ยามฟ้าครามสดใส แสงตะวันสาดส่องลงมายังผืนดินร้อนระอุ แม้ไอแดดจะแผดจ้าเพียงใด แต่ก็มิอาจห้ามยั้งความตั้งใจของตู้เยี่ยนอวี่ได้เลย
นางยังคงฝึกฝนวิชากำลังภายในอย่างมุ่งมั่น บริเวณลานหลังบ้านที่เงียบสงบ ต้นไผ่ที่ปลูกเรียงรายส่งเสียงเสียดสีกันตามแรงลม ดุจเสียงกระซิบจากธรรมชาติที่ช่วยให้นางเข้าถึงสมาธิได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
นางเคลื่อนไหวช้า ๆ แต่แฝงด้วยความแข็งแกร่งและคล่องแคล่ว ดุจกระเรียนที่กำลังร่ายรำเพลงยุทธ์ ท่วงท่าแต่ละท่วงท่าล้วนเชื่อมโยงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ลมปราณในกายไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอ ดุจสายน้ำที่ไหลรินในลำธารที่แห้งแล้ง
บัดนี้นางสามารถควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
“ลมหายใจต้องเป็นหนึ่งเดียวกับลมปราณ” เสียงคำสอนในตำราดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของนาง “เมื่อจิตมั่นคง ลมปราณย่อมบริสุทธิ์และไหลเวียนได้อย่างไร้ขีดจำกัด”
ในทุก ๆ วันนางจะใช้เวลาในยามเช้าตรู่และยามค่ำคืนในการฝึกฝนวิชากำลังภายใน บางครั้งก็ฝึกซ้อมท่ารำมวยจีนโบราณ บางครั้งก็นั่งสมาธิเพื่อปรับลมปราณให้สมดุล แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่นางก็มิเคยท้อถอย เพราะรู้ดีว่าการฝึกฝนเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจของนางแข็งแกร่งขึ้น
“คุณหนู ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก” เสี่ยวจูเอ่ยขึ้นยามเห็นเยี่ยนอวี่กำลังฝึกซนอยู่กลางแดดจ้า นางนำน้ำชามาให้คุณหนูของตน “ดื่มน้ำเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่รับถ้วยน้ำชามาดื่ม ใบหน้าของนางมีหยาดเหงื่อผุดพราย แต่แววตากลับเปล่งประกายแห่งความมุ่งมั่น
“ข้ามิได้เหนื่อยอันใดหรอกเสี่ยวจู การฝึกฝนนี้เป็นดุจการบำเพ็ญเพียร เพื่อให้กายและใจแข็งแกร่งขึ้น”
เสี่ยวจูยิ้มอย่างชื่นชม “ฮูหยินกับท่านผู้เฒ่าต่างก็กล่าวถึงคุณหนูว่าช่างเป็นเด็กที่มีความเพียรพยายามยิ่งนักเจ้าค่ะ”
คำพูดของเสี่ยวจูทำให้เยี่ยนอวี่รู้สึกอบอุ่นในใจ แม้จะมาจากต่างภพภูมิ แต่นางก็ได้รับความรักและความเข้าใจจากครอบครัวใหม่นี้อย่างเต็มเปี่ยม
ยามฤดูใบไม้ร่วงเริ่มมาเยือน ท้องฟ้าเริ่มมีสีหม่นหมอง
ตู้เยี่ยนอวี่สังเกตเห็นว่าในช่วงนี้มีชาวบ้านหลายคนเริ่มมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาด อาการคล้ายไข้หวัด แต่กลับมีอาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และมีผื่นแดงขึ้นตามตัว คล้ายกับโรคไข้ป่าที่เคยเกิดขึ้นในโลกเดิมของนาง
“ท่านป้าอิง บุตรชายของท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่เอ่ยถามหญิงชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้าน บุตรชายของนางนอนซมอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายสั่นเทิ้ม
“หมอเทวดาตู้ ! ขอท่านโปรดช่วยบุตรชายของข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ” ป้าอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “เขาป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาของหมอหลี่ก็ยังมิหายเลยเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่คุกเข่าลงข้างกายบุตรชายของป้าอิง มือเรียวบางสัมผัสที่หน้าผากที่ร้อนรุ่ม ดุจเหล็กร้อนที่กำลังเผาไหม้ นางตรวจดูชีพจรและลิ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“นี่คืออาการของโรคไข้ป่า” นางพึมพำกับตนเอง “พิษไข้สะสมอยู่ในเส้นลมปราณ ทำให้ลมปราณติดขัด และเกิดอาการปวดตามข้อต่อ”
นางหันไปหาป้าอิง “ป้าอิง มิเป็นไรเจ้าค่ะ โรคนี้มิได้ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ต้องรักษาอย่างถูกวิธี”
เยี่ยนอวี่สั่งให้เสี่ยวจูนำน้ำสะอาดกับผ้ามาให้ นางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้เด็กหนุ่มอย่างเบามือ เพื่อลดไข้ พร้อมกับนึกย้อนถึงความรู้เรื่องสมุนไพรที่ใช้รักษาไข้ป่าในโลกเดิม
“ท่านป้าอิง ในบ้านมีต้นสะเดา หรือกระเพราป่าหรือไม่เจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่ถาม
ป้าอิงพยักหน้า “มีเจ้าค่ะ มีอยู่ในสวนหลังบ้าน”
“นำมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าว
เมื่อได้สมุนไพรมาแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็นำมาบดรวมกันแล้วนำไปต้มกับน้ำ ดุจการปรุงยาอายุวัฒนะ นางสั่งให้เด็กหนุ่มดื่มน้ำสมุนไพรนี้ทุกวัน และให้พักผ่อนให้เพียงพอ
“น้ำสมุนไพรนี้จะช่วยขับพิษไข้ในกาย และช่วยให้ลมปราณไหลเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น” นางอธิบาย
ในตอนแรกชาวบ้านบางคนก็ยังคงไม่เชื่อมั่นในวิธีการรักษาของตู้เยี่ยนอวี่ เพราะเป็นวิธีที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่เมื่อเห็นว่าอาการของบุตรชายป้าอิงเริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ผื่นแดงเริ่มจางลง และไข้ลดลง ผู้คนก็เริ่มกลับมาเชื่อมั่นในตัวนางอีกครา
“หมอเทวดาตู้ช่างเก่งกาจยิ่งนัก !” ชาวบ้านต่างพากันกล่าวชื่นชม “โรคที่หมอคนอื่นรักษามิได้ แต่หมอเทวดาตู้กลับรักษาให้หายได้”
หลังจากนั้นตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มดำเนินการป้องกันโรคไข้ป่าในหมู่บ้าน นางแนะนำให้ชาวบ้านทำความสะอาดบริเวณรอบบ้าน โดยเฉพาะแหล่งน้ำนิ่งที่อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
“ยุงลายเป็นพาหะนำโรคไข้ป่า หากเรากำจัดยุงลายได้ เราก็จะสามารถป้องกันโรคได้เจ้าค่ะ” นางอธิบายให้ชาวบ้านฟัง
นางยังสอนวิธีทำน้ำสมุนไพรขับไล่ยุงง่าย ๆ จากพืชสมุนไพรในท้องถิ่น เช่น ตะไคร้หอม หรือเปลือกส้ม เพื่อให้ชาวบ้านนำไปใช้ในครัวเรือน
คำแนะนำของตู้เยี่ยนอวี่แม้จะดูเรียบง่าย แต่กลับมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง อัตราการเกิดโรคไข้ป่าในหมู่บ้านซีหลินลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดุจเปลวเพลิงที่มอดดับลงไป
ยามฟ้าครามสลับกับเมฆหมอก ตู้เยี่ยนอวี่สังเกตเห็นว่าในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว มีชาวบ้านหลายคนประสบปัญหาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และอาการบาดเจ็บจากการทำงานหนัก นางจึงริเริ่มโครงการดูแลสุขภาพของชาวบ้านอย่างจริงจังยิ่งขึ้น
“ท่านลุงเหอ ท่านปวดหลังมากใช่หรือไม่เจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่เอ่ยถามชายสูงวัยผู้หนึ่งที่กำลังก้มตัวเก็บเกี่ยวข้าวอย่างยากลำบาก
ท่านลุงเหอพยักหน้า “ใช่แล้วคุณหนู ปวดเสียจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้วขอรับ”
ตู้เยี่ยนอวี่ขออนุญาตจับชีพจรและตรวจดูอาการของท่านลุงเหอ นางพบว่าเส้นลมปราณบริเวณหลังของท่านลุงเหอติดขัดอย่างรุนแรง
“ลมปราณของท่านลุงติดขัดมากเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าว “หากปล่อยไว้นานอาจจะทำให้ปวดเรื้อรังได้”
นางใช้ปลายนิ้วกดคลึงบริเวณหลังของท่านลุงเหออย่างช้า ๆ พลางรวบรวมพลังปราณภายในของตนเองไปที่ปลายนิ้ว ดุจสายลมที่พัดพาความเย็นสบาย
เพียงไม่นาน ท่านลุงเหอก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณที่เยี่ยนอวี่กดคลึง และอาการปวดก็เริ่มทุเลาลง
“คุณหนู ! อาการปวดของข้าดีขึ้นแล้วขอรับ !” ท่านลุงเหอร้องอุทานด้วยความดีใจ “ท่านช่างวิเศษยิ่งนัก !”
หลังจากนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ก็มักจะใช้เวลาในยามเย็นไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่ทำงานหนัก และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการยืดเส้นยืดสาย หรือท่าบริหารร่างกายง่าย ๆ เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อย
นางยังสอนวิธีการนวดกดจุดง่าย ๆ ให้แก่เสี่ยวจู เพื่อให้เสี่ยวจูสามารถช่วยเหลือชาวบ้านในเบื้องต้นได้ยามที่นางมิว่าง
“การนวดกดจุดเป็นการช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของลมปราณในร่างกาย และช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด” เยี่ยนอวี่อธิบายให้เสี่ยวจูฟัง
เสี่ยวจูเรียนรู้อย่างตั้งใจ และสามารถทำตามได้อย่างรวดเร็ว
เสมือนสายพิณที่ขาดสะบั้นลงกลางบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสิ้นเสียงรายงานการเคลื่อนทัพของรองแม่ทัพจ้าวคุน บรรยากาศอันงดงามในศาลากลางน้ำพลันแหลกสลายลงในพริบตา ไอสังหารที่เคยแฝงเร้น บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนขึ้นอย่างชัดเจนใบหน้าของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางผู้ภักดีซีดเผือดราวกับกระดาษ การเคลื่อนทัพโดยพลการในยามนี้ มีความหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการก่อกบฏ!หน้ากากขุนนางผู้ภักดีที่เสนาบดีหลิวเจิ้งสวมใส่มานานหลายสิบปี บัดนี้ได้ถูกกระชากออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอสรพิษเฒ่าผู้กระหายในราชบัลลังก์“หลิวเจิ้ง! เจ้า... เจ้าบังอาจ!” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทาด้วยโทสะทว่าพยัคฆ์เฒ่าที่จนตรอก ย่อมเป็นพยัคฆ์ที่อันตรายที่สุดหลิวเจิ้งมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งและน่าขนพองสยองเกล้า“ฮ่า ๆๆๆ! ในเมื่อพวกเจ้าฉีกหน้ากากของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป!” เขากล่าวพลางปรายตามองทุกคนด้วยแววตาที่อำมหิต “เดิมทีข้าคิดจะค่อย ๆ กลืนกินแผ่นด
ในชั่ววินาทีที่พระพันปีหลวงตรัสถึงคดีของตระกูลมู่หรง อากาศทั่วทั้งศาลากลางน้ำพลันเยียบเย็นลงราวกับย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในบัดดล รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเจิ้งมิได้จางหาย แต่กลับแข็งค้างดุจหน้ากากน้ำแข็งที่กำลังปริร้าว เผยให้เห็นรอยแยกของความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ภายในทว่าอสรพิษเฒ่าที่ขดตัวอยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปี ย่อมมิใช่ผู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์โดยง่าย“ฮ่า ๆๆ”เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบงัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดจากการถูกหยามเกียรติ“พระพันปีหลวงทรงมีพระเมตตา ยังทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของขุนนางเก่าแก่อย่างกระหม่อมได้” เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น “น่าเสียดาย... ที่วัยชราได้พรากความทรงจำอันเฉียบคมของกระหม่อมไปเสียมากแล้ว คดีเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นช่างเลือนรางนัก แต่กระหม่อมจำได้เพียงว่า ทุกการตัดสินโทษในชีวิตราชการของกระหม่อม ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินและเพื่อสนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทเสมอมา”เขาเปลี่ยนจากการเป็นจำเลยมาเป็นผู้ถูกกระทำไ
ศาลากลางสระบัวในวันนี้งดงามและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ประหนึ่งเกาะหยกที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลมรกตที่เต็มไปด้วยใบบัว สายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ นำพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเกสรบัวหลวงมาด้วย ทว่าภายใต้ความงามอันสงบสุขนั้น กลับมิอาจพัดพาไอสังหารที่แฝงเร้นอยู่ในอากาศให้จางหายไปได้ขบวนเสลี่ยงของเสนาบดีหลิวเจิ้งมาถึงเป็นคนแรก เขาก้าวลงจากเสลี่ยงด้วยท่วงท่าที่สุขุมและสง่างามสมตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ในส่วนลึกของดวงตาที่ผ่านโลกมาจนโชกโชนนั้นกลับเยียบเย็นตามมาด้วยขบวนขององค์ชายจ้าวเฟิง เขามาในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายพยัคฆ์ซ่อนกายในพงไพร ดูองอาจและเปี่ยมด้วยบารมี รอยยิ้มของเขายังคงเป็นมิตรและน่าคบหา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า มันเป็นรอยยิ้มของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มิใช่รอยยิ้มของสหายผู้มาเยือนเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ณ ศาลากลางน้ำพระพันปีหลวงในฐานะประธานของงานเลี้ยง ก็ได้มีรับสั่งให้เริ่มพิธีชงชาชั้นสูง นางกำนัลคนสนิทค่อย ๆ บรรจงรินน้ำร้อนลงบนใบชาต้าหงเผาอันล้ำค่า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่วศาลา
ในตำหนักหมื่นวสันต์ที่เงียบสงบ บัญชีมรณะเล่มนั้นได้กลายเป็นเถ้าธุลีในกระถางทองเหลืองไปแล้ว แต่ทุกตัวอักษรที่เคยจารึกไว้ ได้ประทับลงในพระทัยของอย่างมิอาจลบเลือน พระพันปีหลวงผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวและคลื่นลมในราชสำนักมาค่อนชีวิต บัดนี้แววพระเนตรของพระนางนิ่งสงบและเยียบเย็นดุจผืนน้ำใต้ธารน้ำแข็ง“ในเมื่อรากแก้วของต้นไม้พิษมันฝังลึกถึงเพียงนี้ การถอนรากถอนโคนในคราวเดียว ย่อมทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน” พระนางตรัสกับองค์หญิงลี่หัวและพระสนมหลี่ที่อยู่เบื้องหน้า “เราจะมิโค่นต้นไม้ แต่เราจะลิดกิ่งก้านของมันทีละกิ่ง ล่ออสรพิษให้ออกมาจากโพรงด้วยตัวเอง”พระนางมิได้มีราชโองการให้จับกุมผู้ใดในทันที แต่กลับมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงน้ำชาชมราชสาส์นขึ้นเป็นการส่วนพระองค์ในอีกสามวันข้างหน้า ณ ศาลากลางสระบัว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหารือเป็นการภายในถึงข้อเสนออภิเษกสมรสขององค์ชายจ้าวเฟิง และเพื่อพิจารณาราชสาส์นจากแคว้นอื่นที่ส่งมาถวายพระพรในวาระที่ฝ่าบาททรงหายจากพระอาการประชวรเป็นการเดินหมากที่แยบยลและเลือดเย็นที่สุด ผู้ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้มีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นหัวใจของขั้วอำนาจทั้งหมด ฝ่า
แสงจันทร์มิอาจสาดส่องถึงห้องลับใต้ดินของสำนักพันเงา ที่ซึ่งบรรยากาศหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่ารัตติกาลในฤดูเหมันต์ บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ใจกลางห้อง บัญชีมรณะเล่มนั้นวางแผ่หลาอยู่ แต่ทุกตัวอักษรที่จารึกไว้ด้วยพู่กันกลับหนักอึ้งดุจชะตากรรมของแผ่นดิน รอยแผลของนายหญิงแห่งเงาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดจากตู้เยี่ยนอวี่ แม้ร่างกายจะเจ็บปวด แต่ในแววตาของนางกลับลุกโชนไปด้วยไฟแค้นที่รอวันสะสาง“หลิวเจิ้งคือรากแก้วของต้นไม้พิษต้นนี้” กู้เหยียนหลงกล่าวทำลายความเงียบ นัยน์ตาคมกริบของเขาทอประกายกร้าว “การโค่นล้มเขาในยามนี้ที่มันยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในราชสำนัก ไม่ต่างอะไรกับการเอากายเข้าปะทะคมดาบ”“ท่านแม่ทัพกล่าวถูกแล้ว” จางอู๋จีเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สายข่าวของข้ารายงานว่า บัดนี้จวนเสนาบดีและการป้องกันวังหลวงถูกยกระดับขึ้นสูงสุด ประหนึ่งค่ายทหารที่พร้อมรับศึก เรามิอาจใช้กำลังบุกเข้าไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง”ท่ามกลางความตึงเครียดนั้น มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่ที่ยังคงสงบนิ่ง นางวางสมุนไพรในมือลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยปัญญาอันล้ำลึก“ในเมื่อประตูหน้าเต็มไปด้วยกองทัพหมาป
ครืน... ครืน...เสียงหินบดขยี้กันดังก้องสะท้าน ราวกับเสียงกรามของมังกรที่กำลังจะขย้ำเหยื่อให้แหลกสลาย ผนังห้องทั้งสี่ด้านเคลื่อนตัวบีบอัดเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่หนักหน่วงและไม่อาจต้านทานได้ ฝุ่นผงและเศษปูนร่วงหล่นลงมาจากเพดานราวกับห่าฝน“เรามีเวลาไม่ถึงสิบห้าลมหายใจ!” หนึ่งในแมวเงาตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตระหนกกู้เหยียนหลงและนายหญิงแห่งเงาพุ่งเข้าไปใช้ฝ่ามือยันผนังที่เคลื่อนเข้ามาทันที พลังลมปราณของทั้งสองระเบิดออกอย่างเต็มที่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ชะลอความเร็วของมันลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันหนักหน่วงเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะต้านทานไหว“ไร้ประโยชน์! นี่คือกลไกตายตัว!” กู้เหยียนหลงกัดฟันพูด ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดในขณะที่ทุกคนกำลังจะสิ้นหวัง ตู้เยี่ยนอวี่กลับมีสายตาที่สว่างวาบขึ้น นางมิได้มองไปยังผนัง แต่นางกลับจ้องลึกลงไปในช่องลับใต้พื้นที่ว่างเปล่าหลังจากที่หยิบหีบออกมาแล้ว“ช่องลับนั่น!” นางร้องบอกทุกคน “มันมิใช่แค่ช่องเก็บของ แต่มันคือกลไก รูปปั้นพระพุทธองค์มิใช่แค่กุญแจเปิด แต่เป็นตุ้มถ่วงน้