เดือนสี่ ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเจ็ด
ยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังหมู่บ้านซีหลิน ดุจแพรไหมสีทองที่คลี่คลุมผืนปฐพี เสียงระฆังจากวัดท้ายหมู่บ้านดังกังวานแผ่วเบา ดุจเสียงเรียกจากสรวงสวรรค์
ตู้เยี่ยนอวี่ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราด้วยจิตใจที่สงบและปลอดโปร่ง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางมิเพียงแค่ร่ำเรียนวิชาการแพทย์และกำลังภายในเท่านั้น หากแต่ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับผู้คนในหมู่บ้าน
วันนี้นางมีนัดกับท่านผู้เฒ่าหลี่ หมอประจำหมู่บ้านที่เคยประจักษ์ในฝีมือของนางเมื่อคราวก่อน แม้จะเป็นผู้เฒ่า แต่ท่านผู้เฒ่าหลี่ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจเปิดกว้าง ยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมิได้ยึดติดกับความรู้เก่า ๆ เลย
“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ มาแต่เช้าเลยนะ” ท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ยามเห็นเยี่ยนอวี่ก้าวเข้ามาในเรือนยาของเขา
“คารวะท่านผู้เฒ่าหลี่เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ข้าเพียงอยากมาขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
“เชิญนั่งก่อนเถิด” ท่านผู้เฒ่าหลี่ผายมือเชิญไปยังที่นั่งว่าง “มิรู้ว่าวันนี้แม่นางมีข้อสงสัยอันใดหรือ ?”
ตู้เยี่ยนอวี่นั่งลงอย่างเรียบร้อย
“ข้ากำลังศึกษาตำราว่าด้วยการบำบัดรักษาโรคด้วยวิชาธาตุและเส้นลมปราณ แต่ยังมีบางส่วนที่ยังมิเข้าใจกระจ่างนัก โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนในกายได้อย่างสมบูรณ์แบบเจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่าหลี่พยักหน้าช้า ๆ “วิชาธาตุและเส้นลมปราณนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก การควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนได้นั้นต้องอาศัยทั้งการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และความเข้าใจในหลักแห่งธรรมชาติ”
เขาอธิบายถึงหลักการพื้นฐานของลมปราณ การไหลเวียนในเส้นชีพจรต่าง ๆ และความสัมพันธ์กับธาตุทั้งห้าในร่างกาย ตู้เยี่ยนอวี่รับฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งก็ซักถามข้อสงสัย บางครั้งก็ยกตัวอย่างจากตำราที่นางได้ศึกษามา เพื่อให้ท่านผู้เฒ่าหลี่อธิบายเพิ่มเติม
“หากเราสามารถควบคุมลมปราณได้ดุจสายน้ำที่ไหลเชี่ยว แต่มิได้ล้นหลาก ย่อมสามารถบำบัดรักษาโรคได้หลายหลาก” ท่านผู้เฒ่าหลี่กล่าว “แต่หากลมปราณติดขัด ดุจสายน้ำที่ถูกกั้น ย่อมก่อให้เกิดโรคภัยได้”
บทสนทนาระหว่างตู้เยี่ยนอวี่และท่านผู้เฒ่าหลี่ดำเนินไปอย่างยาวนาน ท่านผู้เฒ่าหลี่ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตให้แก่นางอย่างไม่ปิดบัง ส่วนตู้เยี่ยนอวี่ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่าหลี่ยิ่งนักเจ้าค่ะ คำชี้แนะของท่านช่วยให้ข้าเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้กระจ่างแจ้งยิ่งนัก” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“แม่นางตู้มิต้องกล่าวเช่นนั้นหรอก” ท่านผู้เฒ่าหลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น “ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณแม่นาง ที่ทำให้ข้าได้ทบทวนความรู้และเข้าใจวิชาเหล่านี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตู้เยี่ยนอวี่และท่านผู้เฒ่าหลี่ก็กลายเป็นดุจอาจารย์และศิษย์
ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการศึกษาค้นคว้าวิชาการแพทย์ นางมักจะไปเยี่ยมเยียนเรือนยาของท่านผู้เฒ่าหลี่เป็นประจำ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และปรึกษาหารือเกี่ยวกับกรณีผู้ป่วยต่าง ๆ
ยามสายฝนโปรยปรายลงมา ชะล้างความร้อนระอุจากผืนปฐพี
ตู้เยี่ยนอวี่ฝึกฝนกำลังภายในในห้องของตนเองอย่างเคร่งครัดยิ่งขึ้น ดุจนักรบที่ลับคมกระบี่ให้แกร่งกล้า นางมิเพียงแค่ฝึกตามตำราเท่านั้น หากแต่ยังนำคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าหลี่มาปรับใช้ด้วย
‘ลมปราณต้องเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจ’ เสียงท่านผู้เฒ่าหลี่ดังก้องในห้วงความคิดของนาง ‘เมื่อจิตสงบ ลมปราณย่อมไหลเวียนโดยไร้สิ่งกีดขวาง’
นางนั่งขัดสมาธิอย่างสงบนิ่ง ปิดเปลือกตาลงช้า ๆ หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ พยายามควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างราบรื่น จากจุดตันเถียนไปยังเส้นชีพจรต่าง ๆ
ครู่หนึ่ง ร่างกายของนางก็รู้สึกเบาสบายดุจปุยเมฆ พลังงานภายในไหลเวียนไปทั่วทุกอณู นางรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ดุจรากไม้ที่หยั่งลึกลงสู่พื้นดิน
“นี่คือความก้าวหน้าจากการฝึกฝน”
นางพึมพำกับตนเองด้วยความยินดี พลางลองยกมือขึ้น สัมผัสได้ถึงพลังงานที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือเล็กน้อย
นอกจากนี้ ตู้เยี่ยนอวี่ยังคงใช้ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ตนมี มาปรับใช้ในการช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง นางแนะนำให้ชาวบ้านรู้จักการต้มน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรค การรักษาความสะอาดของบาดแผลอย่างถูกวิธี และการดูแลสุขอนามัยในครัวเรือน เพื่อป้องกันโรคระบาดที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน
“ท่านป้าโจว ข้าแนะนำให้ท่านนำน้ำที่ใช้ดื่มไปต้มให้เดือดก่อนนะเจ้าคะ จะได้มั่นใจว่าน้ำสะอาดปราศจากเชื้อโรค” เยี่ยนอวี่กล่าวแนะนำหญิงชราคนหนึ่ง
ท่านป้าโจวพยักหน้า “คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างคิดได้ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก ข้าจะทำตามที่ท่านแนะนำทุกอย่างเจ้าค่ะ”
คำแนะนำของตู้เยี่ยนอวี่แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับมีผลอย่างยิ่งในการลดอัตราการเจ็บป่วยของชาวบ้าน โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด
ตู้เยี่ยนอวี่มักจะใช้เวลาในยามบ่ายไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนสอนหนังสือเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน โรงเรียนแห่งนี้สอนวิชาการอ่านเขียนและจริยธรรมให้แก่เด็ก ๆ ในหมู่บ้าน
“ท่านอาจารย์หลิว ข้าขออนุญาตมาช่วยงานท่านนะเจ้าคะ” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นกับชายชราผู้หนึ่งผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน
ท่านอาจารย์หลิวเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ แต่ก็เป็นผู้ที่เปิดกว้างและยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่นเดียวกับท่านผู้เฒ่าหลี่
“เชิญเถิดแม่นางตู้ การมาของท่านเป็นดุจสายลมที่พัดพาความสดชื่นมาสู่โรงเรียนแห่งนี้” ท่านอาจารย์หลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้ไปสอนหนังสือวิชาใดโดยตรง หากแต่ไปเพื่อสังเกตการณ์วิธีการสอน และนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ในการเรียนรู้ นางคอยแนะนำให้ท่านอาจารย์หลิวเพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง เช่น การนำพืชสมุนไพรมาให้เด็ก ๆ สังเกตและจดจำ หรือการเล่านิทานที่สอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรม
“หากเด็ก ๆ ได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ข้าคิดว่าพวกเขาก็คงจะสามารถจดจำได้ดีขึ้น” เยี่ยนอวี่กล่าวแนะนำ
ท่านอาจารย์หลิวรับฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“แนวคิดของแม่นางตู้ช่างล้ำลึกยิ่งนัก เอาไว้ข้าจะลองนำไปปรับใช้ดู”
นอกจากนี้ ตู้เยี่ยนอวี่ยังเริ่มสอนให้เด็ก ๆ ได้รู้จักวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ เช่น การห้ามเลือด การทำแผลเล็กน้อย หรือการปฐมพยาบาลเมื่อถูกแมลงกัดต่อย
“หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เด็ก ๆ ก็จะได้รู้จักวิธีช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ในเบื้องต้น” นางอธิบายให้ท่านอาจารย์หลิวฟัง
ท่านอาจารย์หลิวรู้สึกประทับใจในความรอบรู้และความเมตตาของตู้เยี่ยนอวี่เป็นอย่างมาก
“แม่นางตู้ ท่านช่างเป็นสตรีที่เปี่ยมด้วยปัญญาและคุณธรรมยิ่งนัก หากบุตรสาวของข้าได้ครึ่งหนึ่งของแม่นาง ก็คงจะเป็นบุญของข้าแล้ว” ท่านอาจารย์หลิวกล่าวสรรเสริญ
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบอย่างถ่อมตน นางมิได้ปรารถนาคำสรรเสริญเยินยอใด ๆ หากแต่ปรารถนาเพียงการได้เห็นผู้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น และได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ยามราตรี ดุจม่านไหมสีดำที่คลี่คลุมโลกหล้า
ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองดวงจันทร์ที่ทอแสงนวลผ่อง ความสุขสงบที่ได้รับจากการช่วยเหลือผู้อื่น และการได้เห็นผู้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้นนั้น เปรียบดุจน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงจิตใจของนางให้เปี่ยมสุข
“ชีวิตมิได้อยู่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น” นางรำพึงรำพันกับตนเอง “แต่ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณค่า คือชีวิตที่ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น”
ยามฟ้าครามสดใส แสงตะวันสาดส่องลงมายังผืนดินร้อนระอุ แม้ไอแดดจะแผดจ้าเพียงใด แต่ก็มิอาจห้ามยั้งความตั้งใจของตู้เยี่ยนอวี่ได้เลยนางยังคงฝึกฝนวิชากำลังภายในอย่างมุ่งมั่น บริเวณลานหลังบ้านที่เงียบสงบ ต้นไผ่ที่ปลูกเรียงรายส่งเสียงเสียดสีกันตามแรงลม ดุจเสียงกระซิบจากธรรมชาติที่ช่วยให้นางเข้าถึงสมาธิได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนางเคลื่อนไหวช้า ๆ แต่แฝงด้วยความแข็งแกร่งและคล่องแคล่ว ดุจกระเรียนที่กำลังร่ายรำเพลงยุทธ์ ท่วงท่าแต่ละท่วงท่าล้วนเชื่อมโยงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ลมปราณในกายไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอ ดุจสายน้ำที่ไหลรินในลำธารที่แห้งแล้งบัดนี้นางสามารถควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น“ลมหายใจต้องเป็นหนึ่งเดียวกับลมปราณ” เสียงคำสอนในตำราดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของนาง “เมื่อจิตมั่นคง ลมปราณย่อมบริสุทธิ์และไหลเวียนได้อย่างไร้ขีดจำกัด”ในทุก ๆ วันนางจะใช้เวลาในยามเช้าตรู่และยามค่ำคืนในการฝึกฝนวิชากำลังภายใน บางครั้งก็ฝึกซ้อมท่ารำมวยจีนโบราณ บางครั้งก็นั่งสมาธิเพื่อปรับลมปราณให้สมดุล แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่นางก็มิเคยท้อถอย เพราะรู้ดีว่าการฝึกฝนเหล่านี้จะช่วยให้ร
เดือนสี่ ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเจ็ดยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังหมู่บ้านซีหลิน ดุจแพรไหมสีทองที่คลี่คลุมผืนปฐพี เสียงระฆังจากวัดท้ายหมู่บ้านดังกังวานแผ่วเบา ดุจเสียงเรียกจากสรวงสวรรค์ตู้เยี่ยนอวี่ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราด้วยจิตใจที่สงบและปลอดโปร่ง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางมิเพียงแค่ร่ำเรียนวิชาการแพทย์และกำลังภายในเท่านั้น หากแต่ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับผู้คนในหมู่บ้านวันนี้นางมีนัดกับท่านผู้เฒ่าหลี่ หมอประจำหมู่บ้านที่เคยประจักษ์ในฝีมือของนางเมื่อคราวก่อน แม้จะเป็นผู้เฒ่า แต่ท่านผู้เฒ่าหลี่ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจเปิดกว้าง ยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมิได้ยึดติดกับความรู้เก่า ๆ เลย“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ มาแต่เช้าเลยนะ” ท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ยามเห็นเยี่ยนอวี่ก้าวเข้ามาในเรือนยาของเขา“คารวะท่านผู้เฒ่าหลี่เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ข้าเพียงอยากมาขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”“เชิญนั่งก่อนเถิด” ท่านผู้เฒ่าหลี่ผายมือเชิญไปยังที่นั่งว่าง “มิรู้ว่าวันนี้แม่นางมีข้อสงสัยอันใดหรือ ?”ตู้เยี่ยนอวี่นั่งลงอย่างเรียบร้อย“ข้ากำลังศึกษาต
ยามตรุษวสันต์¹เวียนมาบรรจบ อากาศยังคงเย็นยะเยือกทว่าภายในเรือนเล็กของสกุลตู้กลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและบรรยากาศอันผ่อนคลาย ตู้เยี่ยนอวี่ในวัยสิบห้าปีบริบูรณ์ นั่งอยู่บนเสื่อฟางผืนบางภายในห้องของตนเอง ดวงตาหลับพริ้ม ใบหน้าสงบนิ่ง ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เป็นจังหวะที่มิเร่งร้อน มิช้าเกินไปนี่มิใช่การพักผ่อนธรรมดา หากแต่เป็นการฝึกฝนวิชากำลังภายในจากม้วนคัมภีร์เก่าแก่ที่นางค้นพบโดยบังเอิญเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ตำราจะเขียนด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจในตอนแรก แต่ด้วยความเพียรพยายามและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ตู้เยี่ยนอวี่ก็ค่อย ๆ ตีความและทำความเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้ทีละน้อย‘ลมปราณคือรากฐานแห่งชีวิต พลังงานหมุนเวียนในกายเปรียบดุจแม่น้ำที่ไหลหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง’ เสียงท่องจำในตำราดังขึ้นในห้วงความคิดของนาง ‘หากแม่น้ำบริสุทธิ์และไหลเวียนสะดวก ร่างกายย่อมแข็งแรงและอายุยืนยาว’นางจินตนาการถึงเส้นลมปราณในร่างกายของตนเอง แต่สัมผัสได้ถึงกระแสพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ทุกครั้งที่ลมปราณไหลเวียนผ่านจุดชีพจรสำคัญ ความรู้สึกร้อนวูบวาบก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างแรกเริ่ม การฝึกฝนเป็นไปด้วยความยากลำบาก นางมิอาจคว
ยามลมหนาวเริ่มพัดโชยมา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลัดใบ ทิ้งความเขียวชอุ่มของฤดูร้อนไว้เบื้องหลัง ทว่าในใจของตู้เยี่ยนอวี่กลับมิได้มีแม้แต่ความเหี่ยวเฉา ดุจบุปผาที่ไม่เคยโรยรา ชื่อเสียงของหมอเทวดาตูได้แผ่ขยายออกไปไกลกว่าที่นางคาดคิด ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเริ่มเดินทางมาขอความช่วยเหลือมิขาดสาย ตั้งแต่ยามอรุณรุ่งจนกระทั่งยามสนธยา“คุณหนูเจ้าคะ มีชาวบ้านจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาขอพบเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูรายงานด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตากลับเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวนายหญิงของตนตู้เยี่ยนอวี่ที่กำลังจัดเรียงสมุนไพรในห้องปรุงยา หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน“เชิญเขาเข้ามาเถิดเสี่ยวจู”ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ใบหน้าฉายแววความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาววัยราวสิบขวบปีที่กำลังไอโขลก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด นางป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไอจนตัวโยน แทบจะขาดใจแล้วขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยนอวี่ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงชายผู้นั้นขึ้น“ท่านลุงมิต้องทำเช่นนั้นเจ้
ยามตะวันคล้อยต่ำ แสงสีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำในลำธารซีหลิน ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดุจดวงดาวนับร้อยที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าตู้เยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมท่าน้ำ มือเรียวบางกำลังซักผ้าอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าสตรีในหมู่บ้านที่กำลังทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนรู้งานบ้านงานเรือนเหล่านี้เป็นดั่งบทเรียนสำคัญที่ทำให้นางเข้าใจชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านไป นางมีใบหน้ายิ้มแย้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม“ท่านป้ากล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยรอยยิ้มงดงาม ดุจดอกเหมยยามแรกแย้ม “ข้าเพียงช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”คำพูดของนางดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ยากที่จะมีใครล่วงรู้ว่าเบื้องลึกในจิตใจของสตรีผู้นี้ ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำจากโลกที่ห่างไกลออกไปนับพันปีหลังจากกลับจากท่าน้ำเยี่ยนอวี่ก็ตรงไปยังห้องสมุดของตระกูลทันที ห้องสมุดแห่งนี้เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยชั้นดีสำหรับนาง เป็นสถานที่ที่นางสามารถดำดิ่งลงไปในโลกที่เต็มไปด้วยความรู้ และค้นพบหนทางที่จะใช้ชีวิต
ยามอรุณเบิกฟ้า แสงเงินยวงของรุ่งอรุณทาบทาผืนฟ้าสีคราม ส่งมอบความอบอุ่นแก่โลกหล้า แม้จิตใจของตู้เยี่ยนอวี่จะยังคงสับสนดุจเรือน้อยกลางทะเลกว้าง แต่กายเนื้อกลับเริ่มฟื้นฟูคืนกำลังทีละน้อยเสียงเจื้อยแจ้วของนกน้อยนอกหน้าต่าง และกลิ่นไอดินที่ลอยมาตามสายลมยามเช้า ล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในโสตประสาทของนาง¹“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูผู้เป็นดุจเงาตามตัวของนาง เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารเช้าที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมกรุ่น “ฮูหยินสั่งให้บ่าวทำโจ๊กสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้เจ้าค่ะ”ตู้เยี่ยนอวี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังเสี่ยวจูที่กำลังจัดสำรับอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางของนางดูเป็นธรรมชาติและคุ้นเคย ดุจพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน แตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าวที่นางเคยจินตนาการไว้จากนวนิยายโบราณโดยสิ้นเชิง“ข้ามิได้เป็นอันใดแล้ว” เยี่ยนอวี่ตอบเสียงเบา พลางพยุงกายขึ้นนั่งพิงหมอน “แค่ยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง”เสี่ยวจูส่งถ้วยโจ๊กมาให้ เยี่ยนอวี่จึงรับมาถือไว้สัมผัสถึงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากถ้วย หน้าตาของโจ๊กนั้นขาวนวล มีกลิ่นหอมของข้าวและสมุนไพรบางชนิดลอยแตะจมูก“คุณหนูต้อ