ลำนำแห่งว๊าก
จากบันทึกของออร์ค
ณ ดวงดาวดวงหนึ่งในจักรวาลที่อันแสนไกล ดาวดวงนี้เดิมที่เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าแมลงยักษ์ แต่ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ประตูมิติเปิด ได้นำพาสิ่งมีชีวิตอีกหลายพันธุ์เข้ามา แต่สิ่งที่มากที่สุดและพอจะมีสติปัญญาคือ พวก ออร์ค อมนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ผิวสีเขียว มีความป่าเถื่อน ชอบในการทำสงครามเข้ามาในดาวดวงนี้ พวกมันเข่นฆ่าเหล่าแมลงยักษ์ แม้พวกแมลงยักษ์จะร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงใด พวกออร์คนั้นมีพละกำลังและความบ้าเลือดจึงสามารถฆ่าแมลงยักษ์ได้จนหมด ดาวดวงนี้ถูกเรียกว่า ว๊าก ! หลักจากนั้นพวกมันก็เริ่มขยายเผ่าพันธุ์และดินแดนจนเรียกได้ว่าครองดาวด้วยนี้ได้แล้ ทำให้ดวงดาวกลายเป็นดาวที่ป่าเถื่อนและมีสงครามไม่เว้นในแต่ละวัน !
จบบันทึกแห่งออร์ค ซึ่งก็ไม่รู้ว่าออร์คตัวไหนเขียน เพราะขืนไปถามมัน จะโดนฆ่าแทน
บันทึกของโดวาฟกลุ่มแรก ผู้บันทึกคือ สโตน ราชาแห่งโดวาฟกลุ่มแรกรวมกับโดวาฟอีก 6 คนที่ไม่ขอเอ่ยนาม
ข้านำพาโดวาฟกลุ่มใหญ่ทั้งชายและหญิงพันคน ขุดเหมือนที่ภูเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งข้าเองในเวลานั้น ยังเป็นแค่หัวหน้าคนงานเท่านั้นเอง แต่เราขุดลึกเกินไปมันเกิดแสงสว่างวาปขึ้นมา มารู้ตัวเองที่พวกเราก็อยู่ในที่เราไม่คุ้นเคยแล้ว พวกเราได้เจอกับสิ่งมีชีวิตประหลาดอีกหลายสายพันธุ์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่คิดว่าจะได้เจอเลยคือ พวกออร์ค ! การได้เจอพวกมันถือเป็นเรื่อง แย่ที่แล้ว โชคดีที่เรามีอาวุธที่ดีกว่า เลยทำให้ต่อกรพวกออร์คได้ ข้าเลยตัดสินใจ ไปตั้งรกรากกันที่ภูเขาลูกหนึ่งที่เต็มไปด้วยสินแร่สารพัดชนิด สถาปนา อาณาจักร โดวาฟแห่งแรกขึ้นโดย ตั้งชื่อดินแดน วันเทาซั่น ตามจำนวนคนที่มาที่แรก และแต่งตัวเองเป็นปฐมกษัตริย์ ดินแดนของโดวาฟเริ่มมีความเจริญมากขึ้น แต่เราก็ไม่ได้คิดจะขยายดินแดนเพิ่มเติม แค่ให้คนของปลอดภัยเท่านั้นเอง
บันทึกจาก พ็อตไชลอง วีรบุรุษและกวีชาวเอลฟ์รูมิแย่
พวกเราเอลฟ์นั้นไซร์ ได้หนีภัยสงครามจากดินแดนของพวกเราเอง แรก ๆ ยังไม่มีการแยกเผ่ากัน พวกเรามีแต่เอลฟ์เท่านั้น โดยมาทางเรือ ฝ่าเกลียวคลื่นและพายุร้าย ที่หมายจะเอาชีวิตพวกเราตลอดเวลา โอเหตุได้กันพวกเรา ถึงได้เจอกับชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นนี้ คลื่นลูกใหญ่โถมเข้ามาแต่แล้วก็เกิดแสงสว่าง วาปขึ้นมา พวกเรามาโผล่ที่ดินแดนที่เราไม่รู้จัก พวกเราไม่รู้จะทำเช่นไรดินแดนเต็มไปด้วยพวกป่าเถื่อน อัปลักษ์ อย่างพวกออร์คตัวเขียว และพวกโดวาฟตัวเตี้ย พวกเราที่มาโผล่ที่นี่โดยไร้ซึ่งอาวุธ จึงถูกตามล่าและขับไล่ จากที่นี่แต่เราไม่มีไปแล้วเพราะกลับสู่บ้านเกิดก็ไม่ได้แล้ว แต่แล้วสวรรค์ก็เมตตาเราพวก ได้มีเทพีที่แสนงดงามนามว่าเทพี ดานู[1] ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเรา นางเห็นพวกเราโดยเข่นฆ่าก็สงสาร นางจึงขออาสาสมัครที่จะเรียนวิชากับนาง ซึ่งได้เอลฟ์ผู้กล้าหาญสามตนได้อาสามาเรียนวิชากับนาง คือ
มาริยง นางเป็นผู้หญิงคนเพียงคนเดียวในกลุ่มสามตนนั้น นางมากจาเอลฟ์ตระกูลสูงในดินแดนเดิมของเราได้เรียนวิชากับเทพีดานู ทำให้พวกเรานั้น มีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม ส่องประกายดุจดวงตะวัน พวกเราจึงเรียกตัวเองว่า รูมิแย่ หรือ เอลฟ์แสง และกลายเป็นธรรมเนียมว่า ผู้ปกครองดินแดนของเหล่า เอลฟรูมิแย่ ต้องเป็นหญิงเท่านั้น
ยออาน เอลฟ์ใจโฉด เอลฟ์ทมิฬ มันเป็นอดีตนักโทษเอลฟ์ที่ทำผิดมาจนนับไม่ได้เลย มันเรียนวิชากับเทพีดานู แต่กลับมกมุ่นในศาสตร์มืด จนเรียกได้ว่า มันทำตัวเองกลายสิ่งที่เอลฟ์รับไม่ได้จริง ๆ คือ พวกมันมีผิวซีด ผมขาว แถมตายังเหมือนแมวอีก พวกมันเรียกตัวเอง เอลฟ์รานุน หรือ เอลฟ์มืด
ซูม่า เอลฟ์ผู้นิยมธรรมชาติ เป็นคนเรียนวิชาเทพีดานูแล้ว รู้สึกว่าจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติจึงทำให้พวกเขากลายเป็นคนป่าคนดอย และเรียกตัวเองว่า เอลฟ์ฟอร์แคร์ หรือเอลฟ์ป่า
หลังจากนั้นเหล่าเอลฟ์ได้รับการถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ จากทั้งสามตนจึงทำให้แบ่งสามกลุ่ม หลังจากที่สามารถสร้างดินแดนที่ยิ่งใหญ่ให้กับพวกเราแต่ล่ะเผ่าได้แล้ว ทำให้เอลฟ์กลายเผ่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว หากแต่เราเอลฟ์รูมิแย่ยังต้องคอยจัดการพวกเอลฟ์เผ่าอื่นเสมอ อย่างไม่จบไม่สิ้น
(แต่เรื่องนี้ เอลฟ์รานุนเป็นตัวนำนะเฟ้ย)
[1] เทพี ดานู เทพมารดร ตามความเชื่อของชาวไอริช นางเป็นผู้สอนวิชาให้เทพกลุ่มแรกในตำนานของไอริช
“ท่านพ่อ” ดิสมัสมาถึงพอดี และกำลังจะเข้าไปต่อสู้ แต่ถูกบาลเดอร์ปล่อยพลังแสงใส่ ดิสมัสถึงกับเจ็บปวดจนลุกไม่ขึ้น เท่ากับว่าคนในราชวงศ์ถูกกำจัดในพริบตา “โอดินเสด็จ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา โอดินเดินมาพร้อมกับสามจิ้งจอก เขาเดินมาหาเทียรี่เอาเท้าเหยียบเข้าที่หัวขององค์ราชาและกดเท้าลงไปเป็นเครื่องหมายว่าตอนนี้เหล่าเอลฟ์รานุนได้แพ้แก่เขาแล้ว ลูก ๆ ทั้งสามของเทียรี่กัดฟันด้วยความโกรธแค้น และยังไม่ไรไทร์ก็เดินมาพร้อมกับ ลิซ่าและเฮล เมื่อทั้งสองเห็นหน้าของโอดินก็หน้าเสียทันที “ท่านแม่ อย่าทำอะไรแม่ข้านะ” ดิสมัสพูด โอดินหันมามองลิซ่า และหันไปมองเทียรี่กับดิสมัส “นี่ข้าได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย เจ้าเรียกไอ้นี่ว่าแม่เหรอ” โอดินพูด เทียรี่หันมาพูดว่า “นางเป็นเมียข้า ก็ต้องเป็นแม่ของลูกข้าสิ” โอดินหัวเราะเสียงดังเหมือนกับมีเรื่องตลกตรงหน้า แต่ลิซ่าหน้าซีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เทียรี่ไม่เคยเห็นภรรยาหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน “นี่เจ้ารู้จักมันเหรอ หรือว่ามันเป็นสามีเก่าเจ้ากัน” โอดินหยุดหัวเราะแล้วแตะเข้าที่หน้าของเทียรี่อย่างแรง
ดิสมันเดินทางไปทันที “เจ้าเนี่ยทำไม ไม่บอกราชาเทียรี่ล่ะ เราโดนแกล้งชัด ๆ ” เบต้าบ่น “เจ้าคิดว่ามีเรื่องกับพี่ ๆ เขาแล้ว มันจะจบแบบไหนกัน ข้าน่ะทำได้แค่อดทนเท่านั้นล่ะ” ดิสมัสพูดตลอดทางดิสมัสรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะว่า เขาไม่เห็นร่องรอยของพวกโจรเลยแม้คนเดียว แต่ก็ยิ่งต้องตกใจเมื่อมาถึงเมือง พบว่าเมืองโดนถล่มไปแล้ว ดิสมัสรีบสั่งให้ตรวจสอบทันที พบว่าไม่มีใครรอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว !“รีบกลับไปที่เมืองหลวงเร็ว” ดิสมัสสั่งก่อนไปเขาร่ายมนตร์สร้างกองทัพโครงกระดูกจากทุกศพที่เห็นที่เมืองหลวงยออาน เหล่านักรบโจมตีโดยที่ไม่มีใครคาดถึง แต่กระนั้นเหล่าเอลฟ์นรานุนก็ต่อสู้อย่างกล้าหาญ โดยดาเมี่ยงกับดิดิเย่ร์เป็นคนนำทัพมาเอง ขณะที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นก็ร่างของทหารกระเด็นมา“ทำไมท่านพ่อต้องให้นำทัพมารบกับพวกนี้ด้วยนะ งานแบบนี้มันของไอ้อ้วนธอร์ไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่ม ผมสั้นสีทอง ตาสีฟ้า ใบหน้างดงาม จนแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นบุรุษเพศ รูปร่างของเขาดูไม่เหมือนนักรบเลยนักนิดแต่เหมือนกับพวกกวี หรือ หนุ่มเจ้าชู้ซะมากกว่า ไม่รู้ทำไม สองแฝดรู้สึกถึงพลังที่แผ่ออกมา ทำให้พวกเขาขนลุก“ฝาแฝดเหรอ ข้าจะเกลียดฝาแฝดท
เสียงสี่เสียงดังขึ้นมา เป็นผู้ชายสองคน และผู้หญิงหนึ่งคน และเอลฟ์อีกหนึ่งตน ชายคนแรกรูปร่างสูงใหญ่ผมยาวสีทอง ในมือถือขวาน เขาคือ โมดิ บุตรแห่งธอร์ อีกคนรูปร่างเตี้ยล่ำเป็นมะขามข้อเดียว ใช้ตะบองเป็นอาวุธ เขาคือ แม็กนี บุตรแห่งธอร์ สวนผู้หญิงในกลุ่มนั้น มีใบหน้างดงาม ผมสีแดง ถักเปีย มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ใช้ดาบกับโล่เป็นอาวุธ นางคือ ทรุด บุตรีแห่งธอร์ส่วนเอลฟ์นั้นรูปร่างสูงโย่ง ผมสีแดง ผิวเข้ม ในมือถือดาบ เขาชื่อว่า เพาเดอร์ บุตรแห่งธอร์“หวังว่าข้าจะไม่เผลอฆ่าญาติของเจ้าไปนะ” แม็กนีพูด เพาเตอร์หันไปพูดว่า“ข้าไม่ใช่เอลฟ์แถวนี้”ทั้งสี่เข้าต่อสู้ทันที มารีสนำทหารเข้าต่อสู้ เขาเป่าขลุ่ยและมีแท่งน้ำแข็งพุ่งใส่พวกทหารผู้รุกราน ทำให้พวกมันต้องเริ่มถอยห่าง ส่วนอลิซซ่า เธอใช้คถาปล่อยพลังสายฟ้าใส่พวกทหารล้มตายไปจำนวนมาก แต่แล้วบุตรของธอร์ทั้งสี่ก็บุกเข้ามา และจัดการเหล่าเอลฟ์ได้ ทั้งหมด เมื่อ อลิซซ่าเห็นเพาเดอร์ก็พูดว่า“นี่เจ้าเป็นเอลฟ์เผ่าไหนกัน ทำไมถึงช่วยเผ่าอื่นโจมตีพวกเรา” “ข้าไม่ใช่เอลฟ์ที่นี่ ข้าขอจัดการพวกมันเอง พวกเจ้าอยู่เฉย ๆ นะ” เพาเดอร์พูด และควงดาบออกไป แล
“ข้าคิดว่า พวกเราสองดินแดนน่าจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน แลกเปลี่ยนทำการค้าด้วยกัน และยังสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยกันได้อีกด้วย” อสิซซ่าพูด“ตูไม่เห็นอยากจะได้ความรู้อะไรจากสูเลย” แคนนอร์สวน อลิซช่า ตั้งสติระงับอารมณ์โกรธและรีบพูดต่อไปว่า“พวกท่านกับข้ามีศัตรูคนเดียวก็สมควรแล้วล่ะที่จะต้องร่วมกันสู้กับพวกมัน”“นี่สูหาพวกตูจะสู้ ไอ้ตัวซีดนั่นไม่ได้หรือไงกัน !” แคนนอร์เริ่มหัวเสียแล้ว อลิซซ่ารีบพูดว่า“มิได้เป็นเช่นนั้น พวกเราต่างหากที่ต้องพึ่งความแข็งแกร่งของท่าน” อลิซซ่าพูด แคนนอร์ถามทันที“หมายความว่าอะไร”“พวกเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนท่าน จึงต้องให้ท่านช่วยเหลือ เราถึงจะต่อสู้กับพวกรานุนได้” อลิซซ่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แคนนอร์เริ่มมีทางทีที่อ่อนลง อลิซซ่าส่งสัญญาณ มารีสเป่าขลุ่ยนักดนตรีคนอื่นเริ่มเล่นเครื่องดนตรีของตนด้วยทำนองเพลงที่เป็นจังหวะเพลงช้า อลิซซ่าเป็นคนร้อง เสียงของนางไพเราะจับใจมาก จนทำให้แคนนอร์เริ่มที่จะเคลิ้ม แต่เพลงก็เริ่มที่มีจังหวะสนุกสนานขึ้น อลิซซ่าเริ่มร้ายรำด้วยลีลาสวยงามและอ่อนช้อย หลังเพลงจบ แคนนอร์ตบมือให้ด้วยความชื่นชม“เยี่ยมมาก ตูตกลงที่จะเป็นพันธมิตรกั
“ข้าจะมอบกำลังทหารให้สามร้อยคน ให้เจ้าบัญชาการ” การมีทหารในสังกัดตัวเองนั้น ถือว่าดิสมัสมีอำนาจมากขึ้นกว่าเดิน ดิดีเยร์รีบแย้งว่า “มันจะไม่มากไปหน่อยหรือขอรับ ท่านพ่อ” “เขาทำความชอบก็สมควรได้รับรางวัลสิ พวกเจ้าจะกังวลทำไม มีทหารในสังกัดเป็นพัน อีกอย่างเขาก็เป็นลูกข้าเหมือนกับเจ้านั่นล่ะ พวกเจ้าน่ะมัวทำอะไรอยู่ แค่กรีนฮาร์ทเผ่าเดียว รบได้ตั้งเดือนหนึ่ง ดิสมัสเลยอาสาไปจัดการให้แป๊บเดียวเท่านั้น” เทียรี่พูดอย่างไม่ไว้หน้า สองแฝดทำหน้าไม่ถูกได้เก็บความโกรธไว้ในใจ “ข้าขอไปพบท่านแม่ก่อนนะขอรับ” ดิสมัสรีบตัดบท และเดินออกไป เพราะเขารู้ว่าขืนอยู่ต่อจะต้องมีสงครามน้ำลายแน่ ๆ “เจ้าเพิ่งชนะสงครามมานะ ทำหน้าเป็นตูดอยู่ได้” เบต้าพูดด้วยเสียงแหลม ๆ ดิสมัสนั้นนอกจากวิชาหมอผีแล้ว เขายังสามารถอัญเชิญภูตได้ด้วยเป็นวิชาของเอลฟ์ฟอร์แคร์ที่เขาเอามาดัดแปลงใส่พลังความมืดเข้าไป ซึ่ง เบต้าเป็นภูตตนแรกที่เขาอัญเชิญได้มีพลังในการปล่อยผงสามชนิดคือ ผงรักษา ผงพิษ และผงลอยตัว เบต้ามีความพิเศษคือ จะปรากฏตัวได้ตามใจไม่ต้องรอให้เขาเรียกเหมือนภูตตัวอื่น ส่วนเจ
แม้ว่าสลิงจะเป็นจะเป็นอาวุธที่ดูเรียบง่ายแต่อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะกระสุนของมันเป็นหิน แถมเป้าหมายในการโจมตีคือหัว ซึ่งโดนเข้าทีเดียวก็ถึงตาย “มันอยากลองดีสินะ พลหน้าไม้ !” ดิดิเย่ร์ลตะโกน พลหน้าไม้ตั้งแถวและยิงลูกศรใส่ทันที หน้าไม้นั้นมีแรงดึงมากกว่าธนูซะอีก ทำให้ลูกศรนั้นมันความรุนแรงและพุ่งได้เร็วกว่าธนูหลายเท่า พวกเอลฟ์ ฟอร์แคร์เริ่มมีล้มตายกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีเอลฟ์รานุนถูกสังหารไปอีกหลายตัว โดยฝีมือของเอลฟ์ร่างสูงใหญ่ ทาหน้าทาตัว ด้วยสีดำ และสวมหมวกขนนกทั้งหัว นั่นคือเครื่องหมายของหัวหน้าเผ่า ในมือถึงขวานหินคู่ มันโจมตีอย่างบ้าคลั่งและรุนแรง “เข้ามาเลย เอ็น ผู้นี้จะส่งพวกแกไปลงนรก” แม้ว่ามันจะไม่เกราะสวมเกราะ แต่ไม่รู้ว่าเพราะสีที่ทาตัวมันหรือเพราะอะไรกันแน่ทำให้มันหนังเหนียวอาวุธมีคมไม่อาจต้องกายมันได้ ดาเมียงกำลังไปต่อสู้กับมัน แต่ว่า ดิสมัสกลับมาขว้างหน้าเขาเอาไว้ “หลบไปดิสมัส ! ข้าจัดการเอง”แต่เหมือนดิสมัสจะไม่ได้สนใจฟังเลย เขาเข้าไปต่อสู้กับเอ็นทันที ขวานหินของเอ็นมีทั้งความคมและความหนาเรียกได้ว่ามันเป็นอาวุธที่ผสมระหว่างกา
เสียงกลองศึกและเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ นี่คือสงครามของเอลฟ์ ทั้งสามเผ่า รานุน รูมิแย่ ฟอร์แคร์ดำเนินกันมาช้านาน แม้เอาจริง ๆ เอลฟ์ทั้งสามเผ่าก็มาจากรากเหง้าเดียวกัน เคยก่อร่วมสงครามชิงดินแดนกับพวกออร์คและโดวาฟมาแล้ว แต่หลังเสร็จศึกใหญ่ครั้งนั้น พวกเอลฟ์ก็หันมารบกันเอง ศึกนี้เป็นของเอลฟ์รานุนกับเอลฟ์ฟอร์แคร์ เอลฟ์รานุนคือ กลุ่มเอลฟ์ที่มีเชี่ยวชาญการใช้ศาสตร์มืด มนตร์ดำ การอัญเชิญภูต เสกโครงกระดูก และโกเล็ม ยังชำนาญในการสร้างอาวุธที่มีคำสาปหรือพลังเวทย์อาบเอาไว้ด้วย นอกจากหูที่แหลม ลักษณะเด่นของเอลฟ์พวกนี้ ผิวซีดเหมือนศพ ตาเหมือนแมว ผมสีขาว พวกเขามีดินแดนเป็นอาณาจักรใหญ่ ที่พวกเขาตั้งชื่อดินแดนว่า ยออาน ตามชื่อของเอลฟ์รานุนตนแรกที่ไปฝึกวิชากับเทพีดานูและได้สำเร็จวิชาสายมืดส่วนพวกเอลฟ์ฟอร์แคร์ คือเอลฟ์ที่อยู่ในป่าและชอบอยู่กับธรรมชาติ เชี่ยวการยิงธนู และการใช้สลิง[1] เวทย์สายธรรมชาติ และการสื่อสารกับสัตว์ป่า พวกนี้จะมีผมสีดำ ผิวจะค่อนข้างคล้ำ และนิยมใช้สีทาตัวทาหน้า พวกเขาไม่ได้รวมกันเป็นอาณาจักรใหญ่เหมือนกับเอลฟ์รานุน แต่มักจะอยู่กระจายกันเป็นชนเผ่ามากกว่าและตั้ง
ลำนำแห่งว๊าก จากบันทึกของออร์ค ณ ดวงดาวดวงหนึ่งในจักรวาลที่อันแสนไกล ดาวดวงนี้เดิมที่เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าแมลงยักษ์ แต่ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ประตูมิติเปิด ได้นำพาสิ่งมีชีวิตอีกหลายพันธุ์เข้ามา แต่สิ่งที่มากที่สุดและพอจะมีสติปัญญาคือ พวก ออร์ค อมนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ผิวสีเขียว มีความป่าเถื่อน ชอบในการทำสงครามเข้ามาในดาวดวงนี้ พวกมันเข่นฆ่าเหล่าแมลงยักษ์ แม้พวกแมลงยักษ์จะร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงใด พวกออร์คนั้นมีพละกำลังและความบ้าเลือดจึงสามารถฆ่าแมลงยักษ์ได้จนหมด ดาวดวงนี้ถูกเรียกว่า ว๊าก ! หลักจากนั้นพวกมันก็เริ่มขยายเผ่าพันธุ์และดินแดนจนเรียกได้ว่าครองดาวด้วยนี้ได้แล้ ทำให้ดวงดาวกลายเป็นดาวที่ป่าเถื่อนและมีสงครามไม่เว้นในแต่ละวัน !จบบันทึกแห่งออร์ค ซึ่งก็ไม่รู้ว่าออร์คตัวไหนเขียน เพราะขืนไปถามมัน จะโดนฆ่าแทนบันทึกของโดวาฟกลุ่มแรก ผู้บันทึกคือ สโตน ราชาแห่งโดวาฟกลุ่มแรกรวมกับโดวาฟอีก 6 คนที่ไม่ขอเอ่ยนาม ข้านำพาโดวาฟกลุ่มใหญ่ทั้งชายและหญิงพันคน ขุดเหมือนที่ภูเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งข้าเองในเวลานั้น ยังเป็นแค่หัวหน้าคนงานเท่านั้นเอง แต่เราขุดลึกเกินไปมันเกิดแสงสว่างวาปขึ้น