จิงซิงอี้ แพทย์จีนจบใหม่ กลับมาเปิดคลินิกรักษาโรคที่หมู่บ้านกับคุณตาที่เลี้ยงดูเขามา เขารักษาคนไข้ที่อยู่ห่างไกล ทำธุรกิจสมุนไพร ทำแหล่งท่องเที่ยว และค้นหาความลับจากชาติกำเนิดที่เป็นปริศนาของตัวเอง
View More
เสียงรถเบรคเอี๊ยดดังลั่น ทำให้เด็กหนุ่มอายุประมาณ 16-17 ปี ที่กำลังปั่นจักรยานอยู่บนถนนสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองตามเสียงเบรคด้านหลังด้วยความตกใจ
รถคันใหญ่หรูหราคันหนึ่งพุ่งพรวดลงไปด้านข้าง และเกือบจะตกลงไปในสวนผักข้างทาง โชคดีที่รถถูกเนินดินขวางเอาไว้ จึงไม่ตกลงไปทั้งคัน
หญิงวัยกลางคนแต่งกายดีคนหนึ่ง ตะเกียกตะกายออกมาจากประตูฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าอย่างยากลำบาก ศีรษะของเธอมีรอยเลือดเล็กน้อยที่เกิดจากการกระแทกกับกระจก เธอหันไปมองรอบๆ และร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนก
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ใครก็ได้มาช่วยทีค่ะ สามีของฉันหมดสติอยู่ในรถค่ะ!”
เมื่อหันมาเห็นเด็กหนุ่มที่ทิ้งจักรยานเอาไว้ข้างทาง และวิ่งตรงมาทางนี้ เธอจึงละล่ำละลักพูดด้วยความดีใจว่า
“พ่อหนุ่มจ๊ะ ช่วยสามีพี่ด้วย เขาติดอยู่ในรถจ้ะ!”
เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินลงไปข้างถนนเพื่อเปิดประตูฝั่งคนขับ โชคดีที่ประตูไม่ได้ล็อคเอาไว้ เขาและหญิงวัยกลางคนจึงช่วยกันเปิดประตู ปลดเข็มขัดนิรภัย และดึงชายวัยกลางคนที่มีน้ำหนักตัวมากและรูปร่างสูงใหญ่ออกมาอย่างทุลักทุเล
ทั้งสองออกแรงลากดึง กว่าจะนำเขาออกมานอนราบบนพื้นถนนได้ เด็กหนุ่มซึ่งหอบด้วยความเหนื่อยหันไปบอกกับหญิงวัยกลางคนว่า
“รอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะ ผมจะรีบปั่นจักรยานไปตามคนมาช่วย หมู่บ้านของผมอยู่ข้างหน้านี่เอง แค่ 400-500 เมตรเท่านั้น!”
จากนั้น เขาก็วิ่งกลับไปคว้าจักรยานที่ทิ้งเอาไว้ พร้อมกับขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงวัยกลางคนซึ่งนั่งหมดแรงอยู่ข้างๆ สามี ได้แต่มองตามด้วยความสิ้นหวัง เธอไม่แน่ใจจริงๆ ว่า เด็กหนุ่มจะไปตามคนมาช่วยจริงตามที่บอก หรือแค่พูดส่งๆ ไปเท่านั้น
เธอพยายามใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาเบอร์โรงพยาบาลและสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ แต่ก็พบว่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ในบริเวณชนบทนี้ขาดๆ หายๆ ทำให้ไม่สามารถหาค้นหาข้อมูลและติดต่อใครได้
เธอถอนหายใจและร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง ได้แต่พร่ำเรียกชื่อสามีและบีบนวดแขนขาของเขาไปมา
สีหน้าของสามีเริ่มซีดลงทีละน้อย ไม่ว่าเธอจะพยายามเขย่าตัวและคอยเรียกชื่ออย่างไร ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว
ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสียงรถขับตรงเข้ามา เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เธอก็เห็นเด็กหนุ่มผอมบางคนนั้น โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถ ตะโกนเรียกเธอ พร้อมกับโบกมือไปมา เหยาหลิงยิ้มออกมาทั้งน้ำตา รีบโบกมือตอบด้วยความดีใจ
ระหว่างที่รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ ขับไปตามถนนเส้นเล็กๆ มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านข้างหน้า เหยาหลิงซึ่งนั่งอยู่ในกระบะหลังโดยมีสามีนอนหนุนตักอยู่นั้น ก็สังเกตบรรยากาศระหว่างทางไปด้วย
เธอพบว่าถนนเส้นนี้ทอดผ่านนาข้าวกว้างใหญ่ สลับกับแปลงปลูกผักหลากหลาย เมื่อมองไปจนสุดถนนที่มุ่งตรงไปยังหมู่บ้าน จะเห็นภูเขาและเนินเขาที่เป็นแนวยาว เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้อยู่ไกลๆ
ทิวทัศน์ที่สวยงามรอบตัว ทั้งทุ่งนาเขียวขจี ท้องฟ้าสีสดใสตัดกับสีเขียวครึ้มของภูเขา และอากาศใสสะอาด ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
รถกระบะค่อยๆ ขับผ่านเข้าไปตามถนนของหมู่บ้านเก่าแก่ ที่มีบ้านเก่าและใหม่สร้างจากหินและไม้เรียงรายกันไป ยิ่งขับลึกเข้าไปตามทาง แต่ละบ้านก็เริ่มตั้งอยู่ห่างกันออกไป โดยมีแปลงผักผลไม้ปลูกเอาไว้รอบด้าน
เมื่อผ่านไปยังศูนย์กลางหมู่บ้าน ชาวหมู่บ้านบางส่วนจับกลุ่มพักผ่อนพูดคุยกันอยู่ บ้างก็เล่นไพ่นกกระจอกและหมากรุกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พวกเขาเงยหน้าขึ้นมามองรถที่ขับผ่านไปด้วยความสงสัย
แล้วรถก็ขับไปจนถึงท้ายสุดของหมู่บ้านซึ่งอยู่ใกล้กับตีนเขา แถวนี้มีบ้านปลูกอยู่เพียงไม่กี่หลังเท่านั้น
คนขับจอดรถที่หน้าบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ ที่สร้างแบบซื่อเหอหยวน[1] ล้อมรอบด้วยกำแพงสีขาว หลังคากระเบื้องสีน้ำเงินเข้ม โดยมีด้านหลังของบ้านอยู่ติดกับตีนเขา
เด็กหนุ่มรีบลงจากรถ วิ่งไปเคาะประตูไม้สีแดงบานใหญ่ที่ปิดเอาไว้ พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า
“หมอใหญ่จิงครับ! หมอใหญ่อยู่บ้านมั้ยครับ มีคนไข้ด่วนมาหาครับ!”
เขาเรียกอยู่ 2-3 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตู เหยาหลิงซึ่งนั่งรออยู่ที่กระบะรถเริ่มกระสับกระส่าย เพราะเด็กหนุ่มพาพวกเขามาหาหมอจีน ไม่ใช่แพทย์แผนตะวันตกอย่างที่เธอคาดหวัง และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน
ทันใดนั้น ประตูไม้ทาสีแดงสองบานที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ เปิดออกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสวยงาม ผิวขาวสะอาด อายุประมาณ 24-25 ปี ใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาว และกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ก็ก้าวออกมาจากประตู
เขาใช้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองทุกคน และหยุดมองคนเจ็บที่นอนอยู่ท้ายกระบะ เขาหันมาพูดกับเด็กหนุ่มที่ตะลึงมองด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
“หมอใหญ่จิงไม่อยู่ ออกไปเก็บสมุนไพรบนเขา”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็หน้าเสียทันที เด็กหนุ่มเกาหัวและหันไปถามคนขับที่เป็นพ่อของเขาว่า “พ่อ! ทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ”
ก่อนที่ทุกคนจะพูดอะไรออกมา ชายหนุ่มร่างสูงก็หันไปมองเหยาหลิงซึ่งนั่งอยู่ในกระบะรถและพูดกับเธอว่า “พาคนป่วยเข้ามาข้างในบ้านก่อนครับ”
เหยาหลิงถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “หมอไม่อยู่ แล้วใครจะรักษาให้ละจ๊ะพ่อหนุ่ม”
ชายหนุ่มมองเธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้ม และตอบว่า
“ผมจะรักษาเอง”
จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน และเปิดประตูไม้ทั้งสองบานเอาไว้ เพื่อให้พวกเขาตัดสินใจว่าจะเข้ามารักษาหรือไม่
เหยาหลิงกัดริมฝีปาก ก้มหน้ามองสามีซึ่งนอนหมดสติใบหน้าหน้าซีดเผือด ก่อนจะตัดสินใจให้สามีรักษากับชายหนุ่ม เพราะแถวนี้ไม่มีหมอที่ไหนให้ไปหา และกว่าจะไปถึงก็อาจจะสายเกินไปอีกด้วย
พวกเขาจึงช่วยกันยกชายวัยกลางคนลงมา คนขับรถซึ่งเป็นพ่อของเด็กหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวหลง เป็นคนแบกชายวัยกลางคนขึ้นหลัง และเดินเข้าไปในบ้านของหมอใหญ่จิง
พวกเขาเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปยังบ้านขนาดใหญ่ ที่ตัวบ้านแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเรียงติดกันเป็นรูปตัว U ตรงกลางบ้านเป็นลานกว้าง มีบ่อบัวกำลังออกดอกสีขาวและสีชมพูบานสะพรั่ง ด้านหนึ่งของลานบ้านมีชั้นวางกระจาดตากสมุนไพรเอาไว้หลายชั้น และอีกด้านหนึ่งมีกระถางยาวปลูกสมุนไพรและพืชแปลกๆ วางเรียงราย
ประตูห้องหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของบ้านเปิดกว้างเอาไว้ พวกเขาจึงพาคนเจ็บเดินเข้าไป
ภายในห้องนั้น ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งแบบโบราณ ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้กลมแกะสลักขนาดเล็กตั้งเอาไว้ ด้านหลังสุดของห้องมีเคาน์เตอร์ไม้วางโถยาและกระจาดสมุนไพรเอาไว้
ถัดเข้าไปมีชั้นใส่ยาขนาดใหญ่เต็มผนัง ซึ่งมีลิ้นชักขนาดเล็กใส่สมุนไพรนับร้อยชนิด ด้านบนชั้นมีโถกระเบื้องเซรามิคและโถแก้วใส่ยาต่างๆ วางเรียงรายเป็นระเบียบ
อีกฝั่งของห้องเป็นเตียงสำหรับคนไข้ ด้านข้างมีโต๊ะไม้และตู้วางอุปกรณ์การแพทย์แผนจีน
กลิ่นสมุนไพรจีนที่ลอยอยู่ในอากาศ และความเคร่งขรึมของห้อง ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังเตรียมอุปกรณ์รักษา หันมาบอกให้พวกเขาพาคนเจ็บไปนอนบนเตียงที่ปูผ้ายางเอาไว้
เหยาหลิงอดถามเขาไม่ได้ว่า “ขอโทษนะคะ คุณเป็นหมอด้วยหรือเปล่า”
ชายหนุ่มตอบว่า “ผมเป็นหลานของหมอใหญ่จิง และ...” เขาสบตาทุกคนในห้อง และพูดต่อด้วยเสียงที่มั่นคงว่า
“ผมยังเป็นแพทย์แผนจีน ชื่อ จิงซิงอี้ครับ!”
จิงซิงอี้เริ่มต้นการรักษา ด้วยการใช้หูฟังทางการแพทย์ฟังเสียงหัวใจและการหายใจของคนไข้ จากนั้นเขาจึงจับชีพจร ในระหว่างนั้น เขาก็สอบถามอาการจากเหยาหลิงไปด้วย
เธออธิบายว่า ทั้งคู่ขับรถมาทำธุระบริเวณนี้ ทันใดนั้น สามีซึ่งกำลังขับรถอยู่ก็เกิดอาการตาลาย ปวดหัวอย่างรุนแรง และแขนขาชาเกร็งขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถบังคับรถได้ แต่สามีของเธอก็พยายามประคองรถให้จอดข้างทาง จากนั้นเขาก็หมดสติไป
เมื่อได้ฟังที่เธอเล่า จิงซิงอี้ก็ตรวจเช็คแขนขาและร่างกายของผู้ป่วย เพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงไหนด้วยหรือไม่
เขาซักถามอาการต่อว่า ก่อนหน้านี้คนเจ็บมีอาการผิดปกติอะไรบ้าง
เหยาหลิงทบทวนความจำ และตอบอย่างระมัดระวังว่า ช่วงหลังมานี้ สามีของเธอหรือหยวนซุน ทำงานหนักมาก เพราะธุรกิจอาหารแช่แข็งของเขากำลังมีปัญหา
เขามีความกังวลและเคร่งเครียดแทบจะตลอดเวลา นอนไม่หลับ หงุดหงิดโมโหง่าย มักจะบ่นเวียนศีรษะ ตาลาย บางครั้งหมดแรงและแขนขาชาบางส่วน
เมื่อพวกเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอก็วินิจฉัยว่าเป็นอาการที่เกิดจากความเครียด และได้ให้ยาคลายเครียดที่ช่วยให้นอนหลับ และยาบำรุงมา ซึ่งอาการก็ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่อาการหมดแรงและแขนขาชายังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ
สามีคิดว่าน่าจะเกิดจากการที่เขาใช้คอมพิวเตอร์ทำงานมาก และนั่งท่าเดิมนานๆ จนเกิดออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)
แต่ทุกคนก็ต้องหยุดพูด เมื่อหยวนซุนซึ่งนอนหมดสติอยู่เกิดอาการกระตุกเกร็งขึ้นมา!
จิงซิงอี้ลุกขึ้นยืนทันที เขาบอกให้สองพ่อลูกเสี่ยวหลงช่วยกันจับตัวคนไข้เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้ตกเตียงและดิ้นในขณะที่เขารักษา
จิงซิงอี้ใส่ถุงมือยางด้วยความรวดเร็ว เขาใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดบริเวณเส้นลมปราณอินและตูที่ผิวหนัง หยิบเข็มในห่อพลาสติกออกมา
จากนั้น เขาก็ใช้เข็มแรกปักไปที่จุดเน่ยกวาน บริเวณตรงกลางเหนือรอยพับข้อมือด้านใน และหมุนวนเข็มไปมาเป็นเวลาหนึ่งนาที เพื่อช่วยให้ชี่และเลือดไหลเวียนสะดวก และฝังเข็มต่อไปที่จุดเหรินจงบริเวณร่องจมูกและหมุนวนเข็มเบาๆ
หลังจากผ่านไปสักพัก ทุกคนเห็นว่าหยวนซุนเริ่มมีน้ำตาไหลซึมออกมา ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทวารสมองที่ปิดอยู่ได้เปิดออกแล้ว
และสุดท้าย จิงซิงอี้ใช้เข็มฝังไปที่จุดซานอินเจียวบริเวณขาด้านในเหนือยอดตาตุ่มขึ้นมา เพื่อช่วยสร้างไขกระดูก และทำให้สมองแข็งแรง
เขาทำซ้ำทุกๆ 5 นาที จนเวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที อาการชักเกร็งของหยวนซุนก็ค่อยๆ หายไป ลมหายใจของเขาเริ่มสงบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ต่างลุ้นตามอย่างใจหายใจคว่ำ พวกเขาไม่แน่ใจว่า แพทย์จีนจะสามารถรักษาอาการรุนแรงแบบนี้ได้จริงหรือไม่ แต่เมื่อเห็นวิธีการรักษาและความมั่นคงของจิงซิงอี้ พวกเขาก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
จิงซิงอี้เรียกชื่อหยวนชุนซ้ำๆ และในที่สุด หยวนชุนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
[1] ซื่อเหอหยวน “Siheyuan” คือ บ้านชั้นเดียวแบบจีนโบราณที่ล้อมรอบคอร์ตหรือลานตรงกลางไว้ด้วยเรือนทั้งสี่ด้าน และมีทางเข้าออกด้านหน้า
นับตั้งแต่จิงซิงอี้เปิดคลินิกมาได้ 3 เดือนกว่า เขาทำอะไรมามากมาย ทั้งตั้งโต๊ะรักษาโรคฟรีข้างนอกที่หมู่บ้านข้างๆ ไปบริการชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ช่วยตำรวจไขคดีฆาตกรรมที่เกิดจากการใช้ยาสมุนไพรจีน และยังมีวิดีโอคลิปตอนที่เขารักษาคนบาดเจ็บจากแก๊สระเบิดที่แพร่หลายออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรู้จักเขามากขึ้นเขายังมีคนไข้ที่เคยรักษาที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ เดินทางมารักษาต่อที่คลินิกกับเขาหลายคน ถึงแม้จะต้องเดินทางมาจากที่อื่นก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อเขาสามารถรักษาคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก ให้ตั้งครรภ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทำให้คู่สามีภรรยาหลายคนที่รู้ข่าว มีความหวังและเดินทางมาหาเขามากขึ้น จิงซิงอี้รู้สึกว่า เขากลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาะวมีบุตรยากไปอีกหนึ่งด้าน ไม่เพียงแต่คนไข้ของเขาจะเพิ่มจำนวนขึ้น เขายังช่วยให้ธุรกิจในหมู่บ้านเจริญก้าวหน้าขึ้นตามด้วยหลังจากที่มีคนไข้เพิ่มมากขึ้น ชาวหมู่บ้านบางคนเริ่มเปิดร้านอาหารเล็กๆ และร้านขายของเพื่อรองรับคนที่เดินทางมารอรักษา เพราะคนไข้บางคนไม่สามารถกลับบ้านได้ทันในวันเ
วันหนึ่งชุนเฉิงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว แต่เขาก็หยุดอ่านและเหม่อมองออกไปไกลๆ จิงเซียวซึ่งเดินเข้ามาหยิบหนังสือสังเกตเห็น เขาจึงเรียกชื่อชุนเฉิง แล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ปกติแล้วชุนเฉิงรักและเคารพจิงเซียวมาก เขาจะพูดทุกอย่างกับจิงเซียวตรงๆ แต่ครั้งนี้ เขานิ่งไปและถอนหายใจยาว เขารู้สึกละอายใจที่จะบอกว่า ด้วยวัยเกือบ 40 ปีนี้ เขารู้สึกว่างเปล่า แต่ดูเหมือนจิงเซียวจะเข้าใจ ชายชราเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเขา และพูดว่า“เจ้ากำลังรู้สึกสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า” ชุนเฉิงยิ้มเศร้าๆ เขาตอบว่า “ผมนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไปดี สิ่งที่กำลังตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว แต่มันก็กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวัน ข้อดีคือ เราก็ทำได้ดี ไม่ต้องเหนื่อย แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร การรักษาคนไข้ผมยังชอบอยู่ครับ แต่มันก็แค่นั้น บางทีผมก็คิดว่า จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตายเลยหรือ ผมรู้สึกสิ้นหวังยังไงไม่รู้ครับ” จิงเซ
“หลานสาวของภรรยาพี่เอง ตอนนี้เขาเป็นดาราวัยรุ่นมาแรงเลย เธอน่าจะจำเขาได้นะ อี้อวิ๋นซีไงล่ะ” จิงซิงอี้ทบทวนความจำ สมัยที่เรียนอยู่ในเมือง บางครั้งเขาจะไปพักที่บ้านของลั่วเยี่ยน เขาจำได้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุห่างจากเขา 4-5 ปี ชอบมาที่บ้านของลั่วเยี่ยน และคอยวิ่งตามจิงซิงอี้เพื่อให้เขาเล่นด้วย ภรรยาของลั่วเยี่ยนมีพี่สาวหนึ่งคน และอี้อวิ๋นซีเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ และยังสนิทกับภรรยาของลั่วเยี่ยนมากเมื่อจิงซิงอี้เรียนในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เขาเรียนหนักมาก จึงไม่ค่อยได้ไปอยู่บ้านลั่วเยี่ยน ประกอบกับที่อี้อวิ๋นซีเริ่มโตแล้ว เธอจึงไม่ค่อยมาเที่ยวเล่นแบบตอนเด็กอีกต่อไป จิงซิงอี้พอจะจำเธอได้ เขาจึงถามต่อว่า “เขาจะยอมใช้ครีมให้ผมหรือครับ พวกดาราชอบใช้ของแบรนด์เนมมากกว่านี่” ลั่วเยี่ยนทำหน้ามีเลศนัย เขาพูดยิ้มๆว่า “นายมันจะไปไม่รู้อะไร เสี่ยวซีคอยต
และก็เป็นไปตามที่จิงซิงอี้คาด อีกไม่กี่วันต่อมา ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนได้เข้าไปคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล พวกเขาตกลงกันว่าจะให้จิงซิงอี้ทำงานไปจนจบเดือนนี้ และไม่ขอต่อสัญญา โดยอ้างว่าสถานะเศรษฐกิจไม่ดี ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจำเป็นจะต้องแจ้งให้เม่งฮ่าวซึ่งเป็นอาจารย์ของจิงซิงอี้รู้ก่อน แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แท้จริงได้ เพราะโรงพยาบาลยังเกรงใจเขาอยู่ ผู้อำนวยการจะคุยกับจิงซิงอี้ และจะขอโทษเม่งฮ่าวด้วยที่ไม่สามารถจ้างจิงซิงอี้ต่อได้เม่งฮ่าวรู้จากจิงซิงอี้อยู่ก่อนแล้ว เขาไม่พอใจทางโรงพยาบาลมาก ถึงแม้ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจะมาคุยกับเขา แต่ก็เหมือนไม่ไว้หน้าเขา ถึงแม้ว่าจะใช้ข้ออ้างอื่นก็ตาม สำหรับเม่งฮ่าวแล้ว เขาไม่ได้สนใจการทำงานพิเศษในโรงพยาบาลนี้เท่าไหร่ เพราะเขามีชื่อเสียงและความสามารถในระดับประเทศและต่างประเทศอยู่แล้วเขามาทำงานให้ที่นี่ เพราะรุ่นพี่ที่นับถือขอร้องให้มาช่วยเหลือ ตั้งแต่มีการก่อตั้งแผนกแพทย์แผนจีนใหม่ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี รุ่นพี่ที่เขานับถือก็เกษียณไปแล้ว เขายังทำงานให้เพราะเห็นว่า โรงพยาบาลยังปฏิบัติต่อเขาดี แต่เมื่อเกิดเหตุการ
จิงซิงอี้นิ่งไปสักพัก เขามองหน้าเจี่ยเหริน เขาเห็นการทำงานของเด็กหนุ่มและนิสัยใจคอที่ดีของเขา เขาเสียดายโอกาสที่เด็กหนุ่มคนนี้ที่น่าจะไปได้ดีกว่านี้ เขาจึงพูดขึ้นว่า“นายเก็บเงินให้ดีนะ จะได้ไปเรียนต่อ ฉันรู้สึกเสียดายความสามารถของนาย ฉันจะแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์การขายให้ นายจะได้เก็บเอาไว้เรียนต่อ”เจี่ยเหรินรีบปฏิเสธทันที แต่จิงซิงอี้ยืนยันว่า“ทำงานก็ต้องได้เงิน และที่สำคัญ การให้โอกาสคน คือการทำบุญที่ดีอีกอย่างด้วย ฉันก็ได้รับโอกาสจากคนอื่นเหมือนกัน ฉันจึงมาอยู่จุดนี้ได้ หลังจากเรียนจบแล้ว นายจะไปทำงานที่อื่นฉันก็ไม่ว่าอะไร ทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะนายก็ได้ใช้แรงกายแรงใจช่วยงานฉันมาด้วยดีเสมอ แล้วฉันก็ให้เงินเดือนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน นั่นละคือการทำงาน ไม่ต้องมาคิดเรื่องบุญคุณอะไร” หลังจากวันนั้น ทั้งจิงซิงอี้และเจี่ยเหรินต่างก็หัวหมุนกับการแพ็คสินค้าและส่งของไปให้ลูกค้า พวกเขาดีใจมากที่มีคนสั่งซื้อสินค้าจนหมด 200 ชุด เขาต้องประกาศว่าสินค้าหมดแล้วและกำลัง
ไลฟ์ในวันนั้นเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวของจิงซิงอี้ และพูดถึงคลินิก ที่ตั้ง และความเป็นมาของคลินิก รวมไปถึงตัวเขาเองว่าจบมาจากที่ใด และเชี่ยวชาญด้านใด ส่วนข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เขาไม่พูดถึง ถึงแม้จะมีคนดูถามเข้ามากมายทั้งอายุ และเขามีแฟนหรือยัง และเสียงชื่นชมที่ว่าเขาหล่อแค่ไหนเมื่อให้ข้อมูลจบ จิงซิงอี้ดูจะผ่อนคลายขึ้น เขาจึงเริ่มพูดว่า“วันนี้ผมจะมาเล่าถึงการดูแลผิวของตัวเองให้สวยงาม ไม่มีริ้วรอย ปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวของเราเสีย ก็คือ แสงแดด มลภาวะ ความเครียด การไม่ดูแลผิว โรคภัยบางอย่าง การทำร้ายผิวด้วยการสูบบุหรี่ การใช้สารเคมีบางอย่าง และอาหารการกิน”เขาอธิบายพร้อมกับแชร์ภาพของผิวหนังที่เสียจากสาเหตุดังกล่าวด้วย การอธิบายของเขาเป็นไปตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ทำให้คนดูแปลกใจ เพราะเขาเปิดตัวมาด้วยการบอกว่าตนเองเป็นแพทย์จีน แต่เขากลับมีความรู้แบบตะวันตก และใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการอธิบาย ทำให้คนที่ต้องการจะเข้ามาก่อกวนและไม่เชื่อต้องหยุดฟังชั่วคราว รวมไปถึงคนฟังที่ตื่นเต้นกับหน้าตาของเขาก็หยุดฟังด้วยความสนใจจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายเฉพาะผิวที่เป็น
Comments