เสียงกลองศึกและเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ นี่คือสงครามของเอลฟ์ ทั้งสามเผ่า รานุน รูมิแย่ ฟอร์แคร์ดำเนินกันมาช้านาน แม้เอาจริง ๆ เอลฟ์ทั้งสามเผ่าก็มาจากรากเหง้าเดียวกัน เคยก่อร่วมสงครามชิงดินแดนกับพวกออร์คและโดวาฟมาแล้ว แต่หลังเสร็จศึกใหญ่ครั้งนั้น พวกเอลฟ์ก็หันมารบกันเอง ศึกนี้เป็นของเอลฟ์รานุนกับเอลฟ์ฟอร์แคร์
เอลฟ์รานุนคือ กลุ่มเอลฟ์ที่มีเชี่ยวชาญการใช้ศาสตร์มืด มนตร์ดำ การอัญเชิญภูต เสกโครงกระดูก และโกเล็ม ยังชำนาญในการสร้างอาวุธที่มีคำสาปหรือพลังเวทย์อาบเอาไว้ด้วย นอกจากหูที่แหลม ลักษณะเด่นของเอลฟ์พวกนี้ ผิวซีดเหมือนศพ ตาเหมือนแมว ผมสีขาว พวกเขามีดินแดนเป็นอาณาจักรใหญ่ ที่พวกเขาตั้งชื่อดินแดนว่า ยออาน ตามชื่อของเอลฟ์รานุนตนแรกที่ไปฝึกวิชากับเทพีดานูและได้สำเร็จวิชาสายมืด
ส่วนพวกเอลฟ์ฟอร์แคร์ คือเอลฟ์ที่อยู่ในป่าและชอบอยู่กับธรรมชาติ เชี่ยวการยิงธนู และการใช้สลิง[1] เวทย์สายธรรมชาติ และการสื่อสารกับสัตว์ป่า พวกนี้จะมีผมสีดำ ผิวจะค่อนข้างคล้ำ และนิยมใช้สีทาตัวทาหน้า พวกเขาไม่ได้รวมกันเป็นอาณาจักรใหญ่เหมือนกับเอลฟ์รานุน แต่มักจะอยู่กระจายกันเป็นชนเผ่ามากกว่าและตั้งชื่อเผ่าเป็นสัตว์ อย่างเผ่านี้เรียกตัวเองว่า อัว (ห่าน ในภาษาเอลฟ์[2])
แม้ว่าอาวุธของพวกเอลฟ์รานุนจะดีกว่า แต่พวกเอลฟ์ฟอร์แคร์ชำนาญพื้นที่มากกว่า เลยทำให้การต่อสู้ยืดเยือนมาเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนและแทบจะเดาผลการต่อสู้ไม่ได้เลย แถมพวกสัตว์ป่ายังมาช่วยรบ จนทำให้ผู้นำทัพของเอลฟ์รานุนทั้งสองเริ่มที่จะเครียด ผู้นำทัพของเหล่าเอารานุนนั้น เป็นฝาแฝด นามว่า ดาเมียง และดิดิเย่ร์ ทั้งสองมีหน้าตาเหมือนกันราวกับคนเดียวกัน มีผิวซีด ผมยาวสีขาว ตาเหมือนแมวสีเหลืองอำพัน ดาเมียงสวมเกราะสีดำ มีลายเหมือนกันเส้นเลือดที่ขึ้นตามผิวหนัง ถือดาบยาวในมือ ขี่ม้าสีดำ เขาเป็นนักดาบมือหนึ่งของพวกเอลฟ์รานุน ส่วนดิดิเย่ร์สวมเกราะเบาถักจากโซ่สีเงินและสวมเสื้อคลุมสีดำปักกลายพระจันทร์เสี้ยว นั่งอยู่บนรถศึกที่เทียมด้วยม้าโครงกระดูก ! ถือไม้เท้ายอดเป็นรูปหัวกะโหลก
“ไอ้พวกกรีสฮาร์ทเนี่ย มันน่ารำคาญชะมัดเลยนะ กำจัดเท่าไหร่ก็ไม่หมด” ดาเมียงบ่น กรีทฮาร์ทเป็นคำเหยียดที่พวกเขาใช้เรียกพวกเอลฟ์รานุน เพราะว่าพวกเขามองว่าเอลฟ์ รานุนทำตัวไม่สมกับเอลฟ์เลยสักนิด ตรงข้ามเขามองพวกนี้เหมือนพวกออร์คในร่างเอลฟ์ซะมากกว่า จึงบอกว่าพวกนี้มีหัวใจสีเขียวเหมือนสีผิวของออร์ค
“นั่นสินะ ยิ่งไอ้เผ่านี้ ยิ่งแล้วใหญ่เลยว่ะ ตั้งชื่อเผ่าตัวเองได้ทุเรศมาก ห่านเนี่ยนะ”ดิดิเย่ร์พูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“แต่ก็ถึงเวลาต้องจัดการให้สิ้นซากสักที” ดาเมียงพูดจบก็ควบม้าไปและเหวี่ยงดาบ เพลงดาบของเขาร้ายกาจมากขนาดที่เรียกได้ ทุกคมดาบที่ฟาดไปนั้นต้องสังหารพวกเอลฟ์ฟอร์แคร์ได้ตนหนึ่ง ดิดิเย่ร์ร่ายมนตร์ศพทุกศพที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวระเบิดออกกลายเป็นทหารโครงกระดูก โดยพวกมันจะใช้อาวุธแบบเดียวกับที่ใช้ตอนมีชีวิต และยังมีพอจะต่อสู้แบบพื้นฐานได้ ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปนั้น
“ช้างงาจอบ” เสียงทหารของดาเมียงดังขึ้นมา พร้อมเสียงช้างร้อง ! ทัพช้างงาจอบของเหล่าเอลฟ์ฟอร์แคร์กำลังเคลื่อนพลมา มันเป็นช้างรูปร่างใหญ่โตปานขุนเขา มีงาแหลมอยู่ใต้คาง พวกมันมีควาญช้างคอยบังคับ แบกป้อมที่มีพลธนูอยู่เต็มไปหมด ทำให้มันเหมือนป้อมธนูเคลื่อนที่ ทหารฝ่ายรานุนเสียชีวิตไปหลายตน ดาเมียงเผชิญหน้ากับเหล่าช้างงาจอบ และกำลังจะถูกฟาดงวงใส่ แต่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดรูปร่างใหญ่โตปรากฎตัวขึ้นมาช่วยเขาเอาไว้ มันร่างกายเป็นหินและดิน ที่หัวมีเพียงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง มันคือ โกเล็ม เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากเวทย์มนตร์
“ขอบใจมากดิดีเย่ร์”
“ข้าไม่ได้เสกมันขึ้นมา” ดิดีเย่ร์ตอบ ดาเมียงเปลี่ยนสีหน้าทันที
“ไอ้ดิสมัส มันยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว”
มีนกแสกตัวหนึ่งบินเข้ามาในสนามรบ มันเป็นนกแสกสีน้ำตาล ที่แปลกคือมันสวมเกราะสีเงิน และมีกงเล็บเป็นโลหะ ! เข้าไปโจมตีควาญช้าง เลือดไหลอาบหน้าและพลาดตกจากช้างของตน เมื่อไม่มีควาญมันก็อาละวาดหนัก เจ้านกแสกขยายตัวใหญ่ตัวของพอ ๆ กับหมาป่าตัวหนึ่งเลย
มีเอลฟ์ตนหนึ่งกระโดดมาเกาะที่กงเล็บของมันและพาร่างของเขาบินขึ้นฟ้าไป เขาเป็นเอลฟ์รูปร่างสูงโย่ง ผิวขาวชีด ผมขาวสั้นยุ่ง หูแหลมเชิด ตาเหมือนแมวสีม่วง ! เขาสวมชุดเกราะสีดำขาว มีรูปร่างเหมือนกับโครงกระดูก ที่เอวมีดาบสะพายอยู่คือ ดิสมัส เอลฟ์ผู้เป็นแบล็กพาลาดิน คือ สามารถใช้ได้ทั้งเชิงดาบและทักษะของหมอผี ซึ่งน้อยคนจะทำได้ ! เจ้านกแสกพาเขาไปปล่อยลงที่หลังของช้างคลั่ง พลธนูกำลังจะฆ่าเขา แต่ดิสมัสร่ายคำสาปทำให้เหล่าพลธนูสับสนจนถึงกับฆ่ากันเอง ดิสมัสเอาดาบออกมา ดาบของเขามีรูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยว มีลูกตาตรงโกร่งดาบ เขาแทงไปหัวของช้างตรงตำแหน่งก้านสมองพอดี ทำให้เจ้าช้างตายและกำลังจะล้มแต่ ดิสมัสร่ายมนตร์ ร่างของช้างระเบิดออก กลายเป็นโครงกระดูกช้าง ขนาดยักษ์เข้าโจมตีข้าศึก ดิดิเย่ร์เห็นแล้วก็กัดฟันกร่อยแล้วพูดว่า
“ไม่อยากยอมรับเลยโวย ! หาทางล้มช้างนั่นและสร้างโครงกระดูกช้างยักษ์ มาเป็นกำลังให้พวกเรา ทำตามมัน” พวกเอลฟ์รานุนใช้วิธีการไปฟันช้างเข้าที่ขาทำให้มันล้มลงและรีบกระหน่ำแทงจนกระทั่งมันตาย และสร้างโครงกระดูกช้างยักษ์มาร่วมกองทัพทำให้เริ่มได้เปรียบแล้ว แต่แล้วก็มีหินลอยมาโดนหัวของทหารเอลฟ์ตายไปหลายนาย
“ไอ้พวกกรีนฮาร์ทใช้อาวุธเถื่อนเลยเหรอ !” ดิดิเย่ร์พูดขึ้นมาด้วยความโกรธ
[1] อาวุธสมัยโบราณ ทำจากเชือกและหนัง ใช้การเหวี่ยงลูกหิน แม้จะรูปร่างดูบ้าน ๆ ก็ตามแต่ว่า อานุภาพร้ายแรงพอสมควร
[2] ถ้าเทียบกับภาษามนุษย์นั้น พวกเอลฟ์จะพูดฝรั่งเศส
“ใช้คาถานั่นกับข้า” “เฮ้ย ! ไอ้การเป็นคนเสียสตินี่ นี่เป็นโรคติดต่อหรือไงวะเนี่ย” ดิดิเย่ร์พูด “ทำเลย” ดาเมี่ยงตะโกนเสียงดังลั่น “ก็ได้ แต่ไม่รับรู้ด้วยนะโวย ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ดิดิเย่ร์ร่ายมนตร์ควันสีดำมาปกคลุมร่างของดาเมี่ยงเหมือนกับดิสมัส ทั้งสองโจมตีอีกครั้งแม้พลังจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่อาจระคายผิว ของบาลเดอร์ได้เลย แถมยังถูก บาลเดอร์ปล่อยลำแสงออกมาเล่นงานทั้งสองอีก คราวนี้ทั้งสองหลบไม่ได้โดนเข้าไปเต็ม ๆ ถึงล้มลงไปและลุกแทบไม่ขึ้น ดิดิเย่ร์ซึ่งตอนนี้ทำอะไรแทบไม่ถูกแล้ว แต่เมื่อมองไปที่ร่างเปลือยเปล่าของบัลเดอร์ก็นึกบางอย่างออก เขาเลยตัดสินใจลุกขึ้น เหวี่ยงไม้คถาไปที่หว่างขาของมัน ซึ่งเป้าหมายคือ ลูกอัณฑะ ร่างของมันที่เปลือยเปล่าทำให้เห็นเป้าหมายชัดเจน ซึ่งเขาคิดอย่างไรเสีย มันก็เป็นผู้ชาย โดนฟาดไปเต็ม ๆ แบบนี้ยังไงก็ต้องเจ็บปวดแน่นอนแต่กลายเป็นบาลเดอร์ไม่เป็นอะไรเลย “คิดว่าข้าจะเจ็บกับอะไรแบบนี้หรือไง” และมันก็แตะเข้าที่หว่างขาของดิดิเย่ร์คืน เขารู้สึกเจ็บและจุกจนยืนแทบไม่ได้“กระจอกมาก ไม่มีอะไรในโลกที่ฆ่าข้าได้หรอกโวย” พูดยังไม่ทันขาดคำมีบางอย
“จะช่วยเขาก็มีทางเดียวแล้วล่ะ ข้าต้องเสกอาวุธที่สามารถฆ่าเจ้านั้นได้ หวังว่าคงไม่ได้ตัวอะไรมาอีกนะ” ศุภมิตรพูด เขาก่อกองไฟขึ้นมา นั่งขัดสมาธิ และเริ่มร่ายมนตร์ เปลวไฟตรงหน้าลุกโชนราวกับมันกำลังเต้นระบำอย่างสนุกสนาน สองพี่น้องมองดูด้วยใจเต้นแรง และภาวนาให้พิธีนี้สำเร็จโดยเร็ว และสักพักก็มีต้นไม้ต้นเล็กสีเขียวปรากฏขึ้นมา มันดูอ่อนแอและบอบบางจนไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ทำอาวุธอะไรได้ “ท่านเสกอีหยังมาเนี่ย” คำพูนพูดอย่างแปลกใจ ศุภมิตรนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า “มันเรียกว่าต้น มิสเซิลโท เป็นต้นไม้ตระกูลกาฝากน่ะ เจ้าต้นไม้ต้นนี้ ตอนที่แม่ของบาลเดอร์ไปทำสัญญานั้น มันยังเล็กอยู่จึงไม่ได้ทำสัญญาด้วย นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่ฆ่าเจ้านั่นได้” “ฮ่วย ! มันต้นน้อยซ่ำนี่ และแถมดูอ่อนหลาย ๆ จะเอามาเฮ็ดเป็นอีหยังได้” คำพูนพูดพลางลองหักด฿ ซึ่งมันก็อ่อนอย่างที่คำพูลพูดจริง ๆ ศุภมิตรทำหน้าไม่ถูก แค่คำแพงกลับเห็นอะไรบ้างอย่าง “ข้อยจะเฮ็ดมันเป็นอาวุธเอง” ที่สนามรบ ดิสมัส อลิซซ่า ดิดิเยร์ ดาเมี่ยงกำลังยืนดูกองทัพไวกิ้งกำลังเคลื่อนพลมา ทั้งดิสมัสและ ดิดิเยร์เสกโกเ
ดิสมัสปั้นหน้าไม่ถูกเพราะ เขาไม่เคยเห็นคนที่เป็นราชาแสดงท่าทางแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะ ๆ เช่นนี้ อิบารา โดจิกับศุภมิตรพูดจาปราศัยกันสักพัก อรุณนภาต้องถามว่า “ท่านศุภมิตรพาใครมาเหรอเจ้าคะ”ศุภมิตรเลยรีบแนะนำเอลฟ์ทั้งสอง “ดิสมัส กับ อลิซซ่า พวกเขาเป็นเอลฟ์ ที่ยึดดินแดนใหญ่ของเจ้าเพาเดอร์ไป”ชูเท็นโดจิหันขวับมา แต่อรุณนาภารีบบอกว่า “ใจเย็นก่อนชูเท็น มานั่งกินเหล้าเงียบ ๆ เถอะนะ”ชูเท็นโดจิ หันมาพูดกับอิบารากิโดจิว่า “วันนี้เจ้ากับข้ามีเรื่องพูดกันเยอะนะ อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ” ชูเท็นโดจิกลับนั่งและดื่มเหล้า อลิซซ่าก้าวเท้าออกมาโค้งคำนับอย่างสุภาพ “ข้าอลิซซ่า ตัวแทนของเหล่าเอลฟ์ มาขอคาราวะองค์ราชาและราชินี” “พวกเจ้ามายึดดินแดนข้า ไม่ต้องมาทำเป็นสุภาพหรอก” ชูเท็นโดจิพูดด้วยน้ำเสียงพร้อมหาเรื่อง แต่อรุณนภากลับพูดว่า “ใจเย็นก่อนชูเท็นเจ้าก็รู้นี่ ว่าไอ้เอลฟ์ที่มายึดเมืองเราต้องนั้นไม่ใช่พวกเขา ข้าขอเจรจาเอง” ชูเท็นโดจิยกเหล้าขึ้นดื่ม “จริงอยู่ดินแดนนั้นเคยเป็นของพวกท่าน แต่ท่านเสียให้เพาเดอร์ไปก่อนแล้ว ตอน
แม้ว่าตอนนี้ พวกมนุษย์หนูจะกลัวพวกนรสิงฆ์ แต่มันกลัวดิสมัสมากกว่า เลยตามดิสมัสไป เขากระโดดไปเกาะเจ้านกแสก ให้มันพาบินไปที่สนามรบและปล่อยร่างของนายมันลงไป เบต้าเองก็บินตามมาด้วย ดิสมัสกำดาบในมือแน่น เหล่านรสิงฆ์เข้ามาโจมตีเข้า ดิสมัสหลบได้และฟันสวนไปโดนเกราะ ดาบเด้งออกมา ทำให้รู้ว่าเกราะที่พวกเขาสวมอยู่ทำจากหวายสาน ! และดูจากสีของมันแล้ว มันต้องถูกแช่ในน้ำมันมาแน่น ๆ เกราะชนิดนี้มีน้ำหนักเบาแต่มีความเหนียวมาก อาวุธมีคมทำลายได้ไม่ง่าย ยิงพวกธนูยิ่งแล้วใหญ่มันเจาะเกราะแบบนี้ไม่ได้ แน่ ๆ “เบต้า แกบินไปบอกพี่ข้า ว่าเกราะพวกนี้เป็นหวายแช่น้ำมัน !” เบต้าพยักหน้ารับรู้และบินไปทันที คำแพงกับคำพูนกำลังจะตามช่วยดิสมัส แต่ดาเมี่ยงยืนขว้างหน้าเอาไว้ก่อน “คิดจะทำบ้าอะไร” “ก็ไปซอยอ้ายมัดติ เจ้าหลบไป” คำแพงพูด ดาเมี่ยงเลิกคิ้วเพราะเขาไม่ค่อยออกว่า คำแพงพูดว่าอะไรบ้าง ดิดิเย่ร์เลยพูดว่า “นางคงอยากให้เจ้าหลีกล่ะมั้ง เจ้ายังไม่ต้องไปไหนเดี๋ยว ไอ้ดิสมัสก็ส่งข่าวมา” ดิดิเย่ร์พูด “ฮู้ได้จั๋งได๋” คำแพงถาม ดิดิเย่ร์ตอบว่า
ดิสมัสไม่พูดอะไรอีกเขาเดินออกจากที่ประชุม และไปดูอาหารของตัวเอง ซึ่งเป็นเนื้อเค็มสูตรเขาและบิสกิสก้อนหิน “อ้ายเฮ็ดอีหยัง” คำแพงถามเขา “อยากจะเอาอะไรท่านพี่ทั้งสองกินสักหน่อย” ดิสมัสพูดขึ้นมา คำแพงมาดูแล้วพูดว่า “เอาของบ่เป็นตาแดก ไปให้สองคนนั้นเด้ เขาก็ชังอ้ายหลาย ๆ อยู่แฮ้ว เดี๋ยวก็ได้ชังหนักว่าเดิมติ”คำแพงพูดและมองรอบ ๆ ตอนนี้มีเพียงไข่กับข้าวเท่านั้น “รอก่อนเด้อ”คำแพงทำข้าวจี่และให้ดิสมัสเอาไปให้ฝาแฝด ตั้งแต่ถูกจับมา ดาเมี่ยงดูจะหงุดหงิดไปกับทุกอย่างรอบตัว ผิดกับดิดิเย่ร์ที่ดูสงบมากตั้งแต่เข้ามาในห้องขัง “โวยวายหาอะไรวะ ดาเมี่ยง” “แกไม่หงุดหงิดหรือไงวะ คุกนี้พวกเราคุมการสร้างเองนะโวย ! ใครจะไปคิดวะว่าจะเอามาขังพวกเราเอง” “ไม่นานหรอก เดี๋ยวพวกมันก็มาปล่อยเรา” ดิดิเย่พูด ดิสมัสกับคำแพงมาหาเขา ดิดิเย่ร์มองหน้าดิสมัสแล้วถามว่า “ต้องการอะไร” “ข้าแค่เอาอาหารมาให้เท่านั้นล่ะ” ดิสมัสวางข้าวจี่ตรงหน้าของฝาแฝด พวกเขาทำหน้างง แล้วถามพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ “ไอ้เหลือง ๆ นี่
“อ้ายล่อมันไปก่อน ข่อยจะเหวี่ยงหินใส่มัน” “เจ้าเป็นบ้าบ่ โตนมันยังกะยักษ์ หินก้อนน้อย ๆ ของเจ้าจะเฮ็ดหยังมันได้” พูดยังไม่ทันขาดคำเหล่าพานรมฤครุมโจมตีโกเล็มซะก่อน คำแพงเห็นเป็นโอกาสรีบเหวี่ยงหินไปทันที แต่ว่า ดาเมี่ยงโผล่มาเอาดาบปัดหินทิ้ง “คิดว่าหินแบบนี้จะฆ่าพวกเราได้งั้นเหรอ”คำพูลรีบมาขว้างหน้าคำแพง เขาตะโกนเสียงดังลั่น “ข่อยขอท้าสู้กับเจ้า โตต่อโต”ดาเมี่ยงได้ยินก็หัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าพูดบ้าอะไร อย่างเจ้าเหรอจะมาท้าทายข้าหา” “หรือว่าเจ้าย่านข่อยบ่”ดาเมี่ยงได้ยินก็ยิ่งหัวเราะเข้าไปอีก คราวนี้มันถึงกับน้ำตาไหล แล้วพูดว่า “อยากตายนักก็ได้ ข้าจะสงเคราะห์ให้ ดิดิเย่ร์ เจ้าไม่ต้องยุ่ง” ดาเมี่ยงพูด ดิดิเย่ร์หยักไหล่แล้วพูดว่า “ล้อเล่นเปล่าเนี่ย แค่มนุษย์คนเดียว แกยังจะให้ข้าลงมืออีกเหรอ”ดาเมี่ยงชักดาบออกมา คำพูลกำพร้าในมือเอาไว้แน่น เขารู้สึกถึงความกดดันที่แผ่เข้ามา ทำให้รู้ว่าฝีมือของอีกฝ่ายน่าจะเหนือกว่าตนหลายเท่า ดิสมัสตัดสินใจลุกขึ้นมาและเรียกเจ้านกแสกกลับ เขารวมพลังยิงกะโหลกเพลิงออ