“พี่จือหยู ข้าขอสารภาพบางอย่างกับท่าน...” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่มีนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าท่านจะพยายามมากแค่ไหน บางคนก็ไม่อาจลบความรู้สึกไม่ชอบในอดีตไปได้”
วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูนั้นชะงักเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวด้วยความงุนงง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ลี่หยา” เหวิ่นลี่หยาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะขยับเข้าใกล้พี่สาว “องค์ชายหลี่หยวนเจ๋ออย่างไรล่ะ ข้าไม่อยากบอกท่านหรอกนะ แต่ข้าเคยได้ยินองค์ชายพูดกับท่านกงกงหลี่ซือ ท่านอยากฟังไหมว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร” วาดรวีขมวดคิ้วแน่น นางรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยามีแผนการซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดนี้ แต่ไม่อาจหักห้ามความอยากรู้ได้ “เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่ บอกมาให้ชัด” “พระองค์ตรัสว่า แม้ท่านจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองแค่ไหน พระองค์ยังคงไม่ชอบท่าน และยังมองว่าท่านเป็นคนร้ายกาจ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม” วาดรวีรู้สึกว่าคำพูดนั้นทำให้หัวใจนางกระตุกขึ้นมา แม้ว่านางจะเป็นคนที่มั่นคงและใจเย็นกว่าเหวิ่นจือหยูเดิม แม้จะรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยามีเจตนาแฝง แต่มันก็ทำให้หัวใจนางสั่นไหว และนี่เป็นเรื่องที่กระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลและการเอาชนะสองแม่ลูกที่อยากจะเข้ามาเป็นคู่หมั้นแทนเธอเสียเหลือเกิน “ข้าไม่เชื่อ ข้ากำลังทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้น และข้าเชื่อว่าวันหนึ่งพระองค์จะมองเห็น” วาดรวีพยายามตอบโต้ด้วยน้ำเสียงมั่นคง แต่เสียงของนางเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย เมื่อมีความไม่แน่นอนปะปนอยู่เล็กน้อย เหวิ่นลี่หยาจับจุดอ่อนนั้นได้ทันที นางยิ้มเย็นอย่างมีชัยที่คำพูดของนางเริ่มได้ผล นางเอนตัวเข้ามาใกล้พี่สาวมากขึ้น “หากท่านยังไม่เชื่อ ท่านลองคิดดู ว่าทำไมพระองค์ถึงไม่มาหาท่านในช่วงหลายวันที่ผ่านมา พระองค์หลีกเลี่ยงท่านทุกครั้ง ข้าคิดว่าพระองค์คงอยากจะแจ้งข่าวเรื่องการยกเลิกการหมั้นหรือเปลี่ยนตัวคู่หมั้น แต่คงรอจังหวะที่เหมาะสม ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ” คำพูดนั้นแทงลึกเข้าไปในใจของวาดรวี นางพยายามสงบสติอารมณ์ แต่มันยากที่จะละเลยไม่ฟังในสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาพูด แต่คำพูดเยาะเย้ยเหล่านั้นเหมือนแรงกดดันที่ค่อยๆ บีบหัวใจ นางรู้สึกโกรธและสับสนภายใน ใจของวาดรวีที่อยู่ในร่างนี้เริ่มร้อนรน “เจ้าพูดเพื่ออะไร” วาดรวีถามหรือเหวิ่นจือหยูถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงดังขึ้น “เจ้าต้องการให้ข้าสูญเสียความมั่นใจหรือ ข้ารู้ว่าเจ้าหวังอะไรอยู่ เจ้าเองก็อยากได้องค์ชายใช่ไหมล่ะลี่หยา” เหวิ่นลี่หยายิ้มเยาะ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใช่ ข้าอยากได้องค์ชาย แต่ข้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสกปรกเช่นที่ท่านเคยทำ ข้าเพียงแค่รอให้พระองค์เห็นเองว่า ข้าเป็นคนที่ดีกว่าเหมาะสมกว่า ท่านก็รู้ว่าพระองค์เองก็เริ่มเห็นเช่นนั้นแล้ว” วาดรวีรู้สึกได้ถึงความโกรธที่เดือดพล่านในใจ นางพยายามสงบตัวเอง แต่การถูกยั่วยุและท่าทีเย้ยหยันอย่างน่าหมั่นไส้ที่เหวิ่นลี่หยาพยายามทำ มันกำลังทำให้สติความยับยั้งชั่งใจของวาดรวีเริ่มหลุดออกไปทีละนิด นางเผลอพูดออกมาโดยไม่ทันคิด “เจ้ามันก็แค่คนเจ้าเล่ห์ลี่หยา เจ้าคิดว่าทุกคนจะเชื่อถือเจ้าหรือ ข้าเปลี่ยนแปลงแล้ว และและข้าจะไม่ยอมให้เจ้ากับมารดาของเจ้าได้ในสิ่งที่พวกเจ้าหวังไปง่ายๆหรอกนะ” เสียงของนางดังขึ้นจนแทบจะกลายเป็นตะโกน เหวิ่นลี่หยายิ้มเย็น “ดูสิ นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของท่าน ” เหวิ่นลี่หยายิ้มเยาะยิ่งกว่าเดิม “พี่จือหยู ข้าแค่ต้องการให้ท่านรู้ความจริงเท่านั้นเอง ถ้าท่านจะโกรธ ก็แสดงว่าท่านท่านยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างที่ท่านกล่าวอ้าง ท่านก็ยังเป็นเหวิ่นจือหยูคนเดิม คนที่ข้ารู้จัก ที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ” คำพูดสุดท้ายนั้นเหมือนดั่งน้ำมันที่ราดลงไปในไฟที่กำลังลุกไหม้ วาดรวีรู้สึกได้ว่าร่างกายของเหวิ่นจือหยูที่ตัวเองเป็นอยู่สั่นสะท้านด้วยความโกรธที่นางพยายามจะควบคุมมาตลอด เมื่อความโกรธที่ก่อตัวถึงขีดสุด นางเผลอลืมตัวและแสดงท่าทางไม่เหมาะสมออกมาอย่างที่วาดรวีพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด นางลุกขึ้นยืนอย่างฉุนเฉียว กำหมัดแน่น “เจ้ามันน้องสาวขี้อิจฉา” เหวิ่นจือหยูตะโกนด้วยเสียงที่ดังลั่น “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้ทุกอย่างที่เจ้าอยากได้ไปง่ายๆหรอกนะ” เหวิ่นลี่หยายิ้มเยาะ “ดูสิ นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของท่าน อย่าลืมสิว่าท่านกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ดูเหมือนมันไม่สำเร็จเลยนะ” ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากด้านหลัง องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกงกงหลี่ซือที่เดินตามหลังมา พระองค์ทอดพระเนตรฉากทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชา “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงของพระองค์เยียบเย็นจนทั้งสองพี่น้องชะงักไปทันที องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อขมวดคิ้ว มองเหวิ่นจือหยูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง นางยังไม่เปลี่ยนจริงๆอย่างที่พระองค์คาดคิดไว้ พระองค์ก้าวเข้ามาอย่างเงียบๆ แต่หนักแน่นพอที่จะดึงความสนใจของทั้งสองพี่น้องให้หันมามอง “อะ องค์ชาย” วาดรวีพยายามหาคำพูดแต่ลิ้นของนางหนักอึ้ง องค์ชายจ้องมองว่าที่คู่หมั้นด้วยสายตาที่เย็นชาและรู้สึกผิดหวังจนทำให้วาดรวีรู้สึกเหมือนถูกมองอย่างตัดสินไปแล้วว่าเป็นคนผิด เหวิ่นลี่หยาทำท่าทางตกใจนางเอามือทาบอกก่อนที่จะเอ่ยอุทานออกมา “องค์ชาย ท่านคงได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว หม่อมฉันไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ หม่อมฉันพยายามจะพูดกับพี่จือหยูดีๆ แต่” นางทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ความอ่อนหวานในท่าทางของนางทำให้ทุกคนที่มองคิดว่าเหวิ่นลี่หยาเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้ คำพูดของนางทำให้หลี่หยวนเจ๋อหันมามองครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ร่างสูงสง่าก้าวไปข้างหน้า เพียงแต่หันกลับมาที่เหวิ่นจือหยูที่ยืนแข็งค้างอยู่ตรงนั้น “เหวิ่นจือหยู เจ้าไม่คิดจะอธิบายอะไรหน่อยหรือ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง วาดรวีในร่างของเหวิ่นจือหยูพยายามจะพูด แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับไร้พลัง “องค์ชาย หม่อมฉัน หม่อมฉันขออภัย” องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าได้ยินว่าเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้ากำลังจะเชื่อในสิ่งที่คนอื่นเขาพูดกันและคิดว่าเจ้ากำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาด” หลี่หยวนเจ๋อส่ายหน้าเบาๆ “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังพยายาม แต่วันนี้ข้าเห็นชัดแล้วว่าเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เจ้าก็ยังเป็นคนที่ข้ารู้จักในอดีต คนที่ปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำ และไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจไม่สามารถควบคุมตัวเองได้" คำพูดของพระองค์เหมือนดาบที่ทิ่มแทงเข้าหัวใจของเหวิ่นจือหยู นางรู้ดีว่าตนเองผิด และแม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถในการเปลี่ยนแปลง แต่มันก็ยังไม่พอในสายตาขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อที่ไม่เคยมองเหวิ่นจือหยูในด้านดีเลย ความรักเกียรติของตัวเองถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาสู้ทันที “ถ้าท่านคิดเช่นนั้น ก็เชิญท่านไปทูลฮ่องเต้เพื่อขอเปลี่ยนตัวคู่หมั้นอย่างที่ท่านกับเหวิ่นลี่หยาได้ตกลงกันไว้เถิด หวังว่าฮ่องเต้จะทรงโปรดคุณหนูที่เกิดจากลูกของอนุภรรยาที่ได้มาด้วยความไม่เต็มใจของท่านพ่อของหม่อมฉัน และอีกอย่างนะตอนนี้หม่อมฉันก็ไม่ได้อยากที่จะเป็นคู่หมั้นของท่านแล้ว เพราะตอนนี้หูตาของหม่อมฉันสว่างแล้วไม่ได้มืดบอดมัวลุ่มหลงท่านเหมือนเดิม เชิญท่านกับเหวิ่นลี่หยาไปสุขสมกันอย่างที่ต้องการเถิด” วาดรวีร่ายยาว เสียงของนางสั่นเทาด้วยอารมณ์ที่ปะทุออกมา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นี่คือการตอบโต้ครั้งสุดท้ายของวาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยู“ถ้าเช่นนั้น ก็เชิญองค์ชายไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลฝ่าบาทเพื่อขอเปลี่ยนตัวคู่หมั้นให้เป็นตามที่ท่านต้องการเถิด”เหวิ่นจือหยูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา “ขะ ข้าต้องการใครเจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร”องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยทันที วาดรวีลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะพูดต่อ “อ้าว ทำไมองค์ชายถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ แบบนี้น้องลี่หยาของหม่อมฉันก็จะเสียใจแย่เลยนะเพคะ อุตส่าห์วาดหวังไว้ อีกอย่างก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสตรีที่พระองค์ต้องการเป็นคู่หมั้นคงไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นน้องลี่หยาของหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “พี่จือหยู ทำไมท่านพูดเช่นนี้ น้องไม่ได้จะแย่งองค์ชายจากพี่ น้องเสียใจ” เหวิ่นลี่หยาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ทำเสียงสั่นเครือ เหมือนจะร้องไห้ แต่ทว่าดวงตาของนางกลับฉายแววพึงพอใจลึกๆ ในใจนั้นแอบดีใจที่เหวิ่นจือหยูผู้หญิงที่เก็บอารมณ์ไม่ได้ ประกาศออกมาชัดเจนต่อหน้าองค์ชายว่าไม่อยากหมั้นหมาย คำพูดนั้นทำให้องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อถึงกับนิ่งงัน ก่อนที่เหวิ่นจือหยูจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “เชิญองค์ชายกับน้องลี่หย
พิธีหมั้นจัดขึ้นในพระราชวังอย่างสมพระเกียรติ บรรยากาศเต็มไปด้วยความหรูหราและกลิ่นอายแห่งอำนาจ เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงจากทั่วทั้งราชสำนักต่างมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานสำคัญนี้ เหวิ่นจือหยูนั่งเคียงข้างองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ รู้สึกเหมือนตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในห้องโถงใหญ่ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อนั่งนิ่งขรึม ราวกับกำแพงน้ำแข็งที่ไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกซึมผ่านได้ ดวงตาเย็นชาของพระองค์มองทอดไกล ไม่แยแสกับทุกสิ่งรอบตัว ท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งขรึมนี้ เหวิ่นจือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับบนบ่า โดยเฉพาะสายตาของเหวิ่นลี่หยาที่นั่งอยู่ไม่ไกล ส่งผ่านความหมายบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อมองมาที่เหวิ่นจือหยูผ่านหางตา เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ความเย็นชาแผ่กระจายออกมาจากร่างสูง ทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอึดอัดอย่างมาก เหมือนถูกทิ้งไว้กลางพายุหิมะ พิธีหมั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นตามแผนราชประเพณีที่ถูกกำหนดไว้ แต่ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น เหวิ่นลี่หยาลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ บรรยากาศเงียบงันลงอย่างกะทันหัน เหวิ่นลี่หยายิ้มหวานและ
“ทำไมทุกอย่างถึงกลับตาลปัตรไปเช่นนี้” เหวิ่นลี่หยาคิดในใจอย่างเคียดแค้น ปลายนิ้วจิกลงในฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ ความไม่พอใจและความริษยาแล่นพล่านไปทั่วร่างราวกับเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ นางไม่เคยคิดเลยว่าพี่สาวอย่าง เหวิ่นจือหยู จะได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้แต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ เหวิ่นลี่หยามั่นใจว่านิสัยเกรี้ยวกราดและเอาแต่ใจของพี่สาวจะทำลายโอกาสนี้ไปเอง แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไม่เพียงแค่การหมั้นหมายสำเร็จเท่านั้น แต่ยังมีพระราชโองการให้เร่งจัดงานแต่งงานให้เร็วขึ้นอีก ทุกอย่างราวฟ้าผ่าลงมากลางใจ เหวิ่นลี่หยาก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่ควรเป็นของนางถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตา นางเดินวนไปมาภายในเรือนพัก ริมฝีปากบางกัดแน่นเพื่อต้องการสะกดกลั้นความคับแค้นใจ “ทำไมถึงต้องเป็นเหวิ่นจือหยู ทำไมนางถึงได้รับทุกอย่าง ทั้งๆ ที่นางไม่สมควรได้รับ เพียงเพราะนางเป็นลูกภริยาเอกเท่านั้นเองหรือ” ความริษยาเกาะกินใจจนใบหน้าที่เคยอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว นางพึมพำต่อหน้ากระจกบานสูง “นางไม่สมควรได้เป็นพระชายา ไม่สมควรได้ครอบครององค์ชายแม้แต่น้อย” เสียงของนาง
ในอีกด้านหนึ่ง เหวิ่นจือหยูยังคงรู้สึกกังวลกับพระบรมราชโองการที่ทรงมีคำสั่งให้จัดงานแต่งงานอย่างเร่งด่วน นางพยายามหาทางออกจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ทางเลือกของนางก็ยิ่งแคบลง เหวิ่นจือหยูต้องเผชิญกับความกดดันจากองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ พระคู่หมั้นที่ประกาศออกมาชัดเจนว่าไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับนาง แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธรับสั่งของฮ่องเต้ได้ ในขณะที่ทั้งคู่ต่างต้องทรมานจากการแต่งงานที่ไม่เต็มใจ และทุกข์ทรมานจากการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ตัวเหวิ่นจือหยูไม่เท่าไหร่เพราะวาดรวีรู้ว่าจือหยูคนเดิมแอบชอบพอองค์ชายอยู่ แต่องค์ชายนี่ซินอกจากจะไม่ได้ชอบพอกับจือหยูคนเดิมเเล้วยังบอกว่าเกลียดคนนิสัยเช่นนางด้วยซ้ำ เหวิ่นจือหยูถอนหายใจยาว ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ นางหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา เขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นตัวอักษรจีนที่สง่างาม ราวกับกำลังใช้การเขียนเป็นวิธีการระบายความเครียดและความกังวลที่ทับถมอยู่ในใจ “ข้าควรทำอย่างไรต่อไป” นางพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะที่มองตัวอักษรที่เขียนเสร็จแล้ว ในขณะที่เหวิ่นจือหยูครุ่นคิด เสียงเคาะประต
วันที่เหวิ่นจือหยูต้องเตรียมตัวสำหรับพิธีแต่งงานมาถึงแล้ว ทั่วทั้งจวนเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ทุกคนล้วนตื่นเต้นและยินดีกับคุณหนูใหญ่ คนรับใช้ต่างเร่งรีบเตรียมข้าวของและจัดเตรียมทุกอย่างอย่างลุล่วง ถึงแม้ว่าหลายคนยังคงหวั่นกลัวกับความโมโหร้ายที่เคยได้ยินเกี่ยวกับคุณหนูจือหยู แต่ในช่วงหลังพวกเขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความนุ่มนวลที่เธอแสดงออกมา ทำให้บรรยากาศในจวนดูอบอุ่นและเป็นมิตรขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างยินดีที่ได้เข้ามารับใช้คุณหนูใหญ่ของจวน ในห้องแต่งตัว เหวิ่นจือหยูนั่งอยู่หน้ากระจกขนาดใหญ่ สาวใช้สามคนช่วยกันจัดแต่งเส้นผมของนางอย่างพิถีพิถัน พวกนางตกแต่งเครื่องประดับทองคำและหยกบนศีรษะของคุณหนูอย่างประณีต ชุดแต่งงานที่นางสวมเป็นชุดฮั่นฝูสีแดงสดที่งดงามยิ่งนัก ลวดลายหงส์ที่ปักด้วยด้ายทองเปล่งประกายสะท้อนแสง ทุกอย่างล้วนบ่งบอกถึงความสูงส่งของฐานะว่าที่พระชายา เหวิ่นจือหยูมองตัวเองในกระจก เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือเหวิ่นจือหยูที่เคยมีชื่อเสียงเลวร้ายเมื่อไม่นานมานี้จริงหรือ นางยิ้มเบาๆ ให้กับตัวเอง ความรู้สึกหลากหลายป
แสงตะวันอ่อนยามเช้าทอประกายผ่านม่านผ้าไหมที่พาดยาวในท้องพระโรง ขบวนขันหมากจากตระกูลเหวิ่นเรียงรายเป็นระเบียบ บรรยากาศเคร่งขรึมแต่แฝงความสง่างาม เหวิ่นจือหยูค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในท้องพระโรงอย่างช้าๆ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงขันทีประกาศถึงการมาถึงของเจ้าสาว ในนาทีนั้นเองที่เขาเห็นเหวิ่นจือหยูในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงปักลายหงส์ทองงดงาม เครื่องประดับบนศีรษะสะท้อนแสงจนวิบวับ ทุกอิริยาบถของนางแสดงถึงความสงบและสง่างาม หลี่หยวนเจ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะดุดตา เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของเหวิ่นจือหยูมามากมาย ในแง่ร้ายเสียส่วนใหญ่ แต่ในวันนี้ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาแตกต่างไปจากที่เคยรับรู้ “คิดไม่ถึงเลยว่านางจะดูเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้”ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของหลี่หยวนเจ๋อ แต่ทันใดนั้น ความไม่พอใจที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่เขาไม่ได้รักก็กลับมาท่วมท้นในจิตใจ เมื่อถึงเวลาพิธี เสียงขลุ่ยและฆ้องดังขึ้นก้องไปทั่วท้องพระโรง เป็นสัญญาณเริ่มพิธีแต่งงานขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและคุณหนูเหวิ่นจือหยู เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันเฝ้ามองด้วยความชื่นชมในความขลังและความ
หลังจากที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวออกจากห้องหอ เหวิ่นจือหยูนั่งอยู่เพียงลำพังในความเงียบงัน แสงเทียนริบหรี่ในห้องที่เต็มไปด้วยการตกแต่งสีแดงชวนให้นึกถึงพิธีมงคลสมรสที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ในโลกที่เย็นเยียบและว่างเปล่า มือเรียวยกขึ้นแตะที่แก้ม รอยสัมผัสจากวันนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่หัวใจกลับหนักอึ้งไปด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ“ข้าต้องอดทนแค่ไหนกัน ถึงจะพิสูจน์ให้เขาเห็นได้ว่าข้ามิใช่คนเดิมอีกต่อไป” นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหวิ่นจือหยูลุกขึ้นเรียกนางกำนัลเข้ามาเพื่อเตรียมน้ำอุ่นในห้องอาบน้ำตามธรรมเนียมการแต่งงาน “อี้เหมย ช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าด้วย ข้าต้องการอาบน้ำผ่อนคลายเสียหน่อย”“คุณหนูเจ้าคะ เอ่อ ขอประทานอภัยเพคะพระชายา น้ำอุ่นเตรียมพร้อมแล้ว เชิญพระชายาอาบน้ำได้เลยเพคะ” อี้เหมยที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นนางกำนัลคนสนิทพูดพร้อมกับก้มหน้าลงด้วยความเคารพ เหวิ่นจือหยูพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเดินตามนางไปยังห้องอาบน้ำที่ตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนละมุนเมื่อเดินเข้าสู่ห้องอาบน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรและดอกไม้ลอย
ในค่ำคืนต่อมาควรเป็นคืนที่อบอุ่นของคู่สมรสใหม่ ทว่าในห้องหอแห่งนี้กลับมีเพียงความเย็นชา หลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นจือหยูต่างฝ่ายต่างเงียบ ไม่ค่อยพูดจากันมากนัก แม้ทั้งคู่จะต้องใช้ห้องนอนเดียวกันตามธรรมเนียม แต่บรรยากาศระหว่างพวกเขากลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่หลี่หยวนเจ๋อก่อขึ้นหลี่หยวนเจ๋อรักษาท่าทีเย็นชาของเขา บนใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ นัยน์ตาคมกริบมองผ่านพระชายาไป ราวกับว่านางไม่ได้อยู่ตรงนั้น แม้จะอยู่ใกล้กันขนาดนี้ แต่เขาทำเหมือนมีม่านบางๆ กั้น ที่ทำให้มองไม่เห็นเหวิ่นจือหยู มือข้างหนึ่งของเขาปลดชุดคลุมออกอย่างไม่รีบร้อน “พักผ่อนเสียเถิด” น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งจนแทบจะไร้ความรู้สึก ก่อนจะหันเดินไปยังมุมเตียงที่เขาจัดไว้สำหรับตนเองแล้วเอนกายลงนอนหันหลัง ในความมืดเขาหลับตาลงอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้สนทนาหรือถามไถ่ใด ๆ กับพระชายาต่อ หรือไม่แม้แต่จะหันกลับมามองนางว่าทำอะไรอยู่ ราวกับประกาศอย่างชัดเจนว่า แม้พวกเขาจะเป็นคู่สมรสกันแล้ว แต่ในความรู้สึกของเขา นางยังไม่มีตัวตน ยังเป็นเพียงคนนอก เหวิ่นจือหยูมองแผ่นหลังขององค์ชายผู้เป็นคู่สมรส เขานอนนิ่งสนิทอยู่ในความมืดมีเพียงเสีย
เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างฮองเฮากับเหวิ่นจือหยูยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ฮองเฮาค่อยๆ สอนเหวิ่นจือหยูในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่การปักผ้า การทำอาหาร การบ้านการเมือง ไปจนถึงการปฏิบัติตัวในฐานะพระชายาที่ดี เหวิ่นจือหยูซึมซับบทเรียนเหล่านี้อย่างตั้งใจ แม้บางครั้งจะรู้สึกกดดันแต่หัวใจของนางกลับอบอุ่นขึ้น นางไม่เคยได้รับความรักและคำแนะนำเช่นนี้จากใครมาก่อนในช่วงเวลาที่นั่งเรียนรู้ข้างๆ ฮองเฮา บางครั้งผู้เป็นหวงโฮ่วก็จะตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้ามีเจ้าก็เหมือนมีลูกสาวเพิ่มอีกคน ข้าดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นไท่จื่อเฟย”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอบอุ่น นางโค้งศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันจะพยายามให้มากกว่านี้เพคะ”ฮองเฮามองนางด้วยสายตาเอ็นดู นางเอื้อมมือจับมือของเหวิ่นจือหยูเบาๆ ก่อนพูดต่อ“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าทำได้ดีแล้ว และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง สิ่งสำคัญคือความอดทนและความตั้งใจ”คำพูดนั้นกระทบใจเหวิ่นจือหยู นางไม่เคยคิดว่าผู้สง่างามและสมบูรณ์แบบเช่นฮองเฮาเคยผ่านความยากลำบากและช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้เช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกถึงความหวังและกำลังใจที่ฮองเฮามอ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร นางอ่านตำรา ขีดเขียนจดบันทึกถึงสิ่งที่นางได้ศึกษาจากตำราด้วยความตั้งใจ แม้ดวงตาจะเริ่มล้า แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่นางกำนัลประจำตำหนักเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับค้อมตัวโค้งคำนับ“พระชายาเพคะ ฮองเฮามีรับสั่งให้ท่านไปพบที่ตำหนักหลินเฟยเพคะ”เหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ แม้จะอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจึงถูกเรียกตัวแต่เช้า แต่ก็มิได้แสดงท่าทีกระวนกระวาย นางรวบรวมตำราให้เป็นระเบียบก่อนจะพยักหน้าให้สาวใช้เตรียมชุดให้เรียบร้อยตำหนักหลินเฟยของฮองเฮา ภายในตำหนักหลวงโอ่อ่า สง่างาม แต่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่กดดันเพียงเล็กน้อย เหวิ่นจือหยูสูดลมหายใจเข้า พยายามรักษาท่าทีสงบ ขณะเดินตามนางกำนัลไปยังห้องรับรองที่ฮองเฮารออยู่ฮองเฮาประทับอยู่บนตั่ง ในท่วงท่าสง่างาม ดวงเนตรคมกริบทอดมองมายังเหวิ่นจือหยู แต่ภายในกลับเต็มไว้ด้วยความอ่อนโยน รอยแย้มสรวลเล็กน้อยปรากฏบนพระพักตร์“มาเถิด พระชายา มานั่งกับข้านี่มา” เสียงตรัสอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้เหวิ
“ข้าไม่เคยถามเจ้ามาก่อน แต่ข้าอยากรู้ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับการที่พี่สาวของเจ้ากลายมาเป็นพระชายาของข้า”เสียงขององค์รัชทายาทดังขึ้นอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ลึกซึ้งแฝงไปด้วยความหมาย คำถามที่เหมือนจะแค่ไถ่ถามทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไรเหวิ่นลี่หยาเผลอเบิกตากว้างไปชั่วขณะ แต่ก็รีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกที่ตื่นตระหนกของตน นางบังคับตัวเองให้ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทด้วยแววตาอ่อนหวาน“หม่อมฉันยินดีกับพี่จือหยู เพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปั้นให้จริงใจ และเต็มไปด้วยความยินดีนางทอดถอนใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “พี่จือหยูนั้น ถึงแม้นางจะนิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ แต่นางก็สมควรได้รับมันอยู่แล้วเพคะ เพราะนางเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ ต่างจากหม่อมฉัน ที่เป็นเพียงลูกอนุภรรยา”คำพูดของนางเต็มไปด้วยความน้อยใจ รู้สึกว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรมกับตนเอง หลี่หยวนเจ๋อจ้องมองนางนิ่งไม่พูดแทรกแม้แต่น้อยเหวิ่นลี่หยาเห็นเขาเงียบไป นางเข้าใจว่าเขากำลังครุ่นและคิดตามที่ตนต้องการ จึงก้าวเข้าไปใกล้ น้ำเสียงของนางอ่อนหวานลง“องค์รัชทายาทเพคะ ท่านเองก็ทรงทราบดีมิใช่หรือเพคะ ว่าพี่จือหย
ยามบ่ายนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงขนนกกระเรียนขีดเขียนลงบนกระดาษ เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร ท่ามกลางตำราโบราณที่เปิดกางอยู่เต็มโต๊ะ นางก้มหน้าจดจ่อกับตัวอักษรจีนโบราณที่เรียงรายอยู่บนกระดาษ ขณะวาดแบบแผนของสถาปัตยกรรมจีนยุคโบราณอย่างพิถีพิถันแม้การออกแบบและคำนวณเชิงโครงสร้างจะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับตอนเป็นวาดรวี แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ นางสามารถอ่านและเขียนภาษาจีนโบราณได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นางไม่มีพื้นฐานความรู้นี้เลยแม้แต่น้อย“หรือว่านี่จะเป็นพรจากการที่ข้ามาอยู่ในร่างนี้” เหวิ่นจือหยูพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ลากเส้นบาง ๆ ลงบนกระดาษอย่างไตร่ตรอง ในขณะเดียวกัน นางก็ใช้ภาษาที่คุ้นเคยที่สุด ภาษาอังกฤษ จารึกตัวอักษรเล็ก ๆ กำกับลงไปในจุดสำคัญของแผนผัง เพื่อให้มั่นใจว่าความคิดของตนจะปลอดภัยจากสายตาผู้อื่นความปรารถนาที่จะใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและการออกแบบของตนเพื่อปรับปรุงตำหนักหรืออาคารบางแห่งในวังให้ดีขึ้น ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงนางเข้ากับโลกเดิม และอาจเป็นก้าวแรกที่ทำให้นางสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกใบใหม่นี้ได้โดยไม่สูญเสีย
“แล้วเจ้าได้เรียนรู้เรื่องการทำอาหารหรือการบ้านการเรือนไปบ้างหรือไม่”คำถามของฮองเฮาทำให้เหวิ่นจือหยูนิ่งไปชั่วขณะ ในนามของวาดรวี นางเป็นวิศวกรที่เคยชินกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ ไม่เคยสนใจเรื่องงานบ้านหรือการทำอาหารมาก่อน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ในสถานะพระชายาในราชสำนักทำให้นางรู้ดีว่านี่เป็นคุณสมบัติสำคัญของสตรีในราชวงศ์“เอ่อ หม่อมฉันยังคงเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นอยู่เพคะ” เหวิ่นจือหยูตอบอย่างระมัดระวัง พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุดฮองเฮาทรงยิ้มบาง รอยยิ้มของพระนางเต็มไปด้วยความเมตตา “ไม่ต้องกังวลไป การเป็นพระชายาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ หากเจ้าต้องการ ข้าก็ยินดีจะช่วยสอน”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้ภายในใจยังรู้สึกประหม่าก็ตาม “ขอบพระทัย ที่เมตตาหม่อมฉันเพคะ”ฮองเฮาทรงยิ้มก่อนที่จะหันไปทางข้าหลวงและสั่งให้จัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร “ข้าคิดว่าเรามาเริ่มเรียนรู้จากสิ่งเล็ก ๆ ก่อนแล้วกัน วันนี้เราจะทำอาหารกัน ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีการทำอาหารบางอย่างที่ง่าย ๆ แต่เหมาะสมสำหรับการเป็นแม่ศรีเรือน อาจช่วยให้เจ้าเข้าใจความสำคัญของการดูแลบ้านเรือนยิ่งข
หวิ่นจือหยูใช้เวลาหมกตัวอยู่ในห้องอักษรแทบทุกวัน นางจมอยู่กับตำราจีนโบราณที่กองสูงเต็มโต๊ะ เสียงแผ่วเบาของกระดาษที่ถูกพลิก และเสียงพู่กันลากไปบนกระดาษคือเพียงสิ่งเดียวที่ขับกล่อมห้องที่เงียบสงบนี้“ถ้าจะอยู่ที่นี่ เราต้องเข้าใจมันให้มากที่สุด” นางพึมพำกับตัวเอง พลางจรดพู่กันลงบันทึกข้อสังเกตเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ไม่มีใครอ่านออก นางไม่ได้ศึกษาเพียงเพื่อความรู้ แต่กำลังวิเคราะห์กลไกสังคมยุคนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดและอาจพลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ในอนาคตแม้จะมีหน้าที่ในฐานะพระชายาที่ต้องรับผิดชอบ แต่ในแต่ละวันเหวิ่นจือหยูกลับเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ในห้องอักษร มากกว่าจะไปปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นหลี่หยวนเจ๋อหรือเหล่าข้ารับใช้คนอื่นๆหลี่หยวนเจ๋อเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพระชายา นางไม่เอาแต่ติดตามเขาเหมือนแต่ก่อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจ และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่นางสมควรอยู่เคียงข้างเขา“แปลกจริง นางกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่” เขาครุ่นคิดในใจ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่นัยน์ตาของเขาแฝงความระแวงอยู่เสมอ แม้จะไม่เชื่อว่านางจะเปลี่ยนไปโดยไม่มีเหตุผล แต่เขาก็เลือกที่จะเ
ภาพของ เหวิ่นจือหยู ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจ ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาเคยบอกเขาไว้โดยสิ้นเชิง นางไม่ได้ดูเป็นคนที่ใส่ใจแต่เรื่องการแต่งกายหรือหลงใหลในความหรูหราอย่างที่เขาเคยได้ยินมาเลยหลี่หยวนเจ๋อ นึกถึงคำพูดของเหวิ่นลี่หยาที่เคยบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า“พี่จือหยูของข้า นิสัยหยิ่งยโส สนใจแต่ความงามของตนเอง ไม่เคยสนใจการบ้านการเรือน องค์ชายคงไม่ชอบหรอก หากต้องอยู่กับนาง”เหวิ่นลี่หยาพูดเหมือนรู้จักพี่สาวของนางดี แต่สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเหวิ่นจือหยูที่นั่งตรงหน้าดูสงบนิ่ง เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้หยิ่งผยอง เกรี้ยวกราด หรือสนใจแต่เปลือกนอกอย่างที่เหวิ่นลี่หยาเล่าให้ฟัง ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขาหรือเขาอาจเข้าใจนางผิดไปโดยสิ้นเชิง“เจ้าชอบอ่านตำราหรือ” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความสงสัยเหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาคู่นั้นมองตรงมาราวกับท้าทายให้เขาคิดให้ถี่ถ้วน“ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ ได้ยินอะไรมาล่ะ”คำถามกลับยิ่งทำให้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกสะอึกเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ค
ในช่วงเวลาที่ เหวิ่นจือหยู เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในตำหนักรัชทายาท ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่หยวนเจ๋อ ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน รัชทายาทหนุ่มยังสร้างระยะห่างโดยมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องงานเพื่อหลบหน้านาง ทั้งทำงานจนดึก หรือบางครั้งกลับมาตำหนักก็หลับไปโดยไม่สนใจถามไถ่พระชายาเลย เหวิ่นจือหยูกลายเป็นเพียงเงาในชีวิตของเขา ความเฉยเมยนั้นค่อย ๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆแม้ไม่มีความอบอุ่นจากสามี แต่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของพระชายาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับในราชสำนัก โดยการเข้าร่วมงานพิธีตามหน้าที่ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา หยางซูเจิน ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อผู้เป็นพระสวามีฮองเฮาหยางซูเจินเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีอำนาจและบทบาทสำคัญในราชสำนัก แม้ในตอนแรกนางจะจับตามองเหวิ่นจือหยูด้วยความสงสัย เพราะรู้ว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่พอใจพระชายา แต่เมื่อได้พบปะพูดคุย ฮองเฮากลับพบความจริงที่แตกต่างออกไป นางสังเกตเห็นถึงความสงบเสงี่ยม ความอดทน และความอ่อนโยนในตัวลูกสะใภ้ ซึ่งไม่เหมือนกับคำกล่าวหาที่เคยได้ยิน
งานเลี้ยงต้อนรับพระชายาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท้องพระโรงหลวง แขกเหรื่อมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานต่อจากการเข้าพิธีสมรสขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและพระชายาเหวิ่นจือหยู บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมและเสียงสนทนาเจือจางเมื่อร่างสูงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงพร้อมพระชายา ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่ทันที ความสง่างามของหลี่หยวนเจ๋อที่แผ่รัศมีความเยือกเย็น น่าเกรงขามดุจเพทพเจ้า ในขณะที่พระชายาเหวิ่นจือหยูก็ไม่ได้น้อยหน้า นางสวมอาภรณ์สีอ่อนปักลวดลายอย่างวิจิตร บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง ทุกย่างก้าวของนางเปี่ยมไปด้วยความสง่างามราวกับเทพธิดาท่ามกลางสายตาของแขกผู้ใหญ่และข้าราชบริพารที่มองมายังทั้งคู่ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะเหวิ่นจือหยูที่เป็นที่จับจ้องมากกว่าตาราวกับทุกสายกำลังประเมินพระชายาขององค์ชาย เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระลอก“พระชายาช่างงามล่มเมืองจริง ๆ”“ดูเถิด นางงามสมฐานะองค์ชายยิ่งนัก”เหวิ่นจือหยูยิ้มรับทุกคำชมอย่างสงบนิ่ง นางรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวต้อนรับ มิใช่สิ่งที่จริงใจเสมอไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังต้องรักษาท่า