“กระไรนะ ฉู่หนิงบอกว่าขนเสบียงออกจากเมืองแล้วอย่างนั้นหรือ?”ภายในตำหนักอิงอู่ฮ่องเต้เรียกบรรดาขุนนางมาหารือเรื่องฉู่หนิง นึกไม่ถึงว่าจ้าวหมิงจะกลับมาพร้อมกับข่าวที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดตอนแรกคิดว่าแค่ฉู่หนิงส่งเสบียงคืนมา ปัญหาทั้งหมดก็จะจบ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกบรรดาขุนนางมาหารือล่วงหน้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าฉู่หนิงจะทำแบบนี้มุมปากฮ่องเต้กระตุก ภายในใจเย็นวาบเขารู้ พวกขุนนางที่อยู่ในตำหนักจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปแน่นอนแล้วก็เป็นไปดังคาด บรรดาขุนนางฟังแล้วมีอาการตกใจ แต่ละคนหันไปสบตากันแล้วเริ่มหารือกัน“เผิงไหลจวิ้นอ๋องไม่เคารพกฎหมาย ฝ่าบาทต้องลงโทษสถานหนักนะพ่ะย่ะค่ะ!”“ที่นี่คือเมืองหลวง แต่เขาก็ยังกล้าปล้นชิงเสบียง หากปล่อยให้มีตัวอย่างเช่นนี้ ต่อไปจะต้องมีคนวิพากษ์วิจารณ์ หากไม่ลงโทษอย่างเด็ดขาด แล้วกฎหมายของต้าฉู่จะมีไว้เพื่ออันใด!”“ฝ่าบาท โปรดทรงลงโทษเผิงไหลจวิ้นอ๋อง ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ หากปล่อยให้เผิงไหลจวิ้นอ๋องทำตามใจต่อไป มันจะเป็นการเสื่อมเสียแก่ราชวงศ์”บรรดาขุนนางพากันกราบทูลอย่างเดือดดาล ประหนึ่งจะฉีกฉู่หนิงให้เป็นชิ้นๆพวกเขา
ในฐานะองค์รัชทายาท เขาห้ามทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาหลิงเฟยเยียนผิดหวังเล็กน้อยฉู่หนิงนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ!ตอนแรกคิดว่าองค์รัชทายาทจะไปเอาเรื่องทัน นึกไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะไม่ทำอะไรแต่ว่า เหตุใดครั้งนี้องค์รัชทายาทจึงใจเย็นนัก?หลิงเฟยเยียนสงสัยแต่ไม่กล้าถามอะไรมาก กลัวจะเปิดเผยเจตนาตัวเองในเมื่อเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณฝ่าบาทแล้ว เช่นนั้นก็รอให้ฝ่าบาทมีรับสั่ง!……ภายในตำหนักอิงอู่เสิ่นหว่านอิ๋งคุกเข่าอยู่บนพื้น ค่อยๆ เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนบนที่ประทับ ฮ่องเต้มีพระพักตร์เรียบนิ่ง ฟังคำรายงานของเสิ่นหว่านอิ๋งไปพลาง อ่านสัญญากู้ยืมในมือไปพลางลายมือนี้เป็นลายมือของฉู่หนิงจริงๆถ้อยคำที่ใช้ก็ดูสมกับเป็นคำที่ฉู่หนิงจะพูดเช่นนั้นเรื่องนี้ก็คงเป็นฝีมือฉู่หนิงไม่ผิดแน่ไอ้ลูกเวรนี่ ไม่เคยให้เราให้อยู่เฉยเลยจริงๆ!แต่ว่า จะทำสงครามก็ต้องใช้เสบียง ที่ฉู่หนิงกล้าทำแบบนี้ก็เพื่อศึกที่แนวหน้าหากลงโทษก็กลัวจะกระทบต่อศึกที่แนวหน้าของฉู่หนิงหากไม่ลงโทษก็ชี้แจงกับเสิ่นหว่านอิ๋งไม่ได้อีก ทั้งยังไม่อาจชี้แจงต่อขุนนางและราษฎรในเมืองหลวงหลังจากใคร่ครวญสักพัก ฮ่องเต้ก็แค่นเสียง
วันรุ่งขึ้น ตำหนักบูรพาเสิ่นหว่านอิ๋งเดินทางมาขอเข้าพบหลิงเฟยเยียนอย่างเร่งรีบ“กระไรนะ ร้านข้าวสารของตระกูลเสิ่นถูกโจมตี ทั้งยังเป็นฝีมือของฉู่หนิง?”หลิงเฟยเยียนมองสัญญากู้ยืมในมือที่ฉู่หนิงจงใจทิ้งไว้ ใบหน้าแสดงถึงความเดือดดาลนางคิดว่าแผนการของตัวเองสมบูรณ์แบบมากแล้ว และฮ่องเต้ก็มีพระบัญชาให้ฉู่หนิงเดินทางไปยังแนวหน้าในอีกสี่วัน ทว่าฉู่หนิงกลับทำแบบนี้ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด“องครักษ์ตระกูลเสิ่นทำงานประสาอะไร เหตุใดจึงปล่อยให้เขาเอาเสบียงไปง่ายๆ แบบนี้!”หลิงเฟยเยียนจ้องเสิ่นหว่านอิ๋งอย่างโกรธจัด ซักถามว่า “เจ้าจงใจให้เขาปล้นเสบียงพวกนี้ไปใช่หรือไม่?”แม้จะคิดไม่ออกว่าเสิ่นหว่านอิ๋งจะทำเช่นนี้เพื่ออะไร แต่นี่เป็นเหตุผลเดียวนางคิดออกในตอนนี้เสิ่นหว่านอิ๋งส่ายหน้าตอบอย่างจนใจ “เสบียงจำนวนมากขนาดนี้ หากตระกูลเสิ่นเก็บไว้จะขายได้เงินเยอะมาก จะจงใจให้ท่านอ๋องปล้นเอาไปได้อย่างไร?”“ฉู่หนิงผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบายมาก ทำให้ไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งผู้ใดจะคิดกันว่าเขาจะทำเช่นนี้”หลิงเฟยเยียนมองสัญญากู้ยืมเงียบๆฟังแล้วก็ดูสมกับเป็นเรื่องไร้ยางอายที่ฉู่หนิงจะทำ!แต่นึกถึงเสบียงที่ฉ
เฝิงมู่หลานแค่นเสียงเย็น “อย่ามาประจบประแจงอยู่ที่นี่เลย ข้าจะบอกอะไรให้นะ ธุระก็จัดการเสร็จสิ้นแล้ว หว่านอิ๋งต้องกลับเดี๋ยวนี้”พูดจบ นางก็ดึงเสิ่นหว่านอิ๋งเดินออกไปนอกห้องโถงทันทีฉู่หนิงแสดงสีหน้าพูดไม่ออก “ข้ายังมีเรื่องจะคุยกับหว่านอิ๋งอีกสองสามประโยค”เสิ่นหว่านอิ๋งย่อมรู้ดีว่าที่ฉู่หนิงเรียกนางมาที่นี่ ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องที่ได้ตกลงกันไว้แล้วเท่านั้น“มู่หลาน เจ้ารอข้าอยู่ข้างนอก ข้าขอคุยกับท่านอ๋องตามลำพังสักสองสามประโยคแล้วจะออกไป”“ตกลงตามนี้ ข้ารอแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นนะ แล้วก็ เจ้าอย่าให้คนผู้นี้ฉวยโอกาสได้ล่ะ!”เฝิงมู่หลานไม่ฟังคำพูดของใคร แต่กับคำพูดของเสิ่นหว่านอิ๋งนางกลับเชื่อฟังทุกคำนางถลึงตาใส่ฉู่หนิง เป็นการเตือนไม่ให้เขาทำอะไรไม่เข้าเรื่อง จากนั้นจึงหันหลังเดินออกจากห้องโถงไปภายในโถงรับรองอันเงียบสงบ แสงเทียนสั่นไหว สะท้อนบนใบหน้าของคนทั้งสอง บรรยากาศที่เงียบงันทำให้ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบไปชั่วขณะครู่ต่อมา ฉู่หนิงเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่กลัวว่าข้าไปแล้วจะไม่ได้กลับมาหรือ?”เสิ่นหว่านอิ๋งกล่าวอย่างใจเย็น “ในเมื่อตัดสินใจเดิม
“อีกห้าวันต้องออกเดินทางแล้วหรือ?”ภายในจวนอ๋อง ฉู่หนิงได้รับข่าวที่ส่งมาจากฮ่องเต้ บนใบหน้าก็ปรากฏความเย็นชาขึ้นมาแวบหนึ่งแม้ว่าจะยืดเยื้อมาได้พักหนึ่งแล้ว แต่การที่จู่ ๆ ก็มาเร่งให้ตนไปแนวหน้าในตอนนี้ คงเป็นเพราะสถานการณ์ที่แนวหน้าไม่สู้ดีนักเป็นแน่เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องที่จ้าวเฟยเยี่ยนเคยบอกว่ารองแม่ทัพแห่งต้าฉู่ที่อยู่แนวหน้าเสียชีวิตในสนามรบ เกรงว่าสถานการณ์คงจะอยู่ในขั้นวิกฤตแล้วฉู่หนิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดทันที “ทหาร ไปเชิญท่านหญิงเสิ่นมา!”แต่จ้าวอวี่กลับมีสีหน้าลังเล กล่าวเตือนอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง ตอนนี้ดึกมากแล้ว การเชิญท่านหญิงเสิ่นมาที่นี่ในยามนี้...”“ไม่เป็นไร!”ฉู่หนิงกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้าเพียงแค่นำข่าวที่ข้าต้องออกเดินทางในอีกห้าวันไปบอกนาง นางต้องมาแน่!อีกอย่าง ไปแจ้งกวนอวิ๋นกับหร่านหมิง ให้พวกเขาทั้งสองเตรียมตัวให้พร้อมทันทีแล้วก็หมีเหิงด้วย เขาต้องไปแนวหน้าพร้อมกับข้า”“พ่ะย่ะค่ะ!” จ้าวอวี่รับคำ แล้วรีบลงไปจัดการทันทีแต่จ้าวอวี่เพิ่งจะจากไป เฝิงมู่หลานก็เดินเข้ามาที่โถงรับรอง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่เกรงใจ ไม่ยอมลุกไปไหนฉู่หนิงขมวดคิ้ว “คุ
ฉู่หนิงเพียงยิ้มอย่างไม่แสดงความเห็นใด ๆ เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนใต้บังคับบัญชาของเฝิงอันกั๋วนั้นเป็นยอดฝีมือ แต่กองกำลังทั้งสามหน่วยของเขาก็ไม่ได้เป็นพวกไร้ฝีมือเช่นกันแน่นอนว่า ตอนนี้ยังพูดออกไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงต้องรอให้เปิดเผยที่แนวหน้าเท่านั้น!“ก็ได้ ข้าจะรอดูว่าพวกเขาจะแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมที่แนวหน้าอย่างไร!”ฉู่หนิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ก่อนหน้านั้น คงต้องรบกวนคุณหนูเฝิงเรื่องการฝึกนักโทษกลุ่มนี้แล้ว”คิ้วงามของเฝิงมู่หลานเลิกขึ้น ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงเข้าไปฝึกทหารทันทีฉู่หนิงมองดูอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าอานุภาพของค่ายกลชุดนี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากนัก จึงค่อยกลับไปอย่างพึงพอใจในขณะเดียวกันนั้น เฝิงอันกั๋วก็ได้เดินทางมาถึงพระราชวังแล้ว!ภายในตำหนักอิงอู่ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ ด้านล่างคือเฝิงอันกั๋วที่คุกเข่าอยู่ เขาได้ทูลความคิดที่จะส่งบุตรสาวของตนไปยังแนวหน้าให้ทรงทราบ“ว่ากระไรนะ เจ้าจะส่งลูกสาวของตัวเองไปยังแนวหน้าอย่างนั้นหรือ?”ฮ่องเต้เบิกพระเนตรกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “ในฐานะรองเสนาบดีกรมกลาโหม เจ้าย่อมรู้สถานการณ์ที่แนว