เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเด็กสาวพบเจอและได้ช่วยชีวิตแมวตัวหนึ่งเอาไว้ แต่ทว่าแมวตัวนั้นกลับไม่ใช่แมวธรรมดานี่น่ะสิ…ความลับนี้เด็กสาวเลือกที่จะเก็บซ่อนเอาไว้ การแอบพบเจอกันอย่างลับๆได้เริ่มต้นขึ้น ภายใต้แสงหมู่ดาวก็มีเพียงแค่เราสองอีกเช่นเคย แต่ว่าความลับนี้จะเก็บไว้ได้นานแค่ไหนกันนะ?
ดูเพิ่มเติมสายลมเอื่อยพัดพลิ้ว ดอกหญ้าโดยรอบเอียงลู่ไปตามลมหยอกเหย้ากับประกายแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ตกกระทบบนยอด ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของสวนสมุนไพรเล็กๆ ร่างๆหนึ่งกำลังง่วนกับการทำงาน มือบางรวบผมสีเงินเส้นเล็กละเอียดยาวประบ่าของตนที่ปลิวกระจายไปตามแรงลมขึ้นมาทัดไว้ที่หู ก่อนจะลงมือเด็ดยอดสมุนไพรที่พึ่งแตกกิ่งใหม่ออกมาจากต้นลงไปในตะกร้า
“คุณหนูคะ ได้เวลาทานข้าวเช้าแล้วนะคะ” เสียงเรียกดังไกลๆมาจากทางประตูหลังบ้าน หญิงสาวถึงยอมชะโงกหน้าออกไปจากแนวรั้วเตี้ยเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธออยู่ตรงไหน
“อันนี้แปลงสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวเอาอันที่เด็ดมาไปแช่น้ำแล้วจะตามไปนะ” หญิงสาวก้มหน้าทำงานไปพูดไปไม่ปล่อยให้มือนิ่งเฉย อีกฝ่ายที่คุยด้วยคือหญิงสาวอายุไม่มากไปกว่าเธอสักเท่าไหร่ ผู้มาใหม่ปัดๆมือกับผ้ากันเปื้อนที่ผูกติดกับกระโปรงก่อนจะลงมือช่วยอีกแรง
“ให้ซีล่าเอาไปแช่น้ำให้แทนดีไหมคะ คุณหนูจะได้ไปล้างมือเตรียมทานอาหารเลย ครั้งที่แล้วคุณหนูก็พูดอย่างนี้แต่กว่าจะไป ท่านบารอนก็ทานเสร็จแล้ว” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘คุณหนู’ ยิ้มแห้งๆ คราวนี้ถ้าเธอเถลไถลอีกท่านพ่อกับซีล่าคงไม่ยอมแน่ๆ
“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ดีไหม พวกเรามาช่วยกันจะได้เสร็จไวๆ ซีล่าเองก็คงกำลังหิวเหมือนกันใช่ไหม” หญิงรับใช้นามว่าซีล่ายิ้มเขินๆอย่างไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ เธอซักผ้าออกแรงทำงานตั้งแต่เช้ามืดและตอนนี้กำลังหิวเป็นที่สุด “ดีมาก เอาล่ะ งั้นเจ้าช่วยยกตะกร้าตรงโน้นตามเข้าไปในโรงเรือนทีนะ”
เธอบอกก่อนจะเด็ดกิ่งสุดท้ายเสร็จแล้วยกตะกร้าที่พึ่งใส่สมุนไพรลงไปขึ้นมา ก้าวยาวๆไปทางโรงเรือนไม้ที่ว่านั่น หญิงสาวผลักประตูเข้าไป วางตะกร้าลงบนโต๊ะไม้ยาว สองตากวาดตามองรอบๆเพื่อหาถังใส่น้ำก่อนที่คิ้วเรียวงามจะขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าของในห้องหล่นกระจายเต็มพื้น เมื่อคืนตอนเธอออกมาทุกอย่างปกติเรียบร้อยดีแต่ทำไม...
เด็กสาวตรงไปที่หน้าต่างบานหนึ่งที่จำได้อย่างแม่นยำว่าปิดไว้เองกับมือเมื่อคืน บัดนี้มันกลับเปิดอ้าออกไปหนึ่งด้านแถมยังเอียงจนเกือบจะหลุดออกจากกรอบหน้าต่างอยู่แล้ว มือบางไล้ไปตามขอบหน้าต่าง รอยเปื้อนสีแดงคล้ำที่ติดอยู่เป็นแถบเปื้อนติดนิ้วกลับมา กลิ่นสนิมเหล็กตีขึ้นมาแตะจมูกจางๆ
เลือด?
ร่อยรอยสีคล้ำหยดเป็นทางไปจนถึงกองกล่องลังที่ล้มกระจายบนพื้น ยิ่งเดินตามไปจมูกก็ยิ่งได้กลิ่นคาวของเลือดจนเริ่มรู้สึกเวียนหัว แม้จะลังเลอยู่สักพักแต่ก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปดันกล่องกระดาษออกเพื่อเผยให้เห็นถึงสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ข้างใต้
ก้อนขนที่แห้งกรังไปด้วยเลือดปรากฏขึ้นเป็นสิ่งแรก เมื่อมองดูให้ดีๆแล้วจึงพบว่ามันเป็นแมวสีส้มลายสลิดที่กำลังบาดเจ็บตัวหนึ่ง มันนอนหายใจแผ่วเบาจนน่ากลัวว่าจะไม่รอด เมือเห็นดังนั้น หญิงสาวจึงทิ้งความสงสัยทั้งหมดไป รีบหยิบผ้าสะอาดในห้องค่อยๆห่อมันไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นมา
“ตายแล้ว คุณหนูคาเรนทำอะไรอยู่คะ รีบวางมันลงเถอะค่ะ” ซีล่าที่ตามเข้ามาทีหลังร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นเจ้านายของเธออุ้มห่อผ้าเปื้อนเลือดไว้แนบอก คาเรนส่ายหน้าเบาๆก่อนจะส่งเสียงปราม
“เบาเสียงของเจ้าลงหน่อย เห็นไหมมันก็แค่แมว” คาเรนคลายผ้าให้ดู ซีล่าทำหน้าเหยเกพร้อมทั้งย่นจมูก ที่เมืองบาโทรอน ณ อาณาจักรอารอนแห่งนี้มีความเชื่อเก่าแก่ที่ว่าแมวเป็นสัญลักษณ์ของปิศาจที่น่ากลัว เป็นลูกน้องของซาตาน และจะทำหน้าที่ขนย้ายวิญญาณคนตายไปสู่นรก
“แต่มันตายแล้วนะคะ วางมันลงเถอะเดี๋ยวชุดจะเลอะเอา”
“ไม่ มันยังไม่ตาย เจ้าดูซิ” ซีล่ามองมันแล้วส่ายหน้า ดูยังไงมันก็ไม่น่าจะรอด
“สภาพแย่มากเลยนะคะ ต่อให้ช่วยไว้ ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่รอดจนถึงพรุ่งนี้ไหม”
“ก็ต้องลองดูไงล่ะ ข้าคงรู้สึกผิดถ้าปล่อยให้มันตายไปจริงๆ” คาเรนยิ้ม เธอวางห่อผ้าลงบนโต๊ะไม้ ไม่ลืมสำทับงานที่ทำค้างไว้เมื่อเห็นซีล่ามัวแต่ยืนอึ้ง “ฝากเจ้าเอาสมุนไพรพวกนี้ไปแช่น้ำต่อทีนะ โทษที”
“คุณหนูจะรักษามันจริงๆหรือคะ” ซีล่าตาโต มองหญิงสาวเดินไปเปิดตู้นู้น หยิบของในตู้นี้ออกมาผสมในหม้อบดยาของเธอ แม้จะรู้ว่าคุณหนูของเธอนั้นเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรแค่ไหน แต่ที่ผ่านมาก็เป็นการใช้สมุนไพรรักษาแค่กับคนเท่านั้น แถมในเมืองบาโทรอนแห่งนี้ตั้งแต่เกิดมาเธอก็ยังไม่เคยเห็นใครรักษาสัตว์เหมือนกับที่รักษากับคนมาก่อน คาเรนยิ้ม
“แน่นอน ข้ามั่นใจว่าในโรงเรือนสมุนไพรเล็กๆแห่งนี้ มีสมุนไพรเพียงพอที่จะรักษามัน”
“ไม่น่าเชื่อ”
คาเรนอดพึมพำออกมาเบาๆไม่ได้หลังจากที่ได้มองดูมัน เจ้าแมวส้มตัวผอมที่บัดนี้ถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลทั้งตัวกำลังนอนแผ่อยู่บนเบาะเล็กๆในห้องนอนของเธอ เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่มันยังมีชีวิตรอดอยู่ด้วยสมุนไพรห้ามเลือดและยาสมานแผลเท่าที่เธอมีอยู่ในโรงเรือน เธอคอยดูแลมันอยู่ตลอดสองวันที่ผ่านมาแม้ไม่มีทีท่าว่ามันจะตื่นขึ้นมาเลยก็ตาม แต่สภาพโดยรวมแล้วก็ดูดีขึ้นจากวันแรกที่เจออยู่มากล่ะนะ
เรื่องความเชื่อและตำนานเมืองเก่าแก่ที่เล่าถึงแมวนั้น เธอไม่ได้ให้ความสนใจหรือเชื่อมากมายนักแม้จะได้ยินจนชินหูมาตั้งแต่เด็กแล้วก็ตามที กลับมองว่าพวกมันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่น่าสงสารเสียด้วยซ้ำ
หญิงสาวดึงผ้าผืนเล็กขึ้นมาห่มให้มันก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง หนังสือหลายเล่มวางซ้อนกันเป็นชั้นๆแต่มีอยู่เล่มหนึ่งที่เปิดค้างเอาไว้ ดอกไม้สีแดงสดที่คั่นหน้ากระดาษไว้เป็นดอกไม้ชนิดเดียวกันกับที่ปรากฏในหนังสือหน้าที่กำลังเปิดอยู่
ดอกทับทิม
ดอกไม้ที่มีสรรพคุณหลากหลายหนึ่งในนั้นคือช่วยห้ามเลือดและฆ่าเชื้อ เธอลองเอามันมาบดผสมกับตัวยาอื่นๆอีก 3-4 ชนิด แม้ตอนแรกจะไม่มั่นใจว่าจะได้ผลกับสัตว์เหมือนกับคนไหม แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาดีไม่น้อย เพราะในอาณาจักรอารอนแห่งนี้แม้ความรู้และวิทยาการทางด้านการแพทย์จะมีความเจริญกว่าอาณาจักรอื่นๆโดยรอบอยู่ไม่น้อยแต่ก็พัฒนาแค่ในคนเท่านั้น นอกจากม้ากับลาที่ใช้เป็นพาหนะแล้วผู้คนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจกับชีวิตของสัตว์อื่นๆนัก เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อการปศุสัตว์ มีเพียงบ้านที่มีฐานะเท่านั้นที่จะนิยมเลี้ยงสัตว์อื่นๆไว้ดูเล่น
ลมหนาวพัดผ่าน หอบเอาน้ำค้างยามค่ำมาสัมผัสผิวกายให้เย็นยะเยือก คาเรนเอื้อมมือไปดึงปิดหน้าต่างก่อนจะเดินกลับมาที่เตียง ดับตะเกียงที่หัวโต๊ะแล้วล้มตัวลงนอน ดวงตาสีมรกตมองผ่านความมืดไปยังเบาะเล็กๆตรงมุมห้อง นึกหวังให้หนึ่งชีวิตที่เพียรรักษาไว้สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้งในเร็วๆวัน
ฝันดีนะ...เจ้าแมวน้อย
คาเรนนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง สีหน้าของเธอดูเหนื่อยล้า เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าและตามตัว มีไคล์กำลังช่วยเอาผ้าซับเหงื่อให้อยู่ข้างเตียง ในห้องยังมีหญิงวัยกลางคนอยู่อีกคนหนึ่งกำลังอุ้มทารกแรกเกิดที่ร้องให้จนเงียบเสียงไปแล้วล้างตัวในอ่างน้ำไม้ “ดีใจด้วยนะ พวกเจ้าได้ลูกสาว” หญิงวัยกลางคนบอกขณะอุ้มทารกน้อยออกมาจากอ่างแล้วซับตัวให้ด้วยผ้าสะอาด ไคล์และคาเรนมองหน้ากันด้วยสีหน้าดีใจ “ได้ยินไหมคาเรน พวกเราได้ลูกสาวแหละ” ไคล์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าได้ยินแล้ว” คาเรนยิ้ม “ท้องแรกสินะ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นคนทำคลอดให้ถาม “ครับ ขอบคุณที่มาช่วยทำคลอดให้ถึงคฤหาสน์นะครับ เพราะคาเรนปวดท้องคลอดกะทันหันมากเลยพาไปโรงพยาบาลในเมืองไม่ทัน คนแรกที่พอจะนึกถึงได้ก็มีแต่คุณป้าที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงกันเท่านั้น” ไคล์ตอบและถือโอกาสนี้พูดขอบคุณหญิงวัยกลางคนไปด้วยเลย “ไม่เป็นไร ข้ายินดีช่วยเหลืออยู่แล้ว อีกอย่างพวกเราก็ทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก เอ้านี่” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาใกล้เตียง
“โอ้ยหนาว” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นพลางทำท่าขนลุก ลมหายใจที่พ่นออกมาจากทางจมูกและปากกลายเป็นไอขาวๆลอยขึ้นไปในอากาศ อากาศเย็นจัด หิมะกำลังจะตกลงมาในไม่ช้า มือบางถูกเข้าหากันแล้วเป่าปากใส่ให้ลมหายใจอุ่นๆพอที่จะคลายความหนาวไปได้บ้าง เธอมีผมตรงยาวสีส้ม ดวงตาสีเขียวมรกต และมีรูปลักษณ์ราวอายุ 19-20 ปี “ถ้าไม่ติดว่ามีธุระในเมืองก็ไม่อยากออกจากบ้านเลยนะ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเดินผ่านตรอกเล็กๆ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่กลับเข้าบ้านไปขลุกตัวอยู่ในเตียงอุ่นๆกันหมดแล้ว บนถนนจึงเงียบเหงาไม่ค่อยมีผู้คน ในระหว่างที่เธอเดินไปเรื่อยๆหางตาเธอก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่มุมหนึ่งของถนน พอมองดูให้ดีก็เห็นเป็นร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆขาดๆ ตอนแรกเธอตั้งใจจะเดินผ่านไปอยู่แล้วแต่อะไรบ้างอย่างร้องเรียกให้เธอเดินกลับมาอีกครั้งแล้วไปหยุดยืนตรงหน้าเด็กชายคนนั้น เด็กน้อยนอนสั่นด้วยความหนาว ใบหน้ามอมแมมดูแดงก่ำเหมือนเป็นไข้ หญิงสาวลองเอามือไปแตะที่หน้าผากของเด็กชายดู ตัวร้อนจี๋เลย เป็นไข้จริงๆด้วย หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้ว
“นี่คือไคล์ เป็นน้องชายต่างแม่ของเจ้า ฝากดูแลเขาแทนข้าหน่อยนะ” นั่นคือประโยคที่ท่านพ่อพูดกับเขาในวันหนึ่งพลางส่งลูกแมวสีส้มลายสลิดตัวน้อยมาให้ ไครัสในวัยเด็กยื่นมือออกไปรับมาอุ้มไว้ เขาเป็นปีศาจที่เกิดมามีพลังสูงตั้งแต่เด็กจึงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังปีศาจในตัวลูกแมวน้อยนี่ได้ทันที “ท่านพ่อ ข้าจะต้องทำยังไงบ้าง” ไครัสในรูปลักษณ์เหมือนเด็กชาวมนุษย์อายุ 11 ขวบเงยหน้าถามผู้เป็นพ่อ เขามีพี่น้องต่างแม่หลายคนแต่ด้วยความที่ที่ผ่านมาเขาเป็นลูกชายคนเล็กของปราสาทจอมมารจึงเคยแต่ถูกตามเอาใจจากคนรอบตัว และด้วยความที่ถูกฝึกให้เป็นนักรบมาอย่างเดียวตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าควรจะดูแลกับน้องชายต่างแม่ร่างจิ๋วนี่อย่างไรดี “ดูแลและเป็นเพื่อนให้เขาในช่วงระหว่างที่ข้าจัดการกับกลุ่มกบฏ ฝึกเขาให้กลายร่างเป็นคนให้ได้และคอยสอนสิ่งต่างๆที่เจ้ารู้ให้แก่เขา ส่วนเรื่องอาหารและน้ำพวกหญิงรับใช้จะเป็นผู้จัดการเอง” ท่านพ่อบอกแบบนั้นแล้วหลังจากนั้นก็ยุ่งอยู่กับการจัดการกับกลุ่มกบฏจนไม่มีเวลามาดูเขาและน้องชายต่างแม่ในร่างแมวตัวนี้อีกเลย ส่วนท่านพี่คนอื่นๆไม่ออกไปช่วยท่านพ่อรบก
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่สภาพและบรรยากาศภายในปราสาทราชาปีศาจแห่งนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไคล์เดินบนโถงทางเดินที่ทอดยาวไปยังเบื้องหน้า เขาไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยจนกระทั่งวันนี้ เวลาก็น่าจะผ่านมาซักร้อยปีเศษๆเห็นจะได้นับตั้งแต่เขามาพาคาเรนกลับไปยังโลกมนุษย์ตอนราชาปีศาจสาปเมืองบาโทรอน ในมือไคล์มีสายใยพลังสีแดงผูกโยงไปยังดวงวิญญาณมนุษย์ชายที่อยู่ด้านหลัง ใช่แล้ว วันนี้เขากลับมาทำตามสัญญาที่เคยได้ให้ไว้ สัญญาที่ว่าจะนำวิญญาณมนุษย์มามอบให้กับซาตาลตลอดชั่วชีวิตของเขา ไคล์เดินเรื่อยๆโดยมีดวงวิญญาณมนุษย์ชายลอยตามหลังมาจนกระทั่งถึงประตูทางเข้าปราสาทชั้นในเขาก็ยื่นป้ายทองคำสลักตราของราชาปีศาจขึ้นมาแสดงให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูดู ทหารยามรับไปดูสักครู่หนึ่งก่อนจะยื่นส่งคืนกลับมาให้ “เชิญขอรับท่านไคล์ ตอนนี้ท่านราชาปีศาจน่าจะอยู่ที่ห้องทรงงาน จากนี้ไปข้าจะนำทางท่านไปต่อเอง” นายทหารบอก ดูเหมือนทหารยามทุกคนจะรู้จักป้ายทองคำนี้กันเป็นอย่างดีและรู้จักชื่อของเขาด้วย แค่เขาแสดงมันให้ดู ทุกคนก็ยอมเปิดทางให้อย่างง่ายดายและต้อนรับขับสู่เป็นอย่างดี
“จะยกเจ้านี่เหรอ มาเดี๋ยวข้าช่วย” เสียงดังมาจากทางด้านหลัง อีวานที่กำลังจะยกหม้อต้มสมุนไพรใบโตออกจากเตาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าซาร่าเดินเข้ามาช่วยจับที่หูหิ้วด้านหนึ่งไว้ “จะยกไปไหนเหรอ”“จะเอาไปตั้งเอาไว้ให้เย็นตรงโต๊ะนู้น” อีวานชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้อง“อ๋อ ได้เลย” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ อีวานจับที่หูหิ้วอีกด้านที่เหลือแล้วนับให้สัญญาณ“งั้นยกพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง สาม เอ้า ฮึบ” หม้อใบโตที่ใส่น้ำต้มสมุนไพรไว้ค่อนหม้อถูกยกลอยขึ้นอย่างง่ายดายเมื่อมีคนยกพร้อมกันสองคน อีวานกับซาร่าช่วยกันยกหม้อไปวางที่โต๊ะตัวที่อีวานชี้บอก“ขอบใจ” อีวานพูดขึ้นเมื่อหม้อถูกวางลงบนโต๊ะเรียบร้อยดีแล้ว“ไม่เป็นไร” แล้วซาร่าก็เดินไปทำงานอย่างอื่นต่อ อีวานมองตามหลังของเธอไป นับตั้งแต่หายดีจากโรคระบาดประหลาดเขาก็พึ่งจะกลับมาทำงานได้ไม่นาน เขารู้สึกว่าซาร่าไม่ได้เขม่นเขาเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว แถมบางทีถ้าเธอผ่านมาเห็นในจังหวะที่เขาต้องทำอะไรหนักๆคนเดียว เธอก็จะอาสาเข้ามาช่วยเขาอยู่บ่อยๆ อ้อ จำได้แล้ว เธอเริ่มกลับมาคุยกับเขาตอนช่วงที่ต้องพลัดเวรกันไปช่วยพวกรุ่นพี่ดูแลผู้ป่วยที่ป่วยจากโร
ประตูมิติที่ไคล์สร้างเปิดขึ้นภายในห้องพักห้องเดิมที่คาเรนเคยนอนอยู่ก่อนหน้านี้ก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังโลกปีศาจ ไคล์อุ้มคาเรนที่หลับไม่ได้สติเดินออกมาจากประตู พอเดินพ้นออกมาประตูมิติก็ปิดตัวลงและหายไป ไคล์วางร่างของคาเรนลงบนเตียง ใช้มือปัดปอยผมที่ตกลงมาบดบังใบหน้าขาวนวลออกแล้วจ้องมองใบหน้ายามหลับของเธอ “เรากลับมาที่โลกมนุษย์แล้วนะคาเรน คำสาปก็ถูกถอนออกไปแล้ว ข้าทำตามที่สัญญาแล้ว ทีนี้เจ้าก็ฟื้นได้แล้วนะคนดี” ไคล์ก้มลงพูดกับคาเรนเบาๆ ราวกับรอให้ไคล์ปลุกให้ตื่นขึ้นจากห้วงฝัน ฉับพลันแพขนตาหนาก็ขยับน้อยๆตอบรับคำพูดของไคล์ ก่อนที่หญิงสาวจะค่อยๆลืมตาขึ้นจ้องมองมายังชายหนุ่มด้วยความงุนงง “ไคล์? ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ที่นี่?” คาเรนถามเสียงเบาอย่างยังคงค่อยไม่มีแรง ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธอกำลังขึ้นเวรดูแลผู้ป่วยอยู่ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็มานอนอยู่บนเตียงนี่แล้ว “เจ้าหลับไป...นานมาก” ไคล์บอก ยกมือเธอขึ้นมากุมไว้อย่างดีใจที่เธอฟื้น “แต่ตอนนี้เจ้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว” “ข้าหลับไปนานแค่ไหน” คาเรนถาม“12 ชั่วโมงได้” ไคล์ตอบ“น
ความคิดเห็น