เจียงซุ่ยฮวนดึงว่านเมิ่งเยียนเข้ามาข้างกาย เอ่ยถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”เฉียนจิงอี๋ปรายตาเยาะเย้ยไปยังปาฟางและพรรคพวก แล้วยิ้มพลางกล่าวกับเจียงซุ่ยฮวนว่า “ก็ชอบเจ้าน่ะสิ ข้าอยากได้เจ้ามาเป็นภรรยา”ปาฟางโกรธจนแทบลุกเป็นไฟ ทว่าเจียงซุ่ยฮวนกลับแน่ใจว่าเฉียนจิงอี๋กล่าวเท็จ“หากไม่คิดพูดความจริง เราก็มิมีเรื่องต้องกล่าวอีก” เจียงซุ่ยฮวนฉุดว่านเมิ่งเยียนแล้วหันหลังเดินจากไปปาฟางและคนอื่น ๆ ตามหลังไปพลางระวังหลัง มิให้เฉียนจิงอี๋จู่โจมกระทันหันเคราะห์ดีที่เฉียนจิงอี๋มิได้ตามมา เจียงซุ่ยฮวนกับว่านเมิ่งเยียนไม่มีกะจิตกะใจจะเดินเล่น จึงกลับร้านหรงเยว่เก๋อทันทีแม้เรื่องวุ่นวายเล็กน้อยนี้จะทำให้ใจขุ่นมัว แต่เจียงซุ่ยฮวนก็มิได้ใส่ใจ ไม่นานก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง และเริ่มดูแลลูกค้าตามเดิมด้านราชสำนักในเวลานั้นกลับเกิดความโกลาหลขึ้นม้าศึกสีดำทะยานผ่านประตูวังไปโดยไร้ผู้ขัดขวาง ตรงมายังหน้าตำหนักว่อหลง คนขี่รีบโดดลงจากม้า วิ่งตรงเข้าตำหนักเหล่าขันทีรีบเข้ามาขวาง แต่เขาชักจดหมายออกจากอก โบกเบา ๆ สองครา เมื่อเห็นลายดอกสีดำบนซอง ทุกคนก็หน้าซีดถอยกรูไปภายในตำหนักว่อหลง ฝ่าบาทและองค์ช
ครั้นกีบม้ากระแทกพื้น คนขี่ม้าก็โล่งใจ โบกแส้หนึ่งครั้งแล้วควบม้าจากไป พลางตะโกนว่า "ข่าวด่วนจากหนานเจียง! จงหลีกทาง!"เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ท้องถนนกลับคืนสู่ปกติอีกครั้ง ว่านเมิ่งเยียนยืนอยู่กลางฝูงชน ถามอย่างเลื่อนลอยว่า "ข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่""ยังมีชีวิตอยู่" ไป๋หลีว่าพลางผลักนางไปยังข้างทาง ตั้งใจไม่เหลียวมองผู้สวมชุดแดงข้างกาย"เมิ่งเยียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เจียงซุ่ยฮวนรีบวิ่งเข้ามาถามด้วยความห่วงใยว่านเมิ่งเยียนส่ายศีรษะอย่างเลื่อนลอย ก่อนสติจะกลับมา ถามว่า "เมื่อครู่มีผู้สวมชุดแดงช่วยข้าไว้ เขาอยู่ที่ใด""ข้าอยู่นี่เอง" เสียงเปี่ยมรอยยิ้มดังมาจากเบื้องหลังทุกคนหันไปเห็นบุรุษชุดแดงรูปโฉมงดงาม ยืนยิ้มละไมอยู่กลางถนน เขายกมือกล่าวว่า "คุณหนูเจียง พบกันอีกแล้วนะ"สีหน้าเจียงซุ่ยฮวนหม่นลงทันที กัดฟันเอ่ยว่า "เฉียนจิงอี๋ เจ้าอีกแล้ว!"ว่านเมิ่งเยียนได้ยินดังนั้นก็ตกใจยิ่งนัก "ซุ่ยฮวน เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือ""แน่นอน คุณหนูเจียงกับข้ารู้จักกันตั้งแต่หลายปีก่อน" เฉียนจิงอี๋กอดอกยิ้ม "ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับนาง ลึกซึ้งยิ่งกว่าผู้ใดที่นี่เสียอีก""เหลวไหล!
ดวงตาของว่านเมิ่งเยียนกลอกไปมา ไม่นานก็คิดหาทางแก้ไขได้นางตบโต๊ะลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธกล่าวว่า “ข้ามิได้บอกว่าโรงเตี๊ยมฟู่หยวนอยู่ในเมืองหลวง เจ้าหาไม่พบ แสดงว่ามิได้ใส่ใจคำพูดข้าเลยแม้แต่น้อย”“วันนั้นท่านพ่อข้ายกเลิกนัดทั้งหมด รอเจ้าแต่เช้ายันค่ำ แต่กลับไม่เห็นแม้เงา ท่านพ่อคิดว่าเจ้าตั้งใจล้อเล่นกับท่านเสียแล้ว!”คุณชายผู้มั่งคั่งตกใจจนมือที่ถือจอกสั่น รีบอธิบายว่า “คุณหนูว่าน ข้ามิได้ตั้งใจล้อเล่นกับท่านพ่อของท่าน ขอได้โปรดช่วยกลับไปอธิบายแทนข้าด้วยเถิด”ว่านเมิ่งเยียนนั่งลง พลางส่ายหน้า “มิจำเป็นแล้วกระมัง”คุณชายผู้มั่งคั่งรีบร้อนกล่าว “จำเป็นสิขอรับ เช่นนี้เถิด พรุ่งนี้ข้าจะเหมาหอเยว่ฟาง เชิญคุณหนูและท่านพ่อมาร่วมโต๊ะเพื่อไถ่โทษ จะได้หรือไม่”ว่านเมิ่งเยียนยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างสงบ กล่าวว่า “ไม่จำเป็น เรามิได้เกี่ยวข้องอันใดกัน อีกทั้งคนไร้สัตย์เช่นเจ้า บ้านข้าก็มิอาจร่วมทำการค้าด้วยได้”คุณชายผู้มั่งคั่งร้อนรนจนเดินวนไปมาคุณชายลดเสียงลงอ้อนวอนขอร้องอย่างน่าสงสาร “คุณหนูว่าน ท่านงามพร้อมทั้งยังใจดีนัก ขอท่านได้โปรดช่วยเอ่ยคำพูดดี ๆ ต่อหน้าท่านพ่อ ข้ามิได้มีเจตนาร้าย ขอท
ได้ยินเพียงเสียง “ตึ้ง” ดังลั่น จมูกของนางก็ถูกกระแทกจนผิดรูป เลือดไหลรินลงมาไม่หยุดนางชะงักไปอึดใจหนึ่ง แล้วจึงกรีดร้องเสียงหลงกึกก้อง “ว้าย! จมูกข้า!”สาวใช้ที่อยู่เบื้องล่างรีบวิ่งขึ้นไป พยุงเจียงเม่ยเอ๋อร์ที่ร้องไห้โวยวายพากันจากไปอย่างรวดเร็วผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันตบมือโห่ร้องยินดี เจียงเม่ยเอ๋อร์ผู้นี้สมควรได้รับบทเรียนยิ่งนัก!เจียงซุ่ยฮวนก้าวเข้าสู่ร้านหรงเยว่เก๋อ นางมัวยุ่งวุ่นวายอยู่หลายวัน จึงยังมิได้ลงมือจัดการเจียงเม่ยเอ๋อร์ ปล่อยให้นางได้เสพสุขอยู่ช่วงหนึ่งอีกไม่กี่วันก็ถึงพิธีบวงสรวงใหญ่ นางคิดแผนการได้แล้วว่าจะเปิดโปงความอัปยศที่เจียงเม่ยเอ๋อร์ลักลอบเปลี่ยนตัวทารกแทนฉู่ฝูผู้ล่วงลับเหล่าผู้คนจะต้องโกรธแค้นอย่างมากเป็นแน่ โดยเฉพาะขุนนางผู้มักนำของกำนัลไปถวายจวนอ๋องหนานหมิงเมื่อได้รู้ความจริง คงอยากจะฉีกเนื้อถอนหนังสองผัวเมียคู่นี้เป็นแน่ช่วงเวลาสุขสบายของคนทั้งสอง กำลังจะถึงจุดจบแล้วคิดถึงตรงนี้ เจียงซุ่ยฮวนก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง นางเคยวางพิษกู่รังไหมไว้ในร่างฉู่เจวี๋ย วันใดมันฟักตัวออกมา ฉู่เจวี๋ยย่อมสิ้นชีพในบัดดลครานั้น เจียงเม่ยเอ๋อร์ผู้ไร้บ
เจียงเม่ยเอ๋อร์แอบดีใจอยู่ลึก ๆ จวนอ๋องกลับทอดทิ้งนางเพื่อหญิงบ้านนอกเช่นเจียงซุ่ยฮวน หากวันใดนางทำเรื่องขายหน้า เหล่าคนในจวนย่อมต้องเสียใจภายหลังเป็นแน่เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งเบิกบาน ก้มหน้ามองเจียงซุ่ยฮวนพลางหัวเราะเยาะ “ข้าขอเตือนเจ้านะว่ารีบกลับไปเสียเถิด”เจียงซุ่ยฮวนเพียงหัวเราะเบา ๆ ยังมิทันเอื้อนเอ่ย ก็มีสตรีผู้หนึ่งซึ่งกำลังต่อแถวอยู่ด้านข้างโกรธกริ้วขึ้นมาสตรีนางนั้นเคยมาใช้บริการเมื่อสองวันก่อน ครั้นเห็นผลลัพธ์ดีนัก จึงรีบมารอต่อแถวแต่เช้าตรู่เพื่อซื้อของบำรุงผิวอีกนางชี้นิ้วไปที่เจียงเม่ยเอ๋อร์บนหน้าต่าง พลางตวาดลั่นว่า “ข้าทนเจ้ามานานแล้ว เจ้าว่าใครบ้านนอกหรือ”เจียงเม่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างงุนงงว่า “ข้ามิได้เอ่ยถึงเจ้าสักหน่อย เจ้าตะโกนทำไม”“เจ้าว่าหมอเจียงก็เท่ากับว่าด่าว่าพวกข้า” สตรีผู้นั้นถลกแขนเสื้อ ตวาดใส่ว่า “เจ้าสติไม่ดีหรืออย่างไร ถ้าหมอเจียงกลับไปแล้ว ใครจะมาดูแลลูกค้าอย่างพวกข้าเล่า” เจียงเม่ยเอ๋อร์ฟังจนงงงัน กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “นางจะอยู่จะไปเกี่ยวอันใดกับลูกค้า ข้ายังอุตส่าห์มาเข้าแถวตั้งแต่เที่ยงคืน”เจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวอย่างสงบ “ความหมายของนางคือ
เมื่อทั้งสองกล่าวคำร่ำลากับพระน้อยแล้ว ลิ่วลู่เมื่อเห็นว่าพระน้อยเก่งกาจถึงเพียงนี้ จึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านแลเห็นหรือไม่ ว่าข้าจะเปลี่ยนเป็นชะตาดีหรือไม่”พระน้อยยิ้มบาง เอื้อนเอ่ยว่า “ตราบใดที่ท่านทั้งหลายมิได้หลงลืมจิตเดิมแท้ สุดท้ายโชควาสนาก็จักมาเยือน”“ขอบคุณท่านอาจารย์” ทุกคนกล่าวขอบคุณ แล้วจึงลงจากเขาด้วยใจเปี่ยมสุขคงเป็นเพราะได้เซียมซีที่ดียิ่งเหนือใคร เจียงซุ่ยฮวนจึงมีจิตใจที่เบิกบานหลายวันติดกันช่างก่อสร้างที่เถี่ยจู้นำมาล้วนขยันขันแข็ง เพียงไม่กี่วันก็วางฐานรากสำเร็จร้านหรงเยว่เก๋อรุ่งเรืองยิ่งนัก ไม่ว่าเจียงซุ่ยฮวนจะไปแต่เช้าเพียงใด ก็มีผู้คนตั้งแถวยาวเหยียดรออยู่หน้าประตูแล้วนางขนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากห้องทดลองออกมาจนเต็มห้อง แต่ไม่ถึงสามวันก็ขายเกลี้ยง จึงต้องแอบเติมสินค้าอยู่เนือง ๆทุกสิ่งล้วนราบรื่นดี เว้นเพียงเรื่องหนึ่งที่ทำให้นางห่อเหี่ยวใจนั่นคือหลายวันมาแล้วที่นางมิได้พบกู้จิ่น แม้รู้ว่าเขายุ่งมาก แต่นางก็อดคิดถึงเขามิได้อย่างไรก็ดี นางก็ปลอบตนเองได้ ว่ากู้จิ่นกำลังทำเรื่องสำคัญอยู่ นางเองก็สามารถตั้งใจสร้างเนื้อสร้างตัว รอวันเขา
“ภรรยาของคุณชายผู้นั้น จักช่วยเหลือตนเองให้พ้นเคราะห์กรรมได้”พระน้อยยืนอยู่ใต้ร่มไม้ แม้เยาว์วัยนัก แต่กลับมีท่วงท่าเปรียบประหนึ่งผู้บำเพ็ญตบะมาเนิ่นนาน ทำให้ผู้คนอดเลื่อมใสศรัทธาโดยไร้เหตุผลมิได้อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายความลี้ลับราวมิใช่มนุษย์จากโลกนี้ ดุจภาพลวงที่จางหายไปเพียงแค่สัมผัสลิ่วลู่ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเจียงซุ่ยฮวนกระซิบกับหยวนจิ่วว่า “ข้าให้เจ้าหนึ่งร้อยตำลึง ไปแตะตัวเขาที ดูว่าใช่มนุษย์จริงหรือไม่”หยวนจิ่วหาได้หลงกลไม่ พลันย้อนว่า “ข้าให้เจ้าสองร้อยตำลึง เจ้าไปลองเองสิ”ไป๋หลีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าให้อีกสามร้อยตำลึง พวกเจ้าทั้งสองไปพร้อมกันเลย”ทั้งสามเติบโตมาในสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ผ่านการฝึกฝนและการนองเลือดมาอย่างทรหด จึงได้กลายเป็นหนึ่งในหมื่นของยอดคนเฉกเช่นวันนี้ในสายตาพวกเขา การใช้กำลังแก้ปัญหาคือวิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้ยึดถือศรัทธาต่อสิ่งใด พูดจาตรงไปตรงมาไร้เยื่อใยเจียงซุ่ยฮวนรู้ดีว่าทั้งสามมิได้มีเจตนาร้าย ทว่าก็เกรงว่าจะล่วงเกินพระน้อย จึงเอ่ยปรามว่า “อย่าได้พูดจาเหลวไหล”นางหันไปกล่าวแก่พระน้อย “พระอาจารย์น้อย พวกเขาเพียงแต
“ข้าเหนื่อยนัก” เจียงซุ่ยฮวนกล่าว พลางนั่งลงบนก้อนหินใต้ต้นไม้ “พวกเราพักสักหน่อ แล้วค่อยไปต่อเถิด”“ได้สิ”พวกนางนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ครู่หนึ่ง จนกระทั่งเจียงซุ่ยฮวนเห็นร่างบัณฑิตหนุ่มเดินกะโผลกกะเผลก คงเป็นเพราะขาไร้เรี่ยวแรงจากการนั่งคุกเข่าอยู่นานเจียงซุ่ยฮวนร้องเรียกบัณฑิตว่า “คุณชายผู้นั้น ขอเชิญมาทางนี้หน่อยเถิด”บัณฑิตชะงักงัน ชี้ตนเองถามว่า “คุณหนูกำลังเรียกข้าหรือ”“ใช่แล้ว” เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้าบัณฑิตงุนงง เดินเข้ามาถามว่า “คุณหนูมีธุระอันใดหรือ”เจียงซุ่ยฮวนลุกขึ้นกล่าวถาม “เมื่อครู่ในวิหาร ข้าได้ยินท่านกล่าวถึงภรรยา ท่านว่านางล้มป่วยหรือ”“ใช่แล้ว” บัณฑิตหลุบตาลงต่ำกล่าวเศร้า ๆ ว่า “นางล้มป่วยหนัก แพทย์สามัญในเมืองหลวงมิอาจรักษาได้ อีกทั้งข้าไม่มีเงินจ้างหมอที่มีฝีมือดีได้ จึงมาอ้อนวอนขอพรจากพระพุทธองค์”เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าก็เป็นหมอเช่นกัน วานท่านบอกอาการของภรรยามาให้ข้าฟังหน่อยเถิด”บัณฑิตเปรียบดังได้คว้าฟางช่วยชีวิตไว้ รีบเล่ารายละเอียดถึงอาการของภรรยา แม้แต่ตัวยาที่ใส่ในยาต้มให้นางกินก็อธิบายอย่างละเอียดคนที่อธิบายอาการป่วยได้ละเอียดเช่นนี้หาย
ไม้เซียมซีไร้ซึ่งตัวอักษร ดูไม่ต่างจากไม้ไผ่ธรรมดา เจียงซุ่ยฮวนจึงยื่นให้พระน้อยดู ถามว่า “พระอาจารย์น้อย มีผู้ใดจงใจนำไม้เปล่ามาใส่ไว้หรือ”พระน้อยยิ้มพลางส่ายหน้า “ท่านผู้มีจิตศรัทธา นี่หาใช่ไม้ไผ่ธรรมดาไม่ แต่คือเซียมซีไร้อักษร”“เซียมซีไร้อักษรนี้หมายความว่าอย่างไร เป็นลางดีหรือร้ายกัน”“เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง” พระน้อยยื่นพู่กันให้เจียงซุ่ยฮวน “ท่านจะกำหนดความหมายด้วยปลายพู่กันนี้”“ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ” เจียงซุ่ยฮวนรับพู่กันมา พลางถามด้วยความแปลกใจ“เซียมซีนี้ พระมหาเถระฮุ่ยทงเป็นผู้ใส่ไว้ด้วยองค์เอง มีเพียงหนึ่งเดียวในถัง มีแต่ผู้มีวาสนาเท่านั้นจึงได้ครอบครอง และท่านก็คือผู้มีวาสนานั้น จะเขียนเช่นไรก็สุดแล้วแต่ใจท่าน” พระน้อยกล่าวด้วยรอยยิ้มเจียงซุ่ยฮวนไม่ลังเล จรดปลายพู่กันเขียนตัวหนังสือไว้หกคำ "โชคดี ดี ดี ดี ดี"เซียมซีโชคดีนี้ เป็นของนางแล้วนะ“ขอบคุณพระอาจารย์น้อยเป็นอย่างมาก” นางเก็บเซียมซีลงด้วยความพอใจ แล้วกล่าวลาพระน้อยพร้อมว่านเมิ่งเยียนขณะเดินออกมา ทั้งสองก็เห็นบัณฑิตหนุ่มที่เดินขึ้นเขามาก่อนหน้าบัณฑิตได้รับการประคองจากพระไปยังวิหารใหญ่ เขากล่