แชร์

Chapter 8. ร่างกายสภาพผัก

ผู้เขียน: เพลงมีนา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-17 21:49:26

            หากไม่นับร่างกายที่มีสภาพเป็นผักเช่นนี้  ชีวิตความเป็นอยู่อันแสนยากจนทว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนี้ก็นับว่ามีความสุขมากนัก  ติงเชาที่เด็ก ๆ เรียกพ่อบุญธรรมเป็นพรานป่าอาศัยหาของป่าเลี้ยงชีพ เขาเองไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของติงเชา แต่เหมยซิงและเด็ก ๆ ที่นี่เป็นผู้ที่หลงเหลือจากสงครามเมื่อหกปีก่อน  ผลัดพรากจากพ่อแม่ญาติพี่น้องหรืออาจตายจากกันไปแล้ว  พวกเขาจึงอยู่ที่นี่กันอย่างเรียบง่าย ไม่นานมานี่ติงเชาเกิดเจ็บป่วยทำให้เหมยซิงไปทำงานในบ้านเศรษฐีเป็นหญิงรับใช้ และถูกทำร้ายปางตาย ทำให้นางกลับมาอยู่ที่เดิมนี่

            เขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมนี้เป็นมาอย่างไร  แต่เหมยซิงเองคงเข้าใจไปว่าเจ้าของร่างนี้เป็นเช่นเดียวกับนาง เพราะนาง ‘เก็บ’ เขามาจากป่าช้า

            นอกจากปลายนิ้วมือ และเท้าแล้ว ก็มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้ตามใจซึ่งยามนี้เขาเฝ้ามอง ร่างของเด็กสาวผอมบางที่ควงไม้พลองอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางเสียงปรบมือของน้อง ๆ

            “พี่สาวเก่งแบบนี้ไปขายศิลปะในเมืองคงได้หลายเงินเป็นแน่”  ติงเกาพูดขึ้นแล้วทำท่าหมุนตัวเลียนแบบพี่สาว

            “ขายศิลปะคืออะไร?”  

เหมยซิงถามพลางเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยท่อนแขน  อยู่ที่นี่มาสองเดือนเริ่มชินกับร่างกายนี้แล้ว พอได้ขยับตัวบ่อยการเคลื่อนไหวบ่อยๆ ก็เริ่มคุ้นชิน นางฝึกยืดหยุ่นตัวเหมือนตอนที่ยังเป็น ‘พันดาว’ ในทุกวันนางมีตารางฝึกออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วพร้อมรับทุกบทบาทที่ได้รับมา

            “ก็ไปแสดงศิลปะการต่อสู้ แลกเงินหรือข้าวสารของกินได้”  ติงเกาพูดด้วยรอยยิ้มมีความหวัง “พี่สาวสอนข้าบ้างซิ”

            เหมยซิงพยักหน้าเข้าใจ คงจะเหมือนกับ ‘เปิดหมวก’ ละซิ  ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี  นางอยากหาเงินซื้อข้าวสารมาตุนไว้ให้น้อง ๆ  เมล็ดพันธุ์พืชที่ได้มาก็ลงแรงเพาะปลูกไปแล้ว  ช่วงนี้อาการพ่อบุญธรรมดีขึ้นก็ลุกขึ้นมาสอนนางใช้ธนูล่าสัตว์  นางจึงได้รื้อเอาเครื่องมือล่าสัตว์ของบิดาออกมาซ่อมแซม   นางรู้ว่าพ่อบุญธรรมดูประหลาดใจที่นางสนใจเรื่องพวกนี้ แต่นางก็ใช้รอยยิ้มกลบเกลื่อนทำให้ติงเชาไม่เอ่ยถามอะไร  สอนให้นางรู้เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้อย่างเต็มใจ

            หญิงสาวหันมาทางชายหนุ่มที่ทุกคนในบ้านต่างตกลงใจที่จะเรียกเขาว่า ‘อาหมาน’ ติงปิงบอกว่า ‘หมาน’ แปลว่า ‘เต็ม’  แม้สีหน้าคนถูกเรียกจะไม่เต็มใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้  นางเห็นเหมยลี่ช่วยหวีผมให้อาหมานแล้วก็กระโดดลงมายืนจ้องมองชายหนุ่มที่กระตุกกระติกตัวไม่ได้แล้วยิ้มอย่างภูมิใจ

            “เหมยลี่เก่งจริง ๆ”  นางเอ่ยชมน้องสาวคนเล็ก แล้วเดินไปใกล้แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำลายที่มุมปากให้อาหมาน ดูเขาอึดอัดใจที่นางคอยดูแลเขาเช่นนี้

            “อย่าคิดมาก ข้าเคยดูแลคนอาการหนักกว่าเจ้าอีก  ถึงบ้านนี้จะมีเด็กผู้ชายแต่เขาก็เด็กเกินกว่าให้มาทำอะไรพวกนี้เอง ให้ข้าจัดการให้เถอะ เจ้าก็ทำเป็นมองไม่เห็นก็ได้”

            นางพยายามไม่ให้เขาคิดมาก แต่ดูท่าเขาจำยอมอย่างจนใจ นางประเมินอาหมานว่าเขาคงอายุประมาณยี่สิบนิด ๆ หรือไม่เกินนี้  ถ้านับตามอายุ ‘พันดาว’ แล้วละก็ ชายผู้นี้ก็เป็น ‘น้อง’ ของนางอีกด้วย และความที่เขาผอมบางมาก ทำให้นางสามารถใช้ร่างเหมยซิงเด็กสาวอายุสิบหกแบกเขาไปโน้นมานี่ได้อย่างไม่ลำบากนัก

            สองเดือนกับการอยู่ในร่างเหมยซิง  บางทีนางก็อดคิดไม่ได้ว่า อาจเป็นชะตาลิขิตให้นางต้องมาใช้ชีวิตที่นี่ก็เป็นได้  ถ้านางไม่เคยเป็นสตั๊นต์เกิร์ลมาก่อน คงใช้เครื่องมือล่าสัตว์ไม่เป็น ถ้านางไม่เคยออกค่ายอาสา นางคงไม่รู้วิธีเพาะปลูก และถ้านางไม่เคยดูแลคุณตาข้างบ้าน นางก็ไม่รู้ว่าจะดูแลอาหมานอย่างไร

พอคิดแบบนี้แล้วนางมีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตในโลกแปลกประหลาดใบนี้ และเมื่อไหร่ที่นางคิดถึงลุงทองดี นางก็จะดูตั้งใจดูแลพ่อติงเชาและน้อง ๆ ให้มาก

            ซุนเว่ยหมินมองร่างบอบบางเดินเอาผ้าที่เช็ดน้ำลายของเขาไปซักแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ  ชีวิตเขาจะต้องอยู่ในสภาพนี้ไปนานเพียงใด คนที่เคยทำอะไรด้วยตัวเองได้ทุกอย่าง มาเวลานี้ไม่อาจทำอะไรได้เลย ศักดิ์ศรีที่เคยมีท่วมท้น ยามนี้แทบไม่มีสิ่งนั้นเหลือแล้ว  แต่เขายังพอมีหวัง บ้างทีอย่างน้อยเขาเริ่มเปล่งเสียงได้มากขึ้น ขยับข้อมือได้ ลองฝึกยกแขนแม้จะขึ้นเหนือพื้นมาเล็กน้อยแต่ก็นับว่าดี ขอเพียงเขาขยับมือเขียนจดหมายได้ เขาก็จะสามารถติดต่อผู้อื่นได้

            ในขณะที่ใจพะวงหาวิธีการติดต่อกับผู้อื่น  เขาเห็นผีเสื้อสีขาวพิสุทธิ์ตัวหนึ่งโบยบินวนเวียนอยู่เบื้องหน้า ขณะที่จับจ้องมองผีเสื้อแปลกตาตัวนี้มันก็บินมาเกาะที่ปลายจมูกของเขา  เขาหรี่ตามองผีเสื้อตัวนี้ด้วยความรู้สึกคุ้นตา 

            “อืออออ....”

            เหมยซิงที่มักจะไวกับปฏิกิริยาของอาหมานจึงหันมาทันที เห็นเพียงเขามีสีหน้าตื่นเต้น และส่งเสียงครางครือในลำคอเท่านั่น นางเอียงคอมองอย่างประหลาดใจแล้วเดินกลับมานั่งจ้องหน้าชายหนุ่มแล้วเอ่ยถาม

            “มีอะไรรึอาหมาน”

            “อืออออออ...”

            “หือ?”  นางรู้สึกเหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรนาง แต่คราวนี้นางไม่เข้าใจจริง ๆ ได้แต่หันซ้ายหันขวามองตามลูกตาดำของเขาที่กลอกไปมา  ยังไม่ทันได้ค้นหาคำตอบ นางได้ยินเสียงม้าอยู่หน้าบ้าน  บ้านที่ไม่ค่อยมีใครผ่านมานักทำให้เด็ก ๆ และพ่อบุญธรรมหยุดการเคลื่อนไหว และหันไปมองทางประตูหน้าบ้าน

            บุรุษในชุดดำก้าวพรวดพราดเข้ามาในลานกว้างอย่างไม่เกรงใจและมารยาทเจ้าของบ้าน เขากวาดตามองราวกับไม่เห็นผู้ใดในสายตา จับจ้องไปเพียงยังชายที่นั่งเอนหลังนิ่ง ๆ เบิกตากว้างด้วยความดีใจ

            “ท่าน...”  เสียเอี๋ยนก้าวเร็ว ๆ มาคุกเข่าเบื้องหน้า กำลังจะเรียกชื่ออีกฝ่ายแต่ตระหนักได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้แม้มีดวงจิตของท่านอ๋องซุนเว่ยหมินที่เขาตามหามานานนับเดือน ทว่าร่างกาย และใบหน้าไม่ใช่ของท่านอ๋อง  เป็นใบหน้าและร่างกายของ...

            ‘เสียเอี๋ยน!’

            “คุณชาย...”  เสียเอี๋ยนนอกจากจะฝึกยุทธแล้ว เขายังมีความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น  เป็นพรสวรรค์ที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด แต่ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว บิดามารดาจึงยกเขาให้นักพรตท่านหนึ่งเลี้ยงดู ทำให้เขาได้ร่ำเรียนเวทมนตร์คาถาต่าง ๆ พอที่จะเรียกสัตว์ ใช้สัตว์อาคมติดตามหาผู้ที่ต้องการพบตัวได้เช่นนี้

            “คุณชาย?”  เหมยซิงที่อยู่ใกล้ที่สุดออกมายืนขวาง แม้คนผู้นี้ทำท่าสนิทสนมกับอาหมาน แต่เขาจู่ ๆ เข้ามาแบบนี้ก็ไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 73. จบ

    “คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 72.   ลูกๆ 

    ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 71.  ว่าที่สะใภ้น้อย

    หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 70.  รับความดีความชอบ

    “ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 69.   ครึ่งปีต่อมา

    ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 68.  กลับมา

    นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status