ยามฟ้าครามสดใส แสงตะวันสาดส่องลงมายังผืนดินร้อนระอุ แม้ไอแดดจะแผดจ้าเพียงใด แต่ก็มิอาจห้ามยั้งความตั้งใจของตู้เยี่ยนอวี่ได้เลย
นางยังคงฝึกฝนวิชากำลังภายในอย่างมุ่งมั่น บริเวณลานหลังบ้านที่เงียบสงบ ต้นไผ่ที่ปลูกเรียงรายส่งเสียงเสียดสีกันตามแรงลม ดุจเสียงกระซิบจากธรรมชาติที่ช่วยให้นางเข้าถึงสมาธิได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
นางเคลื่อนไหวช้า ๆ แต่แฝงด้วยความแข็งแกร่งและคล่องแคล่ว ดุจกระเรียนที่กำลังร่ายรำเพลงยุทธ์ ท่วงท่าแต่ละท่วงท่าล้วนเชื่อมโยงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ลมปราณในกายไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอ ดุจสายน้ำที่ไหลรินในลำธารที่แห้งแล้ง
บัดนี้นางสามารถควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
“ลมหายใจต้องเป็นหนึ่งเดียวกับลมปราณ” เสียงคำสอนในตำราดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของนาง “เมื่อจิตมั่นคง ลมปราณย่อมบริสุทธิ์และไหลเวียนได้อย่างไร้ขีดจำกัด”
ในทุก ๆ วันนางจะใช้เวลาในยามเช้าตรู่และยามค่ำคืนในการฝึกฝนวิชากำลังภายใน บางครั้งก็ฝึกซ้อมท่ารำมวยจีนโบราณ บางครั้งก็นั่งสมาธิเพื่อปรับลมปราณให้สมดุล แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่นางก็มิเคยท้อถอย เพราะรู้ดีว่าการฝึกฝนเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจของนางแข็งแกร่งขึ้น
“คุณหนู ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก” เสี่ยวจูเอ่ยขึ้นยามเห็นเยี่ยนอวี่กำลังฝึกซนอยู่กลางแดดจ้า นางนำน้ำชามาให้คุณหนูของตน “ดื่มน้ำเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่รับถ้วยน้ำชามาดื่ม ใบหน้าของนางมีหยาดเหงื่อผุดพราย แต่แววตากลับเปล่งประกายแห่งความมุ่งมั่น
“ข้ามิได้เหนื่อยอันใดหรอกเสี่ยวจู การฝึกฝนนี้เป็นดุจการบำเพ็ญเพียร เพื่อให้กายและใจแข็งแกร่งขึ้น”
เสี่ยวจูยิ้มอย่างชื่นชม “ฮูหยินกับท่านผู้เฒ่าต่างก็กล่าวถึงคุณหนูว่าช่างเป็นเด็กที่มีความเพียรพยายามยิ่งนักเจ้าค่ะ”
คำพูดของเสี่ยวจูทำให้เยี่ยนอวี่รู้สึกอบอุ่นในใจ แม้จะมาจากต่างภพภูมิ แต่นางก็ได้รับความรักและความเข้าใจจากครอบครัวใหม่นี้อย่างเต็มเปี่ยม
ยามฤดูใบไม้ร่วงเริ่มมาเยือน ท้องฟ้าเริ่มมีสีหม่นหมอง
ตู้เยี่ยนอวี่สังเกตเห็นว่าในช่วงนี้มีชาวบ้านหลายคนเริ่มมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาด อาการคล้ายไข้หวัด แต่กลับมีอาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และมีผื่นแดงขึ้นตามตัว คล้ายกับโรคไข้ป่าที่เคยเกิดขึ้นในโลกเดิมของนาง
“ท่านป้าอิง บุตรชายของท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่เอ่ยถามหญิงชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้าน บุตรชายของนางนอนซมอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายสั่นเทิ้ม
“หมอเทวดาตู้ ! ขอท่านโปรดช่วยบุตรชายของข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ” ป้าอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “เขาป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาของหมอหลี่ก็ยังมิหายเลยเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่คุกเข่าลงข้างกายบุตรชายของป้าอิง มือเรียวบางสัมผัสที่หน้าผากที่ร้อนรุ่ม ดุจเหล็กร้อนที่กำลังเผาไหม้ นางตรวจดูชีพจรและลิ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“นี่คืออาการของโรคไข้ป่า” นางพึมพำกับตนเอง “พิษไข้สะสมอยู่ในเส้นลมปราณ ทำให้ลมปราณติดขัด และเกิดอาการปวดตามข้อต่อ”
นางหันไปหาป้าอิง “ป้าอิง มิเป็นไรเจ้าค่ะ โรคนี้มิได้ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ต้องรักษาอย่างถูกวิธี”
เยี่ยนอวี่สั่งให้เสี่ยวจูนำน้ำสะอาดกับผ้ามาให้ นางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้เด็กหนุ่มอย่างเบามือ เพื่อลดไข้ พร้อมกับนึกย้อนถึงความรู้เรื่องสมุนไพรที่ใช้รักษาไข้ป่าในโลกเดิม
“ท่านป้าอิง ในบ้านมีต้นสะเดา หรือกระเพราป่าหรือไม่เจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่ถาม
ป้าอิงพยักหน้า “มีเจ้าค่ะ มีอยู่ในสวนหลังบ้าน”
“นำมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าว
เมื่อได้สมุนไพรมาแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็นำมาบดรวมกันแล้วนำไปต้มกับน้ำ ดุจการปรุงยาอายุวัฒนะ นางสั่งให้เด็กหนุ่มดื่มน้ำสมุนไพรนี้ทุกวัน และให้พักผ่อนให้เพียงพอ
“น้ำสมุนไพรนี้จะช่วยขับพิษไข้ในกาย และช่วยให้ลมปราณไหลเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น” นางอธิบาย
ในตอนแรกชาวบ้านบางคนก็ยังคงไม่เชื่อมั่นในวิธีการรักษาของตู้เยี่ยนอวี่ เพราะเป็นวิธีที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่เมื่อเห็นว่าอาการของบุตรชายป้าอิงเริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ผื่นแดงเริ่มจางลง และไข้ลดลง ผู้คนก็เริ่มกลับมาเชื่อมั่นในตัวนางอีกครา
“หมอเทวดาตู้ช่างเก่งกาจยิ่งนัก !” ชาวบ้านต่างพากันกล่าวชื่นชม “โรคที่หมอคนอื่นรักษามิได้ แต่หมอเทวดาตู้กลับรักษาให้หายได้”
หลังจากนั้นตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มดำเนินการป้องกันโรคไข้ป่าในหมู่บ้าน นางแนะนำให้ชาวบ้านทำความสะอาดบริเวณรอบบ้าน โดยเฉพาะแหล่งน้ำนิ่งที่อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
“ยุงลายเป็นพาหะนำโรคไข้ป่า หากเรากำจัดยุงลายได้ เราก็จะสามารถป้องกันโรคได้เจ้าค่ะ” นางอธิบายให้ชาวบ้านฟัง
นางยังสอนวิธีทำน้ำสมุนไพรขับไล่ยุงง่าย ๆ จากพืชสมุนไพรในท้องถิ่น เช่น ตะไคร้หอม หรือเปลือกส้ม เพื่อให้ชาวบ้านนำไปใช้ในครัวเรือน
คำแนะนำของตู้เยี่ยนอวี่แม้จะดูเรียบง่าย แต่กลับมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง อัตราการเกิดโรคไข้ป่าในหมู่บ้านซีหลินลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดุจเปลวเพลิงที่มอดดับลงไป
ยามฟ้าครามสลับกับเมฆหมอก ตู้เยี่ยนอวี่สังเกตเห็นว่าในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว มีชาวบ้านหลายคนประสบปัญหาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และอาการบาดเจ็บจากการทำงานหนัก นางจึงริเริ่มโครงการดูแลสุขภาพของชาวบ้านอย่างจริงจังยิ่งขึ้น
“ท่านลุงเหอ ท่านปวดหลังมากใช่หรือไม่เจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่เอ่ยถามชายสูงวัยผู้หนึ่งที่กำลังก้มตัวเก็บเกี่ยวข้าวอย่างยากลำบาก
ท่านลุงเหอพยักหน้า “ใช่แล้วคุณหนู ปวดเสียจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้วขอรับ”
ตู้เยี่ยนอวี่ขออนุญาตจับชีพจรและตรวจดูอาการของท่านลุงเหอ นางพบว่าเส้นลมปราณบริเวณหลังของท่านลุงเหอติดขัดอย่างรุนแรง
“ลมปราณของท่านลุงติดขัดมากเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าว “หากปล่อยไว้นานอาจจะทำให้ปวดเรื้อรังได้”
นางใช้ปลายนิ้วกดคลึงบริเวณหลังของท่านลุงเหออย่างช้า ๆ พลางรวบรวมพลังปราณภายในของตนเองไปที่ปลายนิ้ว ดุจสายลมที่พัดพาความเย็นสบาย
เพียงไม่นาน ท่านลุงเหอก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณที่เยี่ยนอวี่กดคลึง และอาการปวดก็เริ่มทุเลาลง
“คุณหนู ! อาการปวดของข้าดีขึ้นแล้วขอรับ !” ท่านลุงเหอร้องอุทานด้วยความดีใจ “ท่านช่างวิเศษยิ่งนัก !”
หลังจากนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ก็มักจะใช้เวลาในยามเย็นไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่ทำงานหนัก และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการยืดเส้นยืดสาย หรือท่าบริหารร่างกายง่าย ๆ เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อย
นางยังสอนวิธีการนวดกดจุดง่าย ๆ ให้แก่เสี่ยวจู เพื่อให้เสี่ยวจูสามารถช่วยเหลือชาวบ้านในเบื้องต้นได้ยามที่นางมิว่าง
“การนวดกดจุดเป็นการช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของลมปราณในร่างกาย และช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด” เยี่ยนอวี่อธิบายให้เสี่ยวจูฟัง
เสี่ยวจูเรียนรู้อย่างตั้งใจ และสามารถทำตามได้อย่างรวดเร็ว
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ