เมื่อดาอิและไดชิ สองพี่น้องฝาแฝด ของห้อง 5/B ถูกส่งมาทำภารกิจกำจัดเงาปีศาจร้ายที่เกาะต้องคำสาปแห่งนี้ พวกเขาจะมีชีวิตรอดกลับไปได้หรือไม่
View Moreท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนที่พัดหวีดหวิว ราวกับเสียงกระซิบจากความว่างเปล่า ดาอิ และ ไดชิ สองฝาแฝดผู้แบกรับชะตากรรมยืนอยู่เบื้องหน้าประตูมิติที่เรืองแสงเรื่อๆ สีคราม ครอบครัวของพวกเขายืนอยู่ด้านหลัง ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลและความรักที่ไม่อาจเอ่ย ไดชิหันไปมองดาอิ ดวงตาของเขามีประกายแห่งความแน่วแน่และมุ่งมั่น ต่างจากดาอิที่แววตาเปี่ยมด้วยความลังเลเล็กน้อย แต่เพียงเสี้ยววินาที ความลังเลนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นไม่แพ้กัน เมื่อทั้งคู่สบตากัน พยักหน้าให้กันเบาๆ เป็นสัญญาณ ก่อนจะจับมือกันแน่น และก้าวเท้าเข้าไปในมิติที่บิดเบี้ยวตรงหน้า
ทันทีที่ก้าวผ่านพ้นธรณีประตูมิติ ร่างของพวกเขาก็ถูกเหวี่ยงเข้ามายังสถานที่แห่งหนึ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ลมพัดหวีดหวิวเมื่อครู่พลันเงียบสงัดราวกับถูกดูดกลืน ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของครอบครัวเมื่อครู่พลันหายไป เหลือเพียงความมืดมิดและไอเย็นยะเยือกที่กัดกินเข้าถึงกระดูก สัมผัสแรกที่เท้าของพวกเขาเหยียบลงไปคือผืนทรายเย็นเฉียบ เม็ดทรายละเอียดแทรกซึมผ่านรองเท้าผ้าใบจนรู้สึกได้ แสงสว่างเดียวที่มีคือแสงสีเงินยวงของพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่เหนือหัว ส่องกระทบผิวน้ำทะเลที่ราบเรียบราวกับกระจก ไม่มีการกระเพื่อมของคลื่น ไม่มีเสียงของน้ำทะเลที่ซัดสาด ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากของพวกเขาเอง "โอ้โห...น่ากลัวชะมัด" ดาอิพึมพำเสียงแผ่ว สอดส่ายสายตาไปรอบๆ เกาะร้างที่เงียบสงัดไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ ดวงตาสีรัตติกาลของเธอพยายามปรับให้เข้ากับความมืดมิด เบื้องหน้าคือผืนทรายสีขาวที่ทอดยาวจรดขอบน้ำทะเลที่นิ่งสนิทราวกับภาพวาด ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปู ปลา หรือแม้แต่หอยกาบ ทว่าความว่างเปล่านั้นกลับทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจเกาะกุมแน่นในอก "ไม่มีเสียงอะไรเลย...เงียบเกินไป" ไดชิขมวดคิ้วแน่น เขากำด้ามมีดอาคมที่เหน็บไว้ข้างตัวไว้แน่น ดวงตาคมกริบกวาดมองไปทั่วทิศทาง สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ ความรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องจากที่ไหนสักแห่งทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว "พวกแกอยู่ไหน...ออกมาเดี๋ยวนี้!" เสียงของเขาดังกังวานออกไปในความเงียบงัน พร้อมกับชูมีดอาคมที่เปล่งแสงเรืองรองสีเงินอมฟ้าขึ้นมาด้านหน้าอย่างระมัดระวัง เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทว่า...ไม่มีสิ่งใดปรากฏ ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับจากคำท้าทายของเขา นอกจากความเงียบงันที่น่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม ผืนทรายยังคงราบเรียบ น้ำทะเลยังคงนิ่งสงบ และอากาศยังคงเย็นยะเยือก "หรือว่า...พวกมันยังไม่มา?" ดาอิเอ่ยขึ้นมาเบาๆ พลางยกข้อมือซ้ายขึ้นมาดู นาฬิกาอาคม สีดำสนิทที่ปรากฏขึ้นบนข้อมือของเธอหลังเหตุการณ์เงาปีศาจแพร่กระจาย ยังคงนิ่งสนิท หน้าปัดดิจิทัลแสดงผล "ไม่มีสัญญาณปีศาจ" เธอหันไปมองไปทางป่ามะพร้าวขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเกาะ ลักษณะของต้นมะพร้าวที่สูงใหญ่และหนาทึบจนมองไม่เห็นแสงจันทร์ที่ส่องผ่านลงมาได้เลย ทำให้มันดูเป็นสถานที่ที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง "หรือพวกมันจะซ่อนอยู่ในป่านั้นคะ?" เธอชี้มือไปยังป่ามะพร้าวที่ดูมืดมิดราวกับเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ "อืม...อาจจะ" ไดชิพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของน้องสาว เขายื่นมือเข้าไปในกระเป๋าเป้สะพายหลัง และหยิบไฟฉายขนาดเล็กออกมา ส่องลำแสงสีขาวนวลไปเบื้องหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มก้าวเดินอย่างระมัดระวัง มุ่งหน้าสู่ป่ามะพร้าวที่ดูเหมือนจะซ่อนเร้นความลับบางอย่างเอาไว้ เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ป่ามะพร้าว ความมืดมิดก็กลืนกินพวกเขาจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใดได้ด้วยตาเปล่า ต้นมะพร้าวแต่ละต้นสูงเสียดฟ้า ราวกับกำแพงธรรมชาติที่กั้นแสงจันทร์ไม่ให้เล็ดลอดลงมาได้เลย มีเพียงลำแสงจากไฟฉายของไดชิเท่านั้นที่ยังคงส่องสว่างนำทางพวกเขาไปข้างหน้า เผยให้เห็นกิ่งก้านสาขาที่บิดเบี้ยวและใบไม้ที่หนาทึบ "ที่นี่...อุดมสมบูรณ์จังเลยนะไดชิ" ดาอิเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ เธอส่องไฟฉายไปรอบๆ พลางกวาดสายตาไปตามต้นไม้แต่ละต้นที่เต็มไปด้วยผลไม้แปลกๆ บางชนิดไม่เคยเห็นมาก่อนในโลกของพวกเขา ผลไม้เหล่านั้นมีสีสันสดใสชวนน่ามอง บ้างก็เป็นสีแดงทับทิมฉ่ำวาว บ้างก็เป็นสีม่วงเข้มราวกับอัญมณี เถาวัลย์พันเกี่ยวรัดกันจนแน่น ข้าวของเครื่องใช้ที่ดูเหมือนจะเป็นของมนุษย์ หรือแม้แต่เศษซากกระดูกที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น... "เฮ้! ระวังนะดาอิ!" เสียงห้าวของไดชิดังขึ้นอย่างตกใจ มือของเขาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของดาอิที่กำลังจะเอื้อมไปจับผลไม้สีแดงสดใสที่ห้อยระย้าอยู่เหนือหัว "อย่าไปจับมันนะ! เราไม่รู้ว่ามันอาบยาพิษ หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่รึเปล่า" ดาอิสะดุ้งเล็กน้อยที่ถูกจับมือ เธอดึงมือกลับทันทีอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเธอฉายแววไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย "อ่า...จริงด้วยสิ ฉันลืมไปเลย" เธอกำลังจะเอ่ยต่อ แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดอะไรให้จบประโยค จู่ๆ ก็มี เงาสีดำขนาดใหญ่ ร่างหนึ่งพุ่งพรวดตัดหน้าพวกเขาไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ มันเคลื่อนที่อย่างไร้เสียง แม้แต่ใบไม้ที่ถูกสัมผัสก็ยังไม่สั่นไหว ราวกับเป็นภาพลวงตา "นั่นไง! พวกมันอยู่นั่น!" ไดชิร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความมุ่งมั่น มือของเขาจับมือของดาอิไว้แน่น ก่อนจะออกวิ่งตามเงาดำนั้นไปอย่างไม่ลังเล ดาอิที่ถูกดึงก็ออกวิ่งตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าของพวกเขาก้องกังวานไปทั่วป่า แต่ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งตามไปเร็วแค่ไหน ระยะห่างระหว่างพวกเขากับเงาดำนั้นก็ไม่ลดลงเลย มันราวกับว่าเงาปีศาจกำลัง "เล่น" กับพวกเขา ล่อให้พวกเขาเข้าไปในกับดักบางอย่าง "มันเร็วมากเลยนะไดชิ!" ดาอิหอบเล็กน้อย เธอสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากเงาปีศาจนั้น แม้ว่านาฬิกาอาคมของเธอยังคงนิ่งสนิทก็ตาม "นาฬิกายังไม่เตือนเลย! หรือว่ามันไม่ใช่ปีศาจทั่วไป?" "ไม่รู้สิ! แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับเงาที่เราปล่อยออกมาแน่ๆ!" ไดชิยังคงไม่ละความพยายาม เขาวิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ ดวงตาจ้องมองไปยังเงาดำที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ สังเกตเห็นว่าเงาดำนั้นไม่ได้พุ่งไปในแนวตรง แต่กลับเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามต้นไม้ใหญ่ ราวกับกำลังนำทางพวกเขาไปสู่จุดหมายบางอย่างที่ซ่อนเร้น ทันใดนั้น เงาดำก็พุ่งหายเข้าไปในความมืดมิดอีกครั้ง ไดชิเร่งฝีเท้าตามไปติดๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมาถึงทางแยกที่ดูผิดปกติ ทางด้านซ้ายมือคือต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมือนจะกลมกลืนไปกับป่า แต่ทางขวามือกลับมีช่องว่างเล็กๆ ที่ดูเหมือนเป็นทางลับเข้าไปด้านใน "มันหายไปไหน?" ดาอิหอบเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ ตัว "นาฬิกายังไม่เตือน...มันแปลกจริงๆ" เธอกดดูนาฬิกาอาคมอีกครั้ง พยายามหาเบาะแส "ไม่แน่...มันอาจจะรู้ว่าเรามีนาฬิกาอาคม" ไดชิพึมพำกับตัวเอง เขากวาดไฟฉายไปรอบๆ ทิศทาง พยายามจับสัญญาณของเงาดำนั้น แต่ก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏ "ดูเหมือนมันจะอยากให้เราตามไปนะ" เขาเอ่ยพลางมองไปยังช่องว่างทางด้านขวามือ "นายจะเข้าไปเหรอ?" ดาอิถามอย่างลังเล ช่องว่างนั้นมืดมิดเกินไปจนแสงไฟฉายแทบจะส่องไม่ถึง ราวกับเป็นปากทางไปสู่ความว่างเปล่า "เราต้องไป...เรามาที่นี่เพื่ออะไรล่ะ?" ไดชิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว เขากำมีดอาคมในมือแน่น "ถึงแม้ว่านาฬิกายังไม่เตือน แต่สัญชาตญาณฉันมันบอกว่าตรงนั้นแหละ...คือที่ที่มันต้องการให้เราไป" ดาอิพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะรู้สึกหวาดหวั่น แต่เธอก็เชื่อในสัญชาตญาณของไดชิเสมอมา "งั้นไปกันเถอะ...แต่ต้องระวังให้มากนะ" เธอกล่าวพร้อมกับยกขวดกักเก็บดวงวิญญาณปีศาจสีแก้วใสที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมาดูเพื่อความมั่นใจ ทั้งคู่เดินเข้าไปในช่องว่างนั้นอย่างช้าๆ ทางเดินเริ่มแคบลงเรื่อยๆ จนแทบจะเดินสวนกันไม่ได้ ต้นไม้ที่นี่หนาทึบและบิดเบี้ยวผิดรูป ราวกับรากไม้กำลังขยับได้ สายลมที่เคยเงียบสงบพลันมีเสียงกระซิบแผ่วเบาเล็ดลอดมาในหู ยากจะแยกแยะได้ว่าเสียงนั้นคือเสียงของลม หรือเสียงของบางสิ่งบางอย่างที่กำลังซ่อนตัวอยู่ ยิ่งเดินลึกเข้าไป อากาศก็ยิ่งหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนไอขาวพวยพุ่งออกมาจากปากของพวกเขา แสงสว่างจากไฟฉายของไดชิเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับพลังงานบางอย่างกำลังรบกวนมัน กลิ่นเหม็นเน่าประหลาดโชยมาเป็นระยะๆ ราวกับซากศพของสัตว์ป่าที่เน่าเปื่อย ทว่ากลับไม่มีซากสัตว์ให้เห็นเลย "กลิ่นอะไรน่ะ...เหม็นชะมัด" ดาอิยกมือขึ้นปิดจมูก "ไม่รู้สิ...แต่ฉันรู้สึกเหมือนมันใกล้เข้ามาแล้ว" ไดชิกระซิบตอบ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานของอุโมงค์ต้นไม้ที่สูงชัน และแล้ว...หลังจากทำข้อตกลงกับหัวหน้าเผ่าสึนะ ไคลด์ ไดชิ และดาอิ ก็เริ่มต้นภารกิจที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา การเดินทางสู่ แหล่งพลังอาคมแห่งเงาที่แท้จริง ซึ่งซ่อนอยู่ลึกใต้เกาะแสงอรุณ มีเพียงไคลด์เท่านั้นที่รู้ทางเข้า ซึ่งต้องเดินทางผ่านทางน้ำใต้ดินที่ซับซ้อน"พวกเราทุกคนต้องรู้ว่าความมืดมิดที่พวกเจ้าเคยทำลายไปนั้น...เป็นแค่ เปลือกนอก ของพลังงานทั้งหมด" ไคลด์กล่าวขณะนำทางพวกเขาไปยังปากถ้ำที่ถูกซ่อนไว้ใต้รากต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ "พลังเงาที่แท้จริงไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายล้าง แต่มีไว้เพื่อ รักษาสมดุลของผืนดิน เมื่อหลายศตวรรษก่อน ผู้พิทักษ์รุ่นก่อนได้ผนึกมันไว้ไม่ให้ถูกผู้ใดครอบครอง"ปากทางสู่ความมืดปากถ้ำนั้นแคบและมืดมิด มีเพียงแสงจากตะเกียงอาคมที่ดาอิสร้างขึ้นเท่านั้นที่ช่วยให้พวกเขามองเห็นได้ ไคลด์ลงไปในน้ำก่อน ตามมาด้วยไดชิและดาอิ พวกเขาต้องว่ายน้ำตามกระแสน้ำใต้ดินที่เย็นเฉียบและมืดสนิทไปนานหลายนาทีเมื่อกระแสน้ำสงบลง พวกเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ใน อุโมงค์หินขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างและเสียงสะท้อนที่น่าขนลุก พื้นผิวของผนังถ้ำเต็มไปด้วย คริสตัลเงาสีดำ ที่ส่องแสงสลัว ๆ บ่งบอกถึงความหน
หลังจากที่พิธีสืบทอดตำแหน่งเสร็จสิ้น ไคลด์ก็กลายเป็นผู้พิทักษ์แห่งเกาะแสงอรุณอย่างเป็นทางการ แต่ภัยคุกคามจากชนเผ่าแห่งเงาก็ยังคงเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ไดชิ ดาอิ และไคลด์ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การเจรจาคือหนทางเดียวที่จะนำความสงบสุขที่แท้จริงมาสู่เกาะนี้พวกเขาตัดสินใจเดินทางไปยัง ป่าสนทมิฬ อีกครั้ง สถานที่ที่พวกเขาเคยถูกซุ่มโจมตี โดยมี ปู่เฒ่าดาฟ ร่วมเดินทางไปด้วยในฐานะตัวแทนของชาวเกาะ"การเจรจานี้อันตรายยิ่งกว่าการต่อสู้กับปีศาจ" ปู่เฒ่าดาฟกล่าวขณะเดินนำ "ความบาดหมางระหว่างเรากับชนเผ่าแห่งเงาฝังรากลึกมาตั้งแต่สมัย จอมเวทแห่งเงามืด ยังเป็นมนุษย์""ท่านปู่ ช่วยเล่าเรื่องราวความบาดหมางนั้นให้พวกเราฟังได้ไหมครับ" ไดชิถาม"ได้สิ..." ปู่เฒ่าดาฟเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย "ในอดีต จอมเวทที่ทรยศนั้นเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเวทที่แข็งแกร่งที่สุดบนเกาะ แต่เขามองว่าชาวเกาะธรรมดาและชนเผ่าแห่งเงาที่อาศัยอยู่ในป่าลึกเป็นเพียง เครื่องมือ และ พลังงาน ที่ไร้ค่า เขาต้องการให้ทุกคนกราบไหว้บูชาเขาเพียงผู้เดียว""แล้วชนเผ่าแห่งเงาเกี่ยวข้องอย่างไรคะ" ดาอิถาม"ชนเผ่าเหล่านั้นเป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่
หมู่บ้านแสงอรุณกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง แต่ความเงียบสงบในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ มันคือความสงบที่มาพร้อมกับความตึงเครียดและความเตรียมพร้อม ชาวบ้านช่วยกันพาไดชิ ดาอิ และไคลด์ไปที่วิหารเก่า ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่รักษาพยาบาลชั่วคราวบาดแผลและการเยียวยาไคลด์มีอาการหนักที่สุด พิษจากศรของชนเผ่าแห่งเงาได้เริ่มซึมซาบเข้าสู่กระแสเลือดของเขา แม้ร่างกายจะแข็งแกร่งดุจหินผา แต่พิษร้ายก็ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก"นี่มันพิษจาก พฤกษามรณะ" ปู่เฒ่าดาฟกล่าวขณะที่กำลังทำความสะอาดบาดแผลอย่างระมัดระวัง "ชนเผ่าแห่งเงาใช้สารนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณเพื่อทำให้เหยื่ออ่อนแรง...แต่ดีที่เจ้าเป็นบุตรแห่งทะเล ร่างกายจึงต้านทานได้ดีกว่าคนอื่น"ดาอิที่เฝ้าดูอาการของไคลด์อยู่ไม่ห่างรู้สึกผิดที่เธอไม่สามารถปกป้องเขาได้ เธอจึงตัดสินใจใช้พลังอาคมของตนเองเข้าช่วยในการรักษา ไดชิที่ถูกชนเผ่าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่แขนและขา ก็พยุงตัวเองมานั่งข้าง ๆ น้องสาว"ดาอิ...บาดแผลของนาย" ไดชิกล่าวด้วยความเป็นห่วง"ฉันไม่เป็นไรหรอกพี่ไดชิ" ดาอิส่ายหน้า เธอจ้องมองไปที่บาดแผลของไคลด์อย่างตั้งใจ ก่อนจะหลับตาลงเพื่
การเดินทางกลับหมู่บ้านเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับ ไคลด์ ผู้พิทักษ์แห่งท้องทะเล ชายหนุ่มลึกลับคนนี้ยังคงเดินนำหน้าอย่างเงียบ ๆ ร่างกายของเขาสง่างามและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ราวกับว่าเขาไม่ได้เดินอยู่บนพื้นดิน แต่กำลังล่องลอยไปตามกระแสลม ไดชิและดาอิเดินตามหลังเขาไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยความตื่นเต้นและกังวลใจ"ไคลด์..." ไดชิเริ่มต้นบทสนทนาหลังจากที่เดินทางมาได้พักใหญ่ "นายช่วยบอกเราได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทะเลเมื่อวานนี้ คลื่นนั่นมันไม่ใช่คลื่นธรรมชาติใช่ไหม"ไคลด์ไม่หยุดเดิน แต่ตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยแต่แฝงด้วยความหนักแน่น "คลื่นนั้นคือ การปฏิเสธของจิตวิญญาณแห่งทะเล พวกมันไม่ยอมรับผู้ที่ไม่ได้มาจากท้องทะเลให้เข้าใกล้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อเห็นว่าพวกเจ้าไม่ยอมแพ้...พวกมันจึงอนุญาตให้ข้าช่วยนำทางพวกเจ้ากลับมา""แล้วศรเพลิงที่ช่วยเราจากอสูรหินล่ะ" ดาอิถามอย่างกระตือรือร้น "นั่นเป็นของนายใช่ไหม"ไคลด์หันมามองพวกเขาเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นสบตาไดชิและดาอิอย่างช้า ๆ "ศรนั่นทำจาก ไม้แห่งภูเขาไฟ ที่ไม่ไหม้ไฟ และอาบด้วยพิษแห่งความมืดที่สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากพลังตกค้างได้...นั่นคือสิ่งที
หลังจากที่เรือกลับถึงฝั่งอย่างปลอดภัย ไดชิและดาอิรีบวิ่งขึ้นจากหาดทรายทันที หัวใจของพวกเขายังเต้นรัวจากความตื่นเต้นและความฉงนสนเท่ห์ที่ได้เห็นชายหนุ่มลึกลับคนนั้น ชายที่สามารถควบคุมพลังของทะเลและซ่อมแซมเรือได้ในพริบตา"เขา...เขาต้องเป็นผู้พิทักษ์คนต่อไปที่เราตามหาแน่ ๆ!" ดาอิกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดขีด"ใช่" ไดชิพยักหน้าอย่างเห็นด้วย "แต่เขาไม่ได้อยากให้เราเจอเลย และการที่เขาพาเรือเรากลับเข้าฝั่งอย่างรวดเร็วขนาดนี้ หมายความว่าเขาอาจจะมุ่งหน้าสู่ใจกลางเกาะแล้ว"สองพี่น้องตัดสินใจเริ่มต้นการตามล่าทันที โดยมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่พวกเขาเชื่อว่าจะเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดสู่ถ้ำของปู่เฒ่าดาฟและหมู่บ้าน ซึ่งพวกเขาเดาว่าชายหนุ่มคนนั้นน่าจะไปที่นั่นก่อนเพื่อพบกับผู้อาวุโสอุปสรรคแรก: ลานหินอัปลักษณ์พวกเขาต้องผ่าน ลานหินอัปลักษณ์ ที่เต็มไปด้วยก้อนหินแหลมคมและเศษซากของต้นไม้ที่ตายแล้ว ซึ่งเคยเป็นอาณาเขตของปีศาจหินก่อนที่เกาะจะฟื้นฟู พวกเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะพื้นผิวที่ลื่นและไม่มั่นคง"ดาอิ ระวังให้ดี" ไดชิเตือนขณะที่ใช้มือจับดาบอาคม "พลังงานมืดที่นี่จางหายไปแล้ว แต่พลังอาคมของธาตุหิน
หลังจากผ่านบททดสอบที่โหดร้ายทั้งสองครั้ง ไดชิและดาอิก็เข้าใจแล้วว่าการค้นหาผู้พิทักษ์ที่แท้จริงไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่เป็นการ ทดสอบปัญญาและจิตวิญญาณ ของผู้ถูกเลือก ไดชิและดาอิใช้เวลาในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนที่สามในการฝึกฝนร่างกายและจิตใจอย่างหนักหน่วง พวกเขาตระหนักว่าอาคมของพวกเขาจำเป็นต้องผสานเข้ากับธรรมชาติอย่างแท้จริงตามคำแนะนำของปู่เฒ่าดาฟและรูฟ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลของเกาะ พวกเขาจึงตัดสินใจพาเรือเล็กออกไปฝึกฝนกลางมหาสมุทร"ท่านปู่บอกว่าพลังที่แท้จริงของเกาะแสงอรุณไม่ได้อยู่บนพื้นดินเท่านั้น แต่อยู่ใน ท้องทะเลที่ลึกที่สุด ด้วย" ดาอิกล่าว ขณะที่เธอกำลังตรวจสอบผืนผ้าใบเรือที่ถูกเย็บอย่างแข็งแรง"ใช่" ไดชิกล่าวพร้อมกับดึงเชือกใบเรือให้ตึง ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยเหงื่อ "ที่นี่คือสถานที่ที่ไม่มีกำแพงและไม่มีภาพลวงตา มีเพียงพลังงานบริสุทธิ์ของคลื่นและลมเท่านั้น"พวกเขาแล่นเรือออกไปไกลจากชายฝั่งหลายชั่วโมงจนมองไม่เห็นเกาะแล้ว มีเพียงผืนน้ำสีครามที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ไดชิปิดตาลง พยายามใช้จิตสัมผัสถึงพลังอาคมที่แผ่กระจายอยู่ใต้น้ำ ในขณะที่ดาอิฝึกร่ายคาถาควบคุมสายลม เพื่อให้เรือ
Comments