เดือนสี่ ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเจ็ด
ยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังหมู่บ้านซีหลิน ดุจแพรไหมสีทองที่คลี่คลุมผืนปฐพี เสียงระฆังจากวัดท้ายหมู่บ้านดังกังวานแผ่วเบา ดุจเสียงเรียกจากสรวงสวรรค์
ตู้เยี่ยนอวี่ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราด้วยจิตใจที่สงบและปลอดโปร่ง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางมิเพียงแค่ร่ำเรียนวิชาการแพทย์และกำลังภายในเท่านั้น หากแต่ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับผู้คนในหมู่บ้าน
วันนี้นางมีนัดกับท่านผู้เฒ่าหลี่ หมอประจำหมู่บ้านที่เคยประจักษ์ในฝีมือของนางเมื่อคราวก่อน แม้จะเป็นผู้เฒ่า แต่ท่านผู้เฒ่าหลี่ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจเปิดกว้าง ยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมิได้ยึดติดกับความรู้เก่า ๆ เลย
“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ มาแต่เช้าเลยนะ” ท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ยามเห็นเยี่ยนอวี่ก้าวเข้ามาในเรือนยาของเขา
“คารวะท่านผู้เฒ่าหลี่เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ข้าเพียงอยากมาขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
“เชิญนั่งก่อนเถิด” ท่านผู้เฒ่าหลี่ผายมือเชิญไปยังที่นั่งว่าง “มิรู้ว่าวันนี้แม่นางมีข้อสงสัยอันใดหรือ ?”
ตู้เยี่ยนอวี่นั่งลงอย่างเรียบร้อย
“ข้ากำลังศึกษาตำราว่าด้วยการบำบัดรักษาโรคด้วยวิชาธาตุและเส้นลมปราณ แต่ยังมีบางส่วนที่ยังมิเข้าใจกระจ่างนัก โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนในกายได้อย่างสมบูรณ์แบบเจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่าหลี่พยักหน้าช้า ๆ “วิชาธาตุและเส้นลมปราณนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก การควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนได้นั้นต้องอาศัยทั้งการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และความเข้าใจในหลักแห่งธรรมชาติ”
เขาอธิบายถึงหลักการพื้นฐานของลมปราณ การไหลเวียนในเส้นชีพจรต่าง ๆ และความสัมพันธ์กับธาตุทั้งห้าในร่างกาย ตู้เยี่ยนอวี่รับฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งก็ซักถามข้อสงสัย บางครั้งก็ยกตัวอย่างจากตำราที่นางได้ศึกษามา เพื่อให้ท่านผู้เฒ่าหลี่อธิบายเพิ่มเติม
“หากเราสามารถควบคุมลมปราณได้ดุจสายน้ำที่ไหลเชี่ยว แต่มิได้ล้นหลาก ย่อมสามารถบำบัดรักษาโรคได้หลายหลาก” ท่านผู้เฒ่าหลี่กล่าว “แต่หากลมปราณติดขัด ดุจสายน้ำที่ถูกกั้น ย่อมก่อให้เกิดโรคภัยได้”
บทสนทนาระหว่างตู้เยี่ยนอวี่และท่านผู้เฒ่าหลี่ดำเนินไปอย่างยาวนาน ท่านผู้เฒ่าหลี่ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตให้แก่นางอย่างไม่ปิดบัง ส่วนตู้เยี่ยนอวี่ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่าหลี่ยิ่งนักเจ้าค่ะ คำชี้แนะของท่านช่วยให้ข้าเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้กระจ่างแจ้งยิ่งนัก” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“แม่นางตู้มิต้องกล่าวเช่นนั้นหรอก” ท่านผู้เฒ่าหลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น “ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณแม่นาง ที่ทำให้ข้าได้ทบทวนความรู้และเข้าใจวิชาเหล่านี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตู้เยี่ยนอวี่และท่านผู้เฒ่าหลี่ก็กลายเป็นดุจอาจารย์และศิษย์
ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการศึกษาค้นคว้าวิชาการแพทย์ นางมักจะไปเยี่ยมเยียนเรือนยาของท่านผู้เฒ่าหลี่เป็นประจำ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และปรึกษาหารือเกี่ยวกับกรณีผู้ป่วยต่าง ๆ
ยามสายฝนโปรยปรายลงมา ชะล้างความร้อนระอุจากผืนปฐพี
ตู้เยี่ยนอวี่ฝึกฝนกำลังภายในในห้องของตนเองอย่างเคร่งครัดยิ่งขึ้น ดุจนักรบที่ลับคมกระบี่ให้แกร่งกล้า นางมิเพียงแค่ฝึกตามตำราเท่านั้น หากแต่ยังนำคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าหลี่มาปรับใช้ด้วย
‘ลมปราณต้องเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจ’ เสียงท่านผู้เฒ่าหลี่ดังก้องในห้วงความคิดของนาง ‘เมื่อจิตสงบ ลมปราณย่อมไหลเวียนโดยไร้สิ่งกีดขวาง’
นางนั่งขัดสมาธิอย่างสงบนิ่ง ปิดเปลือกตาลงช้า ๆ หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ พยายามควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างราบรื่น จากจุดตันเถียนไปยังเส้นชีพจรต่าง ๆ
ครู่หนึ่ง ร่างกายของนางก็รู้สึกเบาสบายดุจปุยเมฆ พลังงานภายในไหลเวียนไปทั่วทุกอณู นางรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ดุจรากไม้ที่หยั่งลึกลงสู่พื้นดิน
“นี่คือความก้าวหน้าจากการฝึกฝน”
นางพึมพำกับตนเองด้วยความยินดี พลางลองยกมือขึ้น สัมผัสได้ถึงพลังงานที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือเล็กน้อย
นอกจากนี้ ตู้เยี่ยนอวี่ยังคงใช้ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ตนมี มาปรับใช้ในการช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง นางแนะนำให้ชาวบ้านรู้จักการต้มน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรค การรักษาความสะอาดของบาดแผลอย่างถูกวิธี และการดูแลสุขอนามัยในครัวเรือน เพื่อป้องกันโรคระบาดที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน
“ท่านป้าโจว ข้าแนะนำให้ท่านนำน้ำที่ใช้ดื่มไปต้มให้เดือดก่อนนะเจ้าคะ จะได้มั่นใจว่าน้ำสะอาดปราศจากเชื้อโรค” เยี่ยนอวี่กล่าวแนะนำหญิงชราคนหนึ่ง
ท่านป้าโจวพยักหน้า “คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างคิดได้ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก ข้าจะทำตามที่ท่านแนะนำทุกอย่างเจ้าค่ะ”
คำแนะนำของตู้เยี่ยนอวี่แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับมีผลอย่างยิ่งในการลดอัตราการเจ็บป่วยของชาวบ้าน โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด
ตู้เยี่ยนอวี่มักจะใช้เวลาในยามบ่ายไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนสอนหนังสือเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน โรงเรียนแห่งนี้สอนวิชาการอ่านเขียนและจริยธรรมให้แก่เด็ก ๆ ในหมู่บ้าน
“ท่านอาจารย์หลิว ข้าขออนุญาตมาช่วยงานท่านนะเจ้าคะ” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นกับชายชราผู้หนึ่งผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน
ท่านอาจารย์หลิวเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ แต่ก็เป็นผู้ที่เปิดกว้างและยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่นเดียวกับท่านผู้เฒ่าหลี่
“เชิญเถิดแม่นางตู้ การมาของท่านเป็นดุจสายลมที่พัดพาความสดชื่นมาสู่โรงเรียนแห่งนี้” ท่านอาจารย์หลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้ไปสอนหนังสือวิชาใดโดยตรง หากแต่ไปเพื่อสังเกตการณ์วิธีการสอน และนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ในการเรียนรู้ นางคอยแนะนำให้ท่านอาจารย์หลิวเพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง เช่น การนำพืชสมุนไพรมาให้เด็ก ๆ สังเกตและจดจำ หรือการเล่านิทานที่สอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรม
“หากเด็ก ๆ ได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ข้าคิดว่าพวกเขาก็คงจะสามารถจดจำได้ดีขึ้น” เยี่ยนอวี่กล่าวแนะนำ
ท่านอาจารย์หลิวรับฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“แนวคิดของแม่นางตู้ช่างล้ำลึกยิ่งนัก เอาไว้ข้าจะลองนำไปปรับใช้ดู”
นอกจากนี้ ตู้เยี่ยนอวี่ยังเริ่มสอนให้เด็ก ๆ ได้รู้จักวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ เช่น การห้ามเลือด การทำแผลเล็กน้อย หรือการปฐมพยาบาลเมื่อถูกแมลงกัดต่อย
“หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เด็ก ๆ ก็จะได้รู้จักวิธีช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ในเบื้องต้น” นางอธิบายให้ท่านอาจารย์หลิวฟัง
ท่านอาจารย์หลิวรู้สึกประทับใจในความรอบรู้และความเมตตาของตู้เยี่ยนอวี่เป็นอย่างมาก
“แม่นางตู้ ท่านช่างเป็นสตรีที่เปี่ยมด้วยปัญญาและคุณธรรมยิ่งนัก หากบุตรสาวของข้าได้ครึ่งหนึ่งของแม่นาง ก็คงจะเป็นบุญของข้าแล้ว” ท่านอาจารย์หลิวกล่าวสรรเสริญ
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบอย่างถ่อมตน นางมิได้ปรารถนาคำสรรเสริญเยินยอใด ๆ หากแต่ปรารถนาเพียงการได้เห็นผู้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น และได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ยามราตรี ดุจม่านไหมสีดำที่คลี่คลุมโลกหล้า
ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองดวงจันทร์ที่ทอแสงนวลผ่อง ความสุขสงบที่ได้รับจากการช่วยเหลือผู้อื่น และการได้เห็นผู้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้นนั้น เปรียบดุจน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงจิตใจของนางให้เปี่ยมสุข
“ชีวิตมิได้อยู่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น” นางรำพึงรำพันกับตนเอง “แต่ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณค่า คือชีวิตที่ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น”
เสมือนสายพิณที่ขาดสะบั้นลงกลางบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสิ้นเสียงรายงานการเคลื่อนทัพของรองแม่ทัพจ้าวคุน บรรยากาศอันงดงามในศาลากลางน้ำพลันแหลกสลายลงในพริบตา ไอสังหารที่เคยแฝงเร้น บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนขึ้นอย่างชัดเจนใบหน้าของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางผู้ภักดีซีดเผือดราวกับกระดาษ การเคลื่อนทัพโดยพลการในยามนี้ มีความหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการก่อกบฏ!หน้ากากขุนนางผู้ภักดีที่เสนาบดีหลิวเจิ้งสวมใส่มานานหลายสิบปี บัดนี้ได้ถูกกระชากออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอสรพิษเฒ่าผู้กระหายในราชบัลลังก์“หลิวเจิ้ง! เจ้า... เจ้าบังอาจ!” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทาด้วยโทสะทว่าพยัคฆ์เฒ่าที่จนตรอก ย่อมเป็นพยัคฆ์ที่อันตรายที่สุดหลิวเจิ้งมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งและน่าขนพองสยองเกล้า“ฮ่า ๆๆๆ! ในเมื่อพวกเจ้าฉีกหน้ากากของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป!” เขากล่าวพลางปรายตามองทุกคนด้วยแววตาที่อำมหิต “เดิมทีข้าคิดจะค่อย ๆ กลืนกินแผ่นด
ในชั่ววินาทีที่พระพันปีหลวงตรัสถึงคดีของตระกูลมู่หรง อากาศทั่วทั้งศาลากลางน้ำพลันเยียบเย็นลงราวกับย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในบัดดล รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเจิ้งมิได้จางหาย แต่กลับแข็งค้างดุจหน้ากากน้ำแข็งที่กำลังปริร้าว เผยให้เห็นรอยแยกของความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ภายในทว่าอสรพิษเฒ่าที่ขดตัวอยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปี ย่อมมิใช่ผู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์โดยง่าย“ฮ่า ๆๆ”เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบงัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดจากการถูกหยามเกียรติ“พระพันปีหลวงทรงมีพระเมตตา ยังทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของขุนนางเก่าแก่อย่างกระหม่อมได้” เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น “น่าเสียดาย... ที่วัยชราได้พรากความทรงจำอันเฉียบคมของกระหม่อมไปเสียมากแล้ว คดีเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นช่างเลือนรางนัก แต่กระหม่อมจำได้เพียงว่า ทุกการตัดสินโทษในชีวิตราชการของกระหม่อม ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินและเพื่อสนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทเสมอมา”เขาเปลี่ยนจากการเป็นจำเลยมาเป็นผู้ถูกกระทำไ
ศาลากลางสระบัวในวันนี้งดงามและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ประหนึ่งเกาะหยกที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลมรกตที่เต็มไปด้วยใบบัว สายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ นำพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเกสรบัวหลวงมาด้วย ทว่าภายใต้ความงามอันสงบสุขนั้น กลับมิอาจพัดพาไอสังหารที่แฝงเร้นอยู่ในอากาศให้จางหายไปได้ขบวนเสลี่ยงของเสนาบดีหลิวเจิ้งมาถึงเป็นคนแรก เขาก้าวลงจากเสลี่ยงด้วยท่วงท่าที่สุขุมและสง่างามสมตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ในส่วนลึกของดวงตาที่ผ่านโลกมาจนโชกโชนนั้นกลับเยียบเย็นตามมาด้วยขบวนขององค์ชายจ้าวเฟิง เขามาในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายพยัคฆ์ซ่อนกายในพงไพร ดูองอาจและเปี่ยมด้วยบารมี รอยยิ้มของเขายังคงเป็นมิตรและน่าคบหา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า มันเป็นรอยยิ้มของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มิใช่รอยยิ้มของสหายผู้มาเยือนเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ณ ศาลากลางน้ำพระพันปีหลวงในฐานะประธานของงานเลี้ยง ก็ได้มีรับสั่งให้เริ่มพิธีชงชาชั้นสูง นางกำนัลคนสนิทค่อย ๆ บรรจงรินน้ำร้อนลงบนใบชาต้าหงเผาอันล้ำค่า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่วศาลา
ในตำหนักหมื่นวสันต์ที่เงียบสงบ บัญชีมรณะเล่มนั้นได้กลายเป็นเถ้าธุลีในกระถางทองเหลืองไปแล้ว แต่ทุกตัวอักษรที่เคยจารึกไว้ ได้ประทับลงในพระทัยของอย่างมิอาจลบเลือน พระพันปีหลวงผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวและคลื่นลมในราชสำนักมาค่อนชีวิต บัดนี้แววพระเนตรของพระนางนิ่งสงบและเยียบเย็นดุจผืนน้ำใต้ธารน้ำแข็ง“ในเมื่อรากแก้วของต้นไม้พิษมันฝังลึกถึงเพียงนี้ การถอนรากถอนโคนในคราวเดียว ย่อมทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน” พระนางตรัสกับองค์หญิงลี่หัวและพระสนมหลี่ที่อยู่เบื้องหน้า “เราจะมิโค่นต้นไม้ แต่เราจะลิดกิ่งก้านของมันทีละกิ่ง ล่ออสรพิษให้ออกมาจากโพรงด้วยตัวเอง”พระนางมิได้มีราชโองการให้จับกุมผู้ใดในทันที แต่กลับมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงน้ำชาชมราชสาส์นขึ้นเป็นการส่วนพระองค์ในอีกสามวันข้างหน้า ณ ศาลากลางสระบัว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหารือเป็นการภายในถึงข้อเสนออภิเษกสมรสขององค์ชายจ้าวเฟิง และเพื่อพิจารณาราชสาส์นจากแคว้นอื่นที่ส่งมาถวายพระพรในวาระที่ฝ่าบาททรงหายจากพระอาการประชวรเป็นการเดินหมากที่แยบยลและเลือดเย็นที่สุด ผู้ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้มีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นหัวใจของขั้วอำนาจทั้งหมด ฝ่า
แสงจันทร์มิอาจสาดส่องถึงห้องลับใต้ดินของสำนักพันเงา ที่ซึ่งบรรยากาศหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่ารัตติกาลในฤดูเหมันต์ บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ใจกลางห้อง บัญชีมรณะเล่มนั้นวางแผ่หลาอยู่ แต่ทุกตัวอักษรที่จารึกไว้ด้วยพู่กันกลับหนักอึ้งดุจชะตากรรมของแผ่นดิน รอยแผลของนายหญิงแห่งเงาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดจากตู้เยี่ยนอวี่ แม้ร่างกายจะเจ็บปวด แต่ในแววตาของนางกลับลุกโชนไปด้วยไฟแค้นที่รอวันสะสาง“หลิวเจิ้งคือรากแก้วของต้นไม้พิษต้นนี้” กู้เหยียนหลงกล่าวทำลายความเงียบ นัยน์ตาคมกริบของเขาทอประกายกร้าว “การโค่นล้มเขาในยามนี้ที่มันยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในราชสำนัก ไม่ต่างอะไรกับการเอากายเข้าปะทะคมดาบ”“ท่านแม่ทัพกล่าวถูกแล้ว” จางอู๋จีเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สายข่าวของข้ารายงานว่า บัดนี้จวนเสนาบดีและการป้องกันวังหลวงถูกยกระดับขึ้นสูงสุด ประหนึ่งค่ายทหารที่พร้อมรับศึก เรามิอาจใช้กำลังบุกเข้าไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง”ท่ามกลางความตึงเครียดนั้น มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่ที่ยังคงสงบนิ่ง นางวางสมุนไพรในมือลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยปัญญาอันล้ำลึก“ในเมื่อประตูหน้าเต็มไปด้วยกองทัพหมาป
ครืน... ครืน...เสียงหินบดขยี้กันดังก้องสะท้าน ราวกับเสียงกรามของมังกรที่กำลังจะขย้ำเหยื่อให้แหลกสลาย ผนังห้องทั้งสี่ด้านเคลื่อนตัวบีบอัดเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่หนักหน่วงและไม่อาจต้านทานได้ ฝุ่นผงและเศษปูนร่วงหล่นลงมาจากเพดานราวกับห่าฝน“เรามีเวลาไม่ถึงสิบห้าลมหายใจ!” หนึ่งในแมวเงาตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตระหนกกู้เหยียนหลงและนายหญิงแห่งเงาพุ่งเข้าไปใช้ฝ่ามือยันผนังที่เคลื่อนเข้ามาทันที พลังลมปราณของทั้งสองระเบิดออกอย่างเต็มที่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ชะลอความเร็วของมันลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันหนักหน่วงเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะต้านทานไหว“ไร้ประโยชน์! นี่คือกลไกตายตัว!” กู้เหยียนหลงกัดฟันพูด ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดในขณะที่ทุกคนกำลังจะสิ้นหวัง ตู้เยี่ยนอวี่กลับมีสายตาที่สว่างวาบขึ้น นางมิได้มองไปยังผนัง แต่นางกลับจ้องลึกลงไปในช่องลับใต้พื้นที่ว่างเปล่าหลังจากที่หยิบหีบออกมาแล้ว“ช่องลับนั่น!” นางร้องบอกทุกคน “มันมิใช่แค่ช่องเก็บของ แต่มันคือกลไก รูปปั้นพระพุทธองค์มิใช่แค่กุญแจเปิด แต่เป็นตุ้มถ่วงน้