจ นางจำต้องหาวิธีให้รู้ให้แน่ว่า คนข้างกายยังเป็นตัวจริงอยู่หรือไม่“พระชายา จะให้พวกกระหม่อมส่งคนออกตามหาเพิ่มเติมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” องครักษ์คนหนึ่งเอ่ย
กู้จิ่นหาได้ตอบคำของเซียวกงกงไม่ เพียงเดินผ่านเขาไป พร้อมทอดเสียงเย็นชา “เจ้ารออยู่ข้างนอก”เซียวกงกงไม่กล้าพูดอันใดอีก จึงก้มหน้ารับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”เขาโค้งหลังลงต่ำ และแอบชำเลืองมองแผ่นหลังขององค์ชายพลางคิดในใจ...ในทุกครั้งที่เมื่อองค์ชายเป่ยโม่เข้าเฝ้าไท่ซ่างหวงได้ไม่ทันไร ก็มักถูกขับไล่ออกมา ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันกระมังภายในตำหนัก ไท่ซ่างหวงยืนหันหลังให้กู้จิ่น กล่าวขึ้นอย่างสงบ “ดูท่าเจ้าอาฮวนคงบอกเจ้าแล้วสินะ”“อืม” กู้จิ่นตอบเสียงขรึม “นางบอกว่าเหตุที่พระองค์แสร้งเป็นบ้า...ก็เพื่อปกป้องข้า”ไท่ซ่างหวงทอดถอนใจแผ่วเบา “แท้จริงแล้วยังมีอีกเหตุหนึ่ง...เพียงแต่ข้าพูดไม่ออกต่อหน้านาง”“เหตุใดกัน?” ดวงตาของกู้จิ่นราวผืนน้ำต้องลม ราวคลื่นใต้ทะเลมืด ลึกล้ำจนยากหยั่ง“เพราะว่า...” เสียงของไท่ซ่างหวงเต็มไปด้วยความสำนึกและโทษตน “ข้า...ไร้หน้าจะมองเจ้าอีก”“ราชบัลลังก์นี้ แต่เดิมควรตกเป็นของเจ้า นี่คือสิ่งที่ข้ากับฮองเฮา มารดาของเจ้า ได้ตกลงกันไว้แล้ว”“แต่เมื่อนางจากไปอย่างกะทันหัน ข้าก็ทนรับมิได้ ในใจเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น เลยเผลอโทษเจ้า แล้วยังส่งบัลลังก์ให้พี่ของเจ้าอีก”“ใครเลย
กู้จิ่นยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “อาฮวน เราอยากเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวงสักครา”เจียงซุ่ยฮวนย่อมรู้ว่าเขาต้องการไปพบไท่ซ่างหวง จึงตอบว่า “เชิญเถิด หม่อมฉันก็จะกลับไปหาท่านอาจารย์พอดี ท่านพูดคุยกับไท่ซ่างหวงให้ดีเถิด”ทั้งสองกล่าวลาต่อกันที่หน้าจวนองค์ชายเป่ยโม่ กู้จิ่นขึ้นรถมุ่งหน้าเข้าวัง ส่วนเจียงซุ่ยฮวนก็กลับจวนของตนครั้นถึงจวนแล้ว เจียงซุ่ยฮวนตรงไปยังห้องพักของฉู่เฉิน หน้าห้องมีองครักษ์เงาสองคนยืนเฝ้าอยู่ ครั้นเห็นนางมาก็กล่าวพร้อมกันว่า “คารวะพระชายา”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังห้อง “เขายังอยู่ข้างในหรือไม่?”“กราบทูลพระชายา อยู่พ่ะย่ะค่ะ”นางผลักประตูเข้าไป สิ่งที่เห็นคือหีบหลายใบเรียงอยู่บนพื้น แต่ละหีบล้วนเต็มไปด้วยทองคำและอัญมณีฉู่เฉินนั่งยอง ๆ อยู่ข้างหีบ กำลังถือถุงผ้าใบหนึ่ง แล้วหยิบทรัพย์สมบัติจากในหีบใส่ลงไปอย่างคล่องแคล่วหีบพวกนี้คงเป็นของที่เสวียหลิงนำมามอบให้นั่นเอง แต่ฉู่เฉินกำลังทำอันใดอยู่?เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้ว ถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ กำลังทำอะไรน่ะ?”ฉู่เฉินไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ก็เก็บของน่ะสิ”“ของอยู่ในหีบดี ๆ แล้ว ท่านจะเอาไปใส่ถุงผ้าทำไมกัน?”“ของที่เขาให
“ใต้หล้าย่อมไม่มีผนังใดกันสายลมได้พ้น ต่อให้เราปกปิดดีเพียงใด ก็ยากจะรอดพ้นสายตาผู้คน หากมิใช่จะจับตัวแมงป่องพิษได้เสียก่อน” เสวียหลิงกำหมัดแน่น “ตราบใดที่เขากล้าแตะต้องเราอีกสักครั้ง ไม่ว่าอย่างไร เราจะจับเขาให้ได้!”กู้จิ่นมองสบตาที่แน่วแน่นั้น มิได้กล่าวสนับสนุนหรือขัดขวาง เพียงตอบว่า “เราเข้าใจแล้ว...เจ้ากลับเถิด”เสวียหลิงกับว่านเมิ่งเยียนจึงหันหลังเดินจากไป ก่อนออกประตูยังไม่ลืมสั่งบ่าวให้นำหีบของขวัญทั้งหลายไปส่งยังจวนของเจียงซุ่ยฮวนเจียงซุ่ยฮวนมองแผ่นหลังของทั้งคู่แล้วอดไม่ได้ที่จะถาม “เหตุใดท่านจึงไม่ห้ามเขาไว้?”กู้จิ่นกล่าวเสียงเคร่ง “เพราะเขาพูดถูก”“ฝ่าบาทย่อมรู้เรื่องการฟื้นของเขาในวันใดวันหนึ่งอยู่ดี เขาหลบไม่พ้น ดีกว่าเตรียมการเสียแต่เนิ่น ๆ” พระเนตรของกู้จิ่นลึกล้ำเยียบเย็น “ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของเขา เราได้แพร่ข่าวไปแล้วว่า ขณะอยู่บนเขานั้น เขามิได้ยินหรือเห็นสิ่งใด”“เช่นนี้ หากฮ่องเต้รู้ว่าเขาฟื้น ก็ไม่กล้าเสี่ยงจะฆ่าเขา กลับอาจจะชักชวนเขาใช้งานด้วยซ้ำ”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกชื่นชมวิสัยทัศน์ของกู้จิ่นนัก หากฮ่องเต้รับเสวียหลิงไว้ใช้งาน ก็ย่อมเป็นประโยชน์