ต้องรู้สึกสิ้นหวังมากแค่ไหนกันนะ เมื่อมองไปทางไหนก็เจอแต่ซอมบี้และฝูงชนจำนวนมากที่พยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอด หากมีเด็กสักคนพลัดหลงกับพ่อแม่…“ได้หนังสือมาเยอะเลยนะครับ” วิทย์ทักขึ้นขัดภวังค์หดหู่ของอดีตผู้ช่วยเชฟ เฉินเฟิงจึงได้ปัดจินตนาการเหล่านั้นออกจากสมอง“ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือทำอาหารน่ะครับ”“สมกับที่เป็นเชฟเลยนะครับ”“เคยเป็นครับ เคยเป็น” เจ้ากระต่ายแก้ เวลานี้ไม่มีทั้งภัตตาคารหรือลูกค้าอีกแล้ว เขายังสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นเชฟได้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้“แต่ต้มจับฉ่ายเมื่อวานอร่อยมากเลยครับ” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่ได้เป็นเชฟในร้านอาหารแล้ว ก็เป็นเชฟวันสิ้นโลกได้นี่ครับ”เฉินเฟิงหลุดยิ้มออกมานั่นสินะ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง เขาก็ยังคงรักการทำอาหารอยู่ดี…“อือ…”“ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ” เมตตาผละจากนิตติ้งที่กำลังถักอยู่ ลุกขึ้นไปดูคนป่วย“ผม…” นิโคลัสปรือตามองเพดานไม่คุ้นตา ก่อนสมองจะประมวลได้ว่าก่อนหน้านี้เขากำลังทำอะไรอยู่ “อาเฟิง!”“ใจเย็นก่อนพ่อหนุ่ม” เห็นคนป่วยมีท่าทีสับสนมันงงครู่หนึ่ง ก่อนจะกระเด้งตัวเรียกหาเพื่อนในทีมแล้วก็เตรียมล้มฟุบไปอีกหน คนอายุมากกว่าก็ไม่ได้ว่องไวพอจะไปรับ
“มื้อเที่ยงจะทำอะไรเหรอครับ” เฉินเฟิงเดินเข้ามาในครัวเห็นครูเมตตาและสมาชิกในทีมของวิทย์กำลังเตรียมอาหารกัน“ว่าจะทำผัดผักบุ้งกับข้าวต้มจ้ะ” เพราะผักบุ้งคือผักที่โตง่ายที่สุดและสามารถตัดกินได้เรื่อย ๆ แทบจะเป็นมื้อหลักของบ้านครูเมตตาในยุคนี้“ถ้าอย่างนั้นผมช่วยนะครับ” เจ้ากระต่ายไม่ได้เสนอตัวช่วยเร่งโตพืชผักในสวนครัวเพื่อให้ได้ทำเมนูอาหารอย่างอื่นเพิ่ม แต่จะกินแบบเดียวกับที่พวกเขาทำแทน “ผมมีผลไม้อบแห้งที่เอามาด้วย ครูแบ่งให้เด็กกินคนละชิ้นนะครับ มีส่วนของพวกคุณวิทย์ด้วย” เฉินเฟิงยกให้พวกเขาทั้งกล่อง แต่ควรบริหารจัดการให้กินได้หลายวันหน่อย“ขอบคุณมากเลยนะ เป็นเพราะพวกคุณ เด็ก ๆ เลยมีอาหารอร่อยกิน” เมตตารับไว้ด้วยความยินดี เด็กอยู่ในวัยกำลังโต การที่ได้กินอาหารที่เหมาะสมจะทำให้การเจริญเติบโตของพวกเขาดียิ่งขึ้น ถ้าวันใดเฉินเฟิงหรือนิโคลัสขอความช่วยเหลือจากเธอละก็ เธอก็พร้อมจะให้ความร่วมมือเต็มที่“เห็นพวกเขากินกันอร่อยผมก็ดีใจแล้วครับ มาครับ เดี๋ยวผมช่วยสับกระเทียม” มัวแต่ขอบคุณกันไปมา เวลาอาหารคงถูกร่นลงไปอีก คุยไปทำไปดีกว่า“คุณครูพอจะมีพวกเมล็ดผักเหลือบ้างไหมครับ ที่ยังไม่ปลูกก็ได้” ผั
พอตกกลางคืนปัญหาใหม่ก็บังเกิดเขาจะนอนกับคุณหมอหมีอย่างสนิทใจได้ยังไงล่ะทีนี้“เดี๋ยวผมนอนข้างล่างก็ได้” นิโคลัสเห็นเชฟหนุ่มมองเตียงสลับกับมองเขา เดาว่าอีกฝ่ายคงลำบากใจที่จะต้องร่วมเตียงกับคนที่คิดเกินเลย แม้จะให้ความหวังแต่ก็ยังไม่ควรอยู่ชิดใกล้“ไม่” เจ้ากระต่ายรีบปฏิเสธ หัวคิ้วขมวดมุ่นชนกัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงเบา “เฮ้อ ไม่ต้องหรอกครับ นอนด้วยกันนี่แหละ”“แต่คุณลำบากใจ”“มันก็ใช่ครับ แต่ผมไม่ได้ลำบากใจเพราะว่าคุณนิค เอ่อ คุณ…”“เพราะผมชอบคุณ”“...!!” พูดออกมาได้ง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอพี่!“หมายความว่าอาเฟิงโอเคที่ผมชอบคุณ... ใช่หรือเปล่า” นัยน์ตาคมเบิกกว้างอย่างมีความหวัง ใบหูกลมบนศีรษะตั้งขึ้นเพราะความตื่นเต้น ต่างจากใบหูสีขาวที่ค่อย ๆ ลู่ลงเพราะประหม่าและเขินอาย“กะ... ก็ไม่ใช่ว่าไม่โอเค” พูดไปก็เสหน้าไปอีกทางไม่ไหวเขาสู้สายตาวิบวับของคุณหมอหมีไม่ไหว ถ้าเผลอจ้องมองไปนาน ๆ แล้วเขาต้องเผลอตอบตกลงไปทันทีจะทำยังไงไม่ได้สิ เขาต้องเล่นตัว เอ๊ย! ต้องศึกษากันไปก่อน จะปุบปับคบกันเลยไม่ได้!ถึงไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะได้เจอใครในอนาคตอีกหรือเปล่า แต่เขาก็ควรสแกนคนที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
วิทย์ตาลีตาเหลือกวิ่งออกมาจากห้องนอนทั้งที่ยังไม่สวมเสื้อผ้าท่อนบนอยู่ ๆ ก็มีลูกน้องวิ่งไปปลุกเขาบอกว่าคุณนิโคลัสเรียกรวม ชายหนวดโค้งเห็นทั้งคุณหมอและคุณเชฟแต่งตัวรัดกุมก็รู้สึกเก้อกระดาก ยังดีที่ก่อนออกมาเขาคว้าเสื้อกล้ามใกล้มือติดมาด้วย ดังนั้นตอนนี้ขอใส่ก่อนล่ะ“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยถาม เธอรับอยู่เวรยามในค่ำคืนนี้ พอชายหนุ่มทั้งสองบอกให้ไปปลุกวิทย์และเพื่อนคนอื่นก็ไม่รอช้าแม้จะยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ตาม“ผมกับอาเฟิงได้ยินเสียงเหมือนมีสัตว์ 4 ขาขนาดใหญ่อยู่ด้านนอก มันกำลังตรงมาที่นี่”“!!!”ชายหนวดโค้งรีบหันไปมองนอกกำแพงที่มีพลังป้องกันของคุณแม่กางล้อมรอบอยู่ ตอนวิ่งมาเขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าคุณแม่ได้ใช้พลังไปแล้ว“มันเข้ามาใกล้แค่ไหนแล้วครับ” วิทย์หน้าซีดเผือดรีบถามถึงสถานการณ์ปัจจุบัน“ใกล้มากแล้ว น่าจะห่างไปประมาณ 2 กิโล” เฉินเฟิงเองก็เผยสีหน้าเคร่งเครียด เจ้าตัวที่โผล่มายามวิกาลดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด“แล้ว… แล้ว…” ชายหนุ่มอึกอัก เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ“ผมจะออกไปดูกับคุณนิคครับ ถ้าคุณอยากไปด้วยก็ตามมา แต่ต้องเหลือคนบางส่วนไว้คอยปกป้องที่นี่บ้าง” เจ้ากร
ตึง ๆ ๆ ๆเสียงฝีเท้าหนักกระทบกับพื้นเร่งจังหวะมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวินาทีที่ยังไม่เห็นว่าสิ่งที่ต้องเผชิญนั้นเป็นตัวอะไร ความหวาดกลัวยิ่งบีบรัดในช่องอกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะขาดอากาศหายใจตึก ตักเฉินเฟิงกำเมล็ดฟักเขียวไว้ในมือแน่น เมื่อไหร่ที่เจ้าสัตว์กลายพันธุ์โผล่หน้าของมันออกมา เขาจะฝังเมล็ดลงดินและเร่งโตมันทันที และถ้าหากเห็นว่าพวกเราเสียเปรียบก็จะควบคุมเถาของมันไปรัดพันศัตรูไว้เพื่อสร้างโอกาสให้คนที่มีพลังต่อสู้สูงอย่างนิโคลัสได้เปิดฉากโจมตีตึง ๆ ๆ321พรึ่บ!ทุกคนพร้อมใจกันสาดไฟไปที่สัตว์กลายพันธุ์ที่โผล่ออกมาจากหัวมุมถนนกี๊ซซ!เสียงแหลมสูงถูกเปล่งออกมาด้วยความตกใจ เจ้าสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดไม่ต่างจากช้างยกอุ้งมือด้านหน้าปิดบังดวงตาของมันที่ถูกแสงเล่นงานอย่างไม่ทันตั้งตัวแร็กคูน!ไม่ผิดแน่ รอยแต้มสีดำรอบดวงตาเหมือนหน้ากากโจร มีหางสีดำสลับขาวคาดเป็นพวง เคยได้ยินว่าแร็กคูนเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่ต้องมีทะเบียนรับรองเหมือนกับสัตว์นำเข้าชนิดอื่น แถมยังเพาะพันธุ์ขายกันในประเทศอีกด้วย ราคาค่าตัวก็ไม่ต่างจากสุนัขพันธุ์แพง ๆ เลยแต่ความยาวตัวเต็มวัยของแร็กคูนจะอยู่ที่ประมาณ 2 ฟุตครึ่งตั้
ไม่ผิดเลยที่ใครหลายคนมักบอกว่าแร็กคูนเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่าแมวและใกล้เคียงกับสุนัข อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่ชอบฉวยโอกาส อย่าได้เผลอวางอาหารไว้ในระยะสายตาของมันเด็ดขาดแล้วจะจัดการกับมันอย่างไร?เฉินเฟิงเองก็ฉุกคิดถึงข้อนี้ได้เช่นกัน มันฉลาดเกินไป การโจมตีเองก็ไม่มีแบบแผนตายตัว อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามความเหมาะสม“ทุกคนหาที่หลบ!!” วิทย์ร้องลั่น เรียกสติให้ทั้งสองคนหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่อเจ้าแร็กคูนเกิดความรำคาญถึงขีดสุด มันทุบทำลายบ้านเรือนในบริเวณใกล้มือ จากนั้นก็นำเศษอิฐยกขึ้นปาใส่พวกเขาและนั่นยิ่งทำให้เข้าถึงตัวของมันยากขึ้นตามไปด้วยตูม ๆ ๆ ๆฝนอิฐถูกปาไปอย่างไม่มีแบบแผน แต่ก็สร้างความโกลาหลเล็ก ๆ ให้กับกลุ่มมนุษย์ได้เป็นอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบเฉินเฟิงไม่เคยออกจากที่ซ่อนตัว ชายหนุ่มจึงใช้จังหวะนี้เร่งโตต้นฟักเขียวให้เจริญเติบโต จากนั้นก็ค่อย ๆ เลื้อยไปตามท้องถนนจนในที่สุดก็มาถึงขาหลังของมันเจ้าสัตว์กลายพันธุ์ตัวยักษ์มัวแต่ให้ความสนใจกับมนุษย์ที่วิ่งหนีตายหลบการโจมตีทำให้ละเลยเสียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของต้นไม้ใบหญ้าในความคิดของมันไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกมัดขาทั้งสองข้างเ
ชื่อเดิมของมันคือ จาคอป เจ้านายของเขาบอกว่าอยากให้เป็นหมาป่าหนุ่มที่องอาจ ก็ไม่รู้ว่าดูภาพยนตร์มากเกินไปหรือเปล่า แต่มันก็ชอบชื่อนั้นมาก เวลาที่มนุษย์จับมันแต่งตัวด้วยชุดน่ารัก ๆ แค่เรียกว่าเจคอปสุดหล่อมันก็พร้อมจะยอมยืนเป็นหุ่นให้แต่โดยดีแถมก่อนที่จะตัวขนาดนี้เจ้านายก็ใจดีพามันออกมาเที่ยวโดยที่ไม่ต้องมีสายจูงให้รู้สึกรำคาญอีก แต่พอวิ่งไปไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็พบว่าเจ้านายหายไปเสียแล้ว...มันพยายามเหลียวหลังมองหลายครั้ง วิ่งกลับไปยังเส้นทางเดิมก็ยังไม่เจอหรือว่ามันจะถูกทิ้ง?“ว่ายังไง ไม่สนใจไปด้วยกันเหรอ ฉันทำอาหารอร่อยนะ” เจ้ากระต่ายต่อรองถ้าไปอยู่ด้วย... แล้วสักวันหนึ่งมนุษย์คนนี้จะหายไปด้วยหรือเปล่างี้ดกลุ่มของวิทย์เห็นท่าทีของแร็กคูนอ่อนลงก็ยิ่งรู้สึกบูชากลุ่มของโจเซฟแทบท่วมหัวโคตรเจ๋ง! ขนาดสัตว์กลายพันธุ์ก็ยังคุยได้ด้วย!ผึง!“!!!” เสียงคล้ายเชือกที่ถูกขึงจนตึงแล้วถูกตัดขาดออกจากกันทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในอากาศ เจ้ากระต่ายและคุณหมีรีบมองหน้ากันโดยทันที แร็กคูนเองก็มองไปทางต้นเสียงที่มันเองก็ได้ยินเช่นกัน“คุณวิทย์ ทางนั้นคุณได้ล้อมลวดหนามเอาไว้ด้วยใช่ไหมครับ” แม้จะมีคำตอบอย
ก่อนหน้านี้เพราะตกใจกับขนาดตัวของมันทำให้ไม่ได้สังเกตรายละเอียดเพราะความมืด มาตอนนี้พอลองมองดูดี ๆ แล้วก็ไม่ได้น่ากลัวมากขนาดนั้น เหมือนแมวอ้วนโดนตัดไข่ตัวหนึ่ง“ช่างเถอะครับ ในเมื่อไม่ยอมก็เผาเลยดีกว่า” เฉินเฟิงปรายตามองอย่างเย็นชา ในเมื่อคุยด้วยสันติไม่ได้ก็เอาเนื้อของมันมาทำเป็นอาหารเลยดีกว่าตัวขนาดนี้น่าจะทำได้หลายเมนู แต่อาจต้องเอาเนื้อสดไปแช่ขิงขูดสักหน่อยจะได้กลบกลิ่นคาว ดูทรงแล้วเนื้อน่าจะกลิ่นแรงพอตัว ทำเนื้อตากแห้งไว้กินตอนออกไปสำรวจด้านนอกก็ไม่เลว จากนั้นก็แบ่งส่วนหนึ่งไว้ให้ครูเมตตาด้วย เด็ก ๆ จะได้โปรตีนจากเนื้อสัตว์บ้างงั้น... ฆ่าเลยดีกว่างี้ดดด~ท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมคนอันตรธานหายไปแทบจะทันเมื่อเจอสายตาเย็นชาสีแดงของเจ้ากระต่าย หลังคอรู้สึกขนลุกขนพอง ทั้งที่มันมีขนาดตัวใหญ่และขนหนานุ่ม ภายใต้สายตาคู่นั้นเหมือนกับว่าเห็นมันตัวเปล่าเปลือยล่อนจ้อนพร้อมจะแล่เนื้อเถือหนังออกอย่างง่ายดาย“เราจะมัวเสียเวลาอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว” เจ้ากระต่ายมองไปทางที่กลุ่มของวิทย์วิ่งฝ่าความมืดไป เขารู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายพอสมควร“เล่นไปกันหมดแบบนั้นแล้วคนที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจะทำยังไงล่ะ” น
“สงสัยเจอกุ๊กกู๋ว่ะ” ชายคนหนึ่งหัวเราะขึ้นเมื่อเสียงเพื่อนร่วมเวรเงียบไป “หรือไม่ใช่วะ” พร้อมกับลางสังหรณ์บางอย่างที่พาให้ขนคอลุกชันฉึบแต่ยังไม่ทันที่จะเปิดปากบอกเล่าความสงสัย ตัวมันก็คล้ายกับถูกกระแสลมวูบหนึ่งพัดผ่านแถวลำคอ พอจะอ้าปากพูดกลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ทั้งความเจ็บที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน แรงดึงรั้งบริเวณคอเสื้อทำให้มันมั่นใจว่าตอนนี้คงถูกผู้บุกรุกเล่นงานแล้วต้องเตือนเพื่อน!ต้องเตือน…ฝ่ามือหนายกขึ้นหมายจะไขว่คว้าใครสักคนท่ามกลางความมืด แต่ก็สายไปเสียแล้ว…ร่างไร้วิญญาณถูกวางลงบนพื้นอย่างเบามือ อย่างที่เจ้าของร่างไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนไม่สามารถลุกขึ้นมาพูดคุยกับเพื่อนได้อีกเป็นครั้งที่สอง“พวกมึงแม่งทำไมเงียบไปวะ” มนุษย์หมูเริ่มเอะใจ ฝ่ามือหยาบกร้านกระชับกระบองเหล็กในมือพลางกวาดมันไปมาท่ามกลางความมืด เกิดเสียงขวับ ๆ จากการหวดลม“ช่วย...! อ่อก!” มนุษย์หมูเตรียมจะตะโกนเรียกเพื่อนที่อยู่เวรไม่ไกลกันให้มาตรวจสอบความผิดปกตินี้ แต่ทันทีที่อ้าปากก็ต้องตกตะลึงอ้าปากค้างเมื่อตนเองกลืนน้ำเข้าไปอึกใหญ่ทั้งทางปากและจมูก “อุก... อ่อก”โจเซฟฉวยโอกาสที่มนุษย์หมูกำลังตกใจกับลูกบอ
“ดีที่เป็นแค่คนชั่วธรรมดาด้วย” โจเซฟมองออกว่าคนพวกนี้แต่เดิมถ้าไม่ใช่พวกอันธพาลหน้าปากซอย ก็น่าจะเป็นคนทั่วไปที่เบนเข็มมาทำชั่ว ถ้ามีใครสักคนในนี้เป็นทหารหรือตำรวจ การฆ่าคนเหล่านี้อาจไม่ง่ายดายนัก“ข้างหน้าน่าจะเป็นคลังเก็บเสบียง” หญิงสาวสัมผัสได้ว่าบริเวณนั้นมีเวรยามมากกว่าจุดที่ผ่านมาเกือบเท่าตัว และมีกลิ่นเย็น ๆ ของเครื่องปรับอากาศลอยมาปะทะจมูกเป็นระยะ“กี่คน”“คร่าว ๆ น่าจะประมาณ 7 คน” มีคนอู้หลับ 2 หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนที่รอเข้ากะในเวรยามช่วงต่อไป“ห่างจากห้องเก็บสินค้าที่ได้ยินเสียงร้องไห้มากไหม”“ไม่ไกลกันเลยค่ะ” จะบอกว่าอยู่ข้างกันเลยก็ได้“ใช้คนเยอะเฝ้าสองอย่างเลยสินะ” โจเซฟกุมคางครุ่นคิด “มีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบ้างหรือยัง”“เท่าที่ฟังจากเสียงฝีเท้ากับเสียงพูดคุยประปราย เหมือนจะยังไม่รู้ว่าเราบุกเข้ามา” หงส์กระซิบเสียงเบา“งั้นก็ดี” ชายหนุ่มมองหลอดไฟพลังงานแสงอาทิตย์ตามจุดสำคัญต่าง ๆนับว่าหัวหน้าค่ายแห่งนี้ใช้จ่ายกระแสไฟฟ้าที่หาได้ยากอย่างฟุ่มเฟือยมาก นอกจากจะไม่เก็บสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นแล้ว ในตอนกลางคืนก็ยังคงเปิดไฟไว้โดยไม่คิดเลยว่ามันจะเรียกอันตรายมาหาพรึบ!“เฮ้ย
ผู้บุกรุกยามวิกาลแบ่งกำลังพลออกเป็น 2 ส่วน ตุ่นกับสองสาวสมาชิกใหม่รับหน้าที่ก่อกวนพร้อมกับสร้างความเสียหายให้มากที่สุด เอาให้พวกมันต้องใช้เวลาวุ่นวายอยู่กับการฟื้นฟูแทนที่จะมาคิดเรื่องใต้สะดือโจเซฟกับหงส์จะเป็นคนออกไปตามหาว่าพวกมันนำหญิงสาวไปขังรวมกันไว้ที่ไหน หากมีช่องทางช่วยเหลือได้ในทันทีก็จะยื่นมือเข้าช่วยที่ต้องแยกสองสามีภรรยาออกจากกันเพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีประสาทการฟังที่ยอดเยี่ยม หากเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้น โจเซฟสามารถใช้เสียงเพื่อให้คนที่อยู่ใกล้และไกลถอยออกได้ทันท่วงทีความปลอดภัยของพวกเขาต้องมาก่อนชายหนุ่มรู้ว่าการบุกเข้ามาที่นี่ค่อนข้างเสี่ยง นอกจากพวกเขาสามคนแล้ว ดาริณีและพิมพาล้วนเป็นมือใหม่ ไม่เคยประสบพบเจอกับเรื่องราวโหดร้ายทารุณประเภทนี้เลยสักครั้ง ตอนแรกเขาอยากให้ทั้งคู่รออยู่ที่จุดนัดพบมากกว่า แต่พวกเธอปฏิเสธและบอกกลับมาว่า‘ถ้าไม่ไปก็จะไม่ได้ประสบการณ์ค่ะ’ พิมพายืนยันหนักแน่น‘ถ้าเกิดเรื่องกับพวกเรา ไม่ต้องกังวลนะคะ เป็นฉันที่อยากทำเอง’ ดาริณีสบตาชายหนุ่ม ในแววตาไม่มีความหวาดกลัวอยู่เลยสักเสี้ยวเดียว‘แต่ถ้าพวกคุณเป็นอะไรไป ยังมีเด็ก ๆ ที่เส
“ไม่มีสายเสริมกำลังกายบ้างเลยเหรอ?” โจเซฟ“ไม่แน่ใจครับ อาจจะมีหรืออาจจะไม่มี” พลังพิเศษสายกำลังกายถ้าไม่แสดงออกมาย่อมไม่มีใครสังเกตเห็นได้ ดูอย่างเด็กชายดลสิ ถ้าไม่วิ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเด็กนั่นวิ่งเร็วแค่ไหน“ที่รักพอจะจำหน้าคนที่มีตำแหน่งสูง ๆ ในค่ายได้ไหม" หงส์ถาม“ไม่แน่ใจนะ เวลามันน้อยเกินไป”“น่าเสียดาย” ถ้าฆ่าพวกมันให้หมดได้ก็น่าจะแก้ปัญหาที่ตรงเหตุที่สุดแล้วแท้ ๆ“พวกตัวหัวหน้ามักจะมีท่าทีแตกต่างจากคนปกติทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นฆ่าได้ฆ่า” โจเซฟยิ้มเหี้ยม เดนมนุษย์อย่างนี้จะเก็บไว้ทำไมให้รกโลก“รับบัญชาค่ะ” หงส์คลี่ยิ้มกว้าง…ได้เวลานองเลือดแล้วสิห้างสรรพสินค้าที่เป็นประเด็นแห่งนี้ถูกแบ่งสันปันส่วนตามระดับความสำคัญของคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ คนที่เป็นแค่กรรมกรหรือเบ๊จิปาถะไม่มีพลังพิเศษจะอาศัยอยู่รอบนอก ไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้หากไม่มีกิจธุระที่จำเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ธรรมดาอยู่ชั้นใต้ดิน ชั้นที่หนึ่งจะเป็นห้องอาหารและส่วนสันทนาการต่าง ๆ แล้วแต่ใครจะทำอะไร ชั้นสองเป็นชั้นสินค้าแบรนด์เนมจึงให้กลุ่มผู้มีพลังพิเศษหรือมนุษย์กลายพันธุ์อยู่อาศัย ชั้นที่สามเป็นชั้นสำหรับเ
โจเซฟเลือกบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะที่หงส์กับตุ่นยืนยันว่าทั้งคู่ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในค่ายแล้วนั่นหมายความว่าคนในค่ายเอง ต่อให้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ก็จะไม่สามารถได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของพวกเขาด้วยเช่นกัน เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ที่สามารถเลื่อนระดับพลังไปถึงระดับ 2 แล้วเหมือนกับสมาชิกในทีมของโจเซฟทั้งสามคนอีกทั้งยังต้องเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เป็นสัตว์ที่มีประสาทการรับฟังดีมากจึงจะสามารถรับเสียงได้ไกลเหมือนคู่รักหมีกระต่ายในระหว่างที่หาบ้านหลังหนึ่งเพื่อวางแผนให้ความช่วยเหลือเสียงปริศนาในค่ายแห่งนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ ตุ่นได้ใช้ทักษะย่องเบา... เอ๊ย! ทักษะการสอดแนมที่ได้รับการฝึกฝนจากกองทัพ แยกตัวออกไปหาทางแทรกซึมเข้าไปในค่ายห้างสรรพสินค้า รับรองว่าเงียบกริบ ถ้าไม่ได้หูผีหรือมีพรายกระซิบ รับรองว่าไปมาไร้ร่องรอยโจเซฟสอนการเก็บซ่อนอาวุธตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้กับมือใหม่อย่างดาริณีและพิมพา ในช่วงที่รอให้ตุ่นรายงานผลการสอดแนม“พยายามอย่าเอาอะไรไปเยอะ มีแค่ของที่จำเป็นต่อการต่อสู้ก็พอ อย่าลืมหาท
“ดูเหมือนจะมีการแจกจ่ายงานด้วย” เด็กสาวยิ้มยินดี จะให้ล้างจานหรือกวาดถนนก็ทำได้ทั้งนั้น ขอแค่สามารถมีชีวิตต่อไปในแต่ละวันก็พอกลุ่มผู้รอดชีวิตบางคนก็มีชีวิตที่ดีขึ้นหลังได้ออกมาอยู่รวมกันในค่าย ไม่ต้องคอยหวาดระแวงในเวลากลางคืน ขอแค่ขยันอดทนก็ทำงานแลกข้าวกินได้ 3 มื้อ ไม่ต้องอดอยาก แต่บางคนที่หลงเข้าไปในค่ายที่มีการจัดการที่ค่อนข้างแย่ อีกทั้งยังผูกขาดอาหารและน้ำไว้ที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ใครที่เผลอหลงเข้าไปต่อให้อยากหนีก็มีแต่ต้องทิ้งชีวิตแล้วไปเกิดใหม่อย่างที่โจเซฟและกลุ่มจะได้เจอหลังจากนี้...“จะเข้าไปที่ห้างเหรอ เสียใจด้วยนะ ถิ่นนี้พี่จอง” ก่อนถึงห้างสรรพสินค้า ตุ่นและหงส์รับรู้ได้ว่ามีคนจับจองที่แห่งนั้นเป็นฐานที่มั่นแล้ว เพราะมีทั้งเสียงผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา และมีเสียงการฆ่าซอมบี้ด้วยเช่นกัน โจเซฟตัดสินใจจะแสดงเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิตที่มาหาที่พึ่งเพื่อดูว่าค่ายขนาดเล็กนี้มีความเป็นอยู่อย่างไร ถ้าหากเจรจากันได้ก็จะลองพูดคุยดู แต่สีหน้าและท่าทางของหงส์ก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ“เปล่า พวกเราแค่ผ่านมา” โจเซฟมองชายที่สักลายไว้ทั่วตัว หมอนั่นถือขวานขนาดใหญ่ไว้ ตามร่างกายมีเกล็ดขึ้นประปราย คล้ายกั
กลุ่มค้นหาสิ่งของจำเป็นทำแบบนี้อยู่หลายวัน บางสถานที่ก็เก็บกวาดมาได้เยอะ และบางทีก็เรียกได้ว่ามาเสียเที่ยว จนกระทั่ง 2 สัปดาห์ต่อมาพวกเขาก็ได้พบกับกลุ่มผู้รอดชีวิตกลุ่มใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าตัวเมือง“พวกคุณก็จะเข้าตัวเมืองเหมือนกันเหรอ” ชายชราคนหนึ่งถาม เขาถูกลูกหลานคะยั้นคะยอให้ออกจากบ้านหลังเก่าที่ใช้ซุกหัวนอนมาหลายชั่วอายุคน เหตุผลเพราะละแวกที่อยู่อาศัยไม่สามารถหาอาหารได้อีกแล้ว ประจวบเหมาะกับมีคนออกมาทำภารกิจและบอกว่าในตัวเมืองมีค่ายพิเศษที่นักการเมืองในท้องถิ่นเป็นคนจัดตั้งขึ้น พวกเขาจึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปเข้าร่วมด้วยเดิมทีพวกเขาเป็นครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ในโฉนดที่ดินเดียวกัน เพราะเป็นญาติพี่น้องที่บรรพบุรุษแบ่งสันปันส่วนที่ทางให้แต่ละคนปลูกบ้านและทำมาหากินร่วมกัน เมื่อถึงเวลาฉุกเฉินจึงรวมตัวกันช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขามีตั้งแต่คนแก่อายุ 60 ปีขึ้นไป และเด็กน้อยไม่ประสาลืมตาดูโลกไม่ถึงหนึ่งขวบปีดี เมื่อนับรวมกันแล้วก็มีมากกว่า 10 ชีวิตพวกเขาสามารถประคับประคองจนผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ มาได้ แม้กระทั่งฝนตกและมีผู้ติดเชื้อจำนวนมหาศาลมาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านก็ไม่หวั่
…ภายนอกอาคารนั้นเงียบสงัดไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวเลย นั่นหมายความว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว มีเพียงตัวอาคารที่ถูกธรรมชาติค่อย ๆ คืบคลานเข้ามากลืนกินรอบนอกอาคารเต็มไปด้วยวัชพืชหลากหลายพันธุ์ พวกมันงอกแทรกขึ้นมาตามร่องอิฐตัวหนอนที่ถูกนำมาปูเป็นทางเดิน โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน หากเปลี่ยนเป็นตอนกลางคืนคงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังออกไปล่าท้าสิ่งลี้ลับจนตุ่นขวัญผวาเกาะคนรักไม่ปล่อยแน่ ๆครืด…เสียงประตูฝืดเฝื่อนถูกเลื่อนออกด้วยสองมือของโจเซฟ ด้านบนมีกล่องเซนเซอร์ที่ในอดีตเคยจับการเคลื่อนไหวและเปิดประตูบานนี้อัตโนมัติ เพียงแต่ในเวลานี้ไม่มีกระแสไฟฟ้าที่เป็นแหล่งพลังงานให้มันอีกแล้ว ดังนั้นใครที่ต้องการเข้ามาภายในสำนักงานก็จำเป็นต้องลงแรงเปิดด้วยตัวเอง“สวมหน้ากากกันแก๊สไว้ก่อน” โจเซฟเห็นฝุ่นด้านในฟุ้งตลบก็ออกคำสั่งต่อทันทีดาริณีกับพิมพาได้รับหน้ากากนี้มาตั้งแต่วันที่ออกเดินทางวันแรก พวกเธอหยิบมันขึ้นมาสวมใส่อย่างว่าง่าย นอกจากฝุ่นที่ยังลอยเอื่อยอยู่ในอากาศ สภาพภายในอาคารก็บ่งบอกถึงการได้รับความเสียหายเช่นกัน ไม่ว่าจะโต๊ะ เก้าอี้ หรือชั้นวางเอกสารต่างถูกตั้งวางไว้ตามมุมหน้าต่าง
พอถึงระยะที่กำหนด ทุกคนก็ลงจากจักรยานแล้วใช้วิธีการเดินเท้าไปจนถึงจุดที่มีซอมบี้ระดับหนึ่งเดินโขยกเขยกอยู่กลางถนน พวกมันเดินจับกลุ่มกัน ลักษณะการแต่งกายคล้ายคลึงกับเจ้าหน้าที่รัฐจากสำนักงานที่ไหนสักแห่งเพราะอยู่ในชุดสีกรมท่าเหมือนกันทั้งหมด ตามตัวมีรอยแผลเหวอะหวะจากการกัดฉีก“ไม่มีซอมบี้วิวัฒนาการ” หงส์กะจากสายตาบวกกับลางสังหรณ์ของตน “มีแต่ระดับหนึ่งก็จริง แต่จะประมาทไม่ได้นะคะ” พร้อมกับเอ่ยเตือน“รับทราบค่ะ” พิมพามองซอมบี้ที่กำลังมุ่งหน้ามาทางตนก็กลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง เรียกขวัญและกำลังใจให้ตนเองก่อนลงมือ“งั้นลุยเลยนะคะ” ดาริณีทุบกำปั้นปะทะฝ่ามือของตนเอง เกิดเสียงแน่นหนักชวนให้รู้สึกว่าต้องเจ็บตัวแน่หากโดนหญิงสาวเหวี่ยงหมัดใส่สักครั้ง“ลุยเลยครับ” สิ้นเสียงโจเซฟ พิมพาก็วิ่งขึ้นหน้า เหวี่ยงมีดยาวฟันเข้าที่แขนของซอมบี้ที่ตรงมายังเธอก่อนเป็นตัวแรก จากนั้นก็มุดลงต่ำ ให้ดาริณีที่วิ่งมาจากด้านหลังเหวี่ยงขวานใส่ลำคอของมันทันทีตุบการประสานงานของทั้งคู่เป็นไปอย่างไหลลื่น ความดีความชอบนี้ต้องยกให้กับครูฝึกสุดเข้มงวดอย่างโจเซฟที่พยายามให้หญิงสาวทั้งสองฝึกการต่อสู้มาก่อนจากบนภูเขา ทำให้ร่างกา