공유

Chapter 2. ทะลุมิติ

last update 최신 업데이트: 2024-10-16 21:06:35

            ติงเชาเป็นชายพิการอายุสี่สิบแล้ว  แม้ตัวเองจะพิการแต่จิตใจดีมีเมตตา  หลายปีก่อนที่หมู่บ้านแห่งนี้ประสบภัยสงคราม หลายครอบครัวพลัดพราก  เด็กเป็นกำพร้า บางคนที่พอจะมีเงินมีฐานะก็อพยพย้ายถิ่นฐานหนีภัยสงคราม  แต่ติงเชาผู้ไร้ญาติขาดมิตรไม่ใส่ใจความเป็นความตายของตนเอง  เก็บเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้มา  เด็ก ๆ เหล่านี้ยังเด็กเล็กมาก จำชื่อตัวเองไม่ได้  ติงเชาจึงตั้งชื่อให้ใหม่ รวมทั้งนางด้วย ตอนนั้นนางอายุเพียงสิบขวบ  เหมยลี่ยังเป็นเด็กน้อยที่ร้องไห้จ้าในอ้อมอกมารดาที่สิ้นใจไปแล้ว  ติงเชาช่วยเด็ก ๆ เท่าที่พอทำได้  ทำให้ทั้งหมดรอดพ้นความตายในภัยสงครามเมื่อหกปีก่อนได้ แม้จะรูปร่างผ่ายผอมเนื่องจากกินไม่อิ่ม แต่กระนั้นทุกคนก็รักใคร่กลมเกลียว

            ผ่านภัยสงครามมาหลายปีทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ติงเชาแม้เป็นชายพิการ ขาซ้ายมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่น่ากลัว เวลาเดินจะต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเอง แต่เมื่อต้องขึ้นเขาหาของป่ามาค้าขาย หรือป้อนใส่ปากเด็ก ๆ ก็ยังคล่องแคล่ว  เหมยซิงซึ่งนับได้ว่าเป็นพี่ใหญ่พอจะทำงานได้แล้ว นางรับจ้างในโรงเตี๊ยมไม่ไกลบ้าน  หรือคือกระท่อมผุพังนี้   ใครใช้อะไรนางก็ทำทุกอย่างขอเพียงได้เงินมาจุนเจือครอบครัว  จนกระทั้งเมื่อครึ่งปีก่อน นางไปสมัครเป็นสาวใช้บ้านตระกูลหวัง   แรก ๆ เหมือนจะเป็นไปด้วยดี  น้อง ๆ ของนางยังคิดว่าถ้าพวกเขาเติบโตอีกหน่อยจะไปทำงานที่เดียวกับเหมยซิง  แต่ติงเชาคัดค้าน แม้พ่อบุญธรรมไม่เห็นด้วยแต่เหมยซิงก็แอบไปเพราะต้องการเงินมาจุนเจือครอบครัว    ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงเป็นเช่นไรไม่อาจรู้ได้  แต่คนในบ้านตระกูลหวังประกาศเพียงแค่ว่าเหมยซิงขโมยของสำคัญในจวน  เมื่อถูกจับได้ก็ถูกพ่อบ้านลงโทษ โบยนางจนตาย  นางกลายเป็นเพียงศพไร้ญาติ  บ่าวรับใช้เอาร่างของนางมาทิ้งที่ป่าช้า  ติงเชาได้ยินข่าวจึงรีบไปที่ป่าช้า ร้องไห้ราวคนเสียสติ พบร่างที่ถูกโบยตีบอบช้ำ เดิมทีคิดว่าถ้านางตายก็จะไม่ให้นางตายเช่นศพไร้ญาติเช่นนี้  แต่ร่างนางกลับกระตุกลืมตาขึ้นมา ติงเชาแบกลูกสาวบุญธรรมออกจากป่าช้า  แม้ไม่มีเงินจะเชิญหมอมาดูอาการแต่ก็พยายามป้อนน้ำ ให้เหมยลี่ที่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่สาว  เด็กชายทั้งสามแม้รู้ว่าเหมยซิงถูกพามาจากป่าช้าแต่ก็ไม่กลัว เขาช่วยดูแลอย่างดียิ่ง จนนางลืมตาฟื้นจริง ๆ

            “พี่สาว พี่สาวจำพวกเราไม่ได้เหรอ” 

เสียงเด็กทั้งสามถามพลางกลั้นน้ำตา  พันดาวที่คราวแรกยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่เหมยซิงจึงได้แต่ลอบถอนหายใจ สงสารเด็กน้อยใจแทบขาด นางจึงยอมรับสภาพว่าตัวเองคือ เหมยซิง

            เพราะคลุกคลีอยู่ในแวดวงบันเทิง พล็อตละครแนวย้อนยุคทะลุมิติไม่มีอะไรแปลกใหม่  ใครจะคาดคิดว่าวันหนึ่งนางโชคดีกระโดดลงมาเล่นเป็นนางเอกเต็มตัว   แต่ชีวิตในโลกนี้ก็คล้ายคลึงกับชีวิตของพันดาวไม่น้อย  อายุสิบขวบมารดาก็หอบหิ้วมาให้ ‘ลุงทองดี’ ช่วยเลี้ยง   ครานั้นให้เหตุผลว่าบิดาของนางทอดทิ้ง  มารดาต้องทำงานไม่สะดวกที่จะเลี้ยงลูกไปด้วยทำงานไปด้วยได้  ลุงทองดีเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของมารดา  ภรรยาตายด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อห้าปีก่อน และไม่มีลูกด้วยกัน   เพราะเห็นเป็นหลานจึงรับฝากเลี้ยง ครึ่งปีแรกมารดาส่งเงินมาให้สม่ำเสมอเดือนละสามถึงสี่พันบาท แต่พอเริ่มเข้าเดือนที่เจ็ดก็เงียบหาย  ร่างกายลุงทองดีก็ไม่ค่อยแข็งแรงนัก อดีตเคยเป็นทหารเก่า  อาศัยเอาดีด้านต่อยมวย เป็นตัวแทนของสมาคมอยู่หลายปี แต่เพราะสมัยก่อนการต่อยมวยไม่ได้รัดกุมเช่นทุกวันนี้  สมองได้รับการกระทบกระเทือน ส่งผลให้ร่างกายเดินเหินไม่ปกติ  สุดท้ายก็ลาออกจากทหาร  ประจวบกับมีคนรู้จักมาเชิญลุงทองดีเป็นครูฝึกสอนการต่อสู้ที่โรงเรียนฝึกสอนสตั๊นต์

            มีแม่ก็เหมือนไม่มี  ได้ยินว่าที่แม่ทิ้งเธอไปเพราะติดพันผู้ชายคนใหม่  พันดาวเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของลุงทองดี จนเรียก ‘พ่อทองดี’ ด้วยความที่พ่อทองดีเป็นห่วงพันดาวที่เป็นผู้หญิง จึงสอนศิลปะการป้องกันตัว  และเพราะพ่อทองดีอีกนั้นแหละที่หอบหิ้วไปโรงเรียนฝึกสอนสตั๊นต์แมนทำให้เธอได้เรียนรู้ที่นี่ไปด้วย  ด้วยความอยากแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว นางจึงรับงานตัวประกอบตั้งแต่อายุสิบหก เดินผ่านกล้องบ้าง งานในรายการเกมโชว์บ้าง  เมื่อเห็นว่ามีช่องทางหารายได้ นางจึงตัดสินใจฝึกฝนจริงจังรับงานเป็นสตั๊นต์เกิร์ล  เรียนจบมัธยมก็เรียนต่อสถาบันวิทยาลัยพละศึกษา พันดาวไม่ได้อยากเป็นคนเด่นดัง  ไม่ได้อยากเป็นนางเอกหรือหลงใหลในแวดวงมายา  แต่เธอต้องการใช้เงินเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยเรื้อรังของลุงทองดี

            การอยู่ในโลกนี้ทำให้พันดาวต้องปรับตัวเป็นเหมยซิง  นางไม่รู้ว่าที่ที่อยู่นี่เรียกว่าอะไร ยุคไหน แต่ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกาย และชื่อเรียกขาน ทำให้นางคิดถึงหนังจีนกำลังภายใน  แรก ๆ นางคิดไปว่าตัวเองหลุดมาในโลกนิยายที่ตัวเองแสดงอยู่  แต่รายละเอียดชื่อเมืองต่าง ๆ นั้น ไม่ตรงกัน  ประวัติศาตร์จีนโบราณอะไรนั่น นางยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่

            แม้คิดหาวิธีกลับไปโลกเดิม แต่ในเมื่อยังเป็น ‘เหมยซิง’ ในโลกนี้ นางจำเป็นต้องดูแลเด็ก ๆ ทั้งสี่และพ่อบุญธรรม พวกเด็ก ๆ เองเห็นนางตื่นฟื้นจากความตาย  แม้จำอะไรไม่ได้แต่ก็ไม่ซักถาม อะไรที่นางไม่รู้ทุกคนก็ช่วยสอน อาจเพราะความยากจน และผ่านสงครามมาทำให้พวกเขาเติบโตเกินวัยไปแล้ว  เด็กผู้ชายพานางเดินขึ้นเขา สอนให้นางเก็บฟืน และผักป่า ระยะนี้พ่อบุญธรรมร่างกายไม่แข็งแรงจึงไม่ได้ขึ้นเขาล่าสัตว์ป่ามาเป็นอาหาร  หลังจากผ่านสงครามไปเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาที่ละน้อย

ร่างกายของเหมยซิงผ่ายผอมจนน่าร้องไห้  พันดาวโอดครวญในอก บังเอิญเห็นคันธนูเก่า ๆ แล้วอยากลองล่าสัตว์ด้วยตนเอง  นางเคยฝึกการใช้ธนูมาก่อน การยิงธนูทำได้ค่อนข้างดี แต่ร่างกายของเด็กสาวผอมแห้งผู้นี้แทบไม่มีแรงง้าวสายธนู   รวมถึงการยืดหยุ่นตัวด้วย  นางเคยตีลังกาม้วนตัวได้สบาย ๆ แต่พอมาอยู่ในร่างเหมยซิงแสนน่าสงสารกลับทำอะไรไม่ได้ตามใจคิด   เอาเถิด ระหว่างที่นางคิดวิธีกลับไปโลกเดิมก็ต้องหาวิธีใช้ชีวิตในร่างนี้  นางตื่นเช้า หุงหาอาหารทำกับข้าวอย่างง่าย ๆ ระหว่างนี้ก็อาศัยช่วงที่เด็ก ๆ ยังไม่ตื่นยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายฝึกซ้อมให้ร่างกายเข้าที่เข้าทาง  เพียงครึ่งเดือนนางปรับตัวเข้ากับสถานที่แห่งนี้ได้   นางหาไม้ไผ่ขนาดพอดีมือเอาไว้เป็นไม้พลองฝึกซ้อมป้องกันตัวเอง  เมื่อครั้งที่ยังเป็น ‘พันดาว’ นางชอบใช้ไม้พลองมากที่สุด เคยเป็นนักกีฬาระดับเหรียญทองแดงมาแล้ว   แม้เด็ก ๆ ดูแปลกใจที่จู่ ๆ เหมยซิงผู้อ่อนแอลุกขึ้นมาจับไม้ไผ่แกว่งไปมา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร  ช่างเป็นน้องที่เชื่อฟังพี่เสียจริง  ทำให้พันดาวหรือเหมยซิงรักเด็ก ๆ เหล่านี้มากยิ่งขึ้น

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 73. จบ

    “คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 72.   ลูกๆ 

    ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 71.  ว่าที่สะใภ้น้อย

    หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 70.  รับความดีความชอบ

    “ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 69.   ครึ่งปีต่อมา

    ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 68.  กลับมา

    นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status