เจียอี้ ผู้ซึ่งเย่อหยิ่งไม่หยุดนั้น จู่ๆ ก็เงียบบลงเมื่อเห็นซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือนางจับชายเสื้อผ้า ยกคางขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าอยู่ในสภาพตกอับก็ไม่ยอมก้มศีรษะ มีต่างหูผีเสื้อทองคู่เล็กห้อยอยู่บนหูของนาง ซึ่งไม่เข้ากับการแต่งตัวของนาง ราวกับว่ายังรักษาศักดิ์ศรีและความเป็นคนมีหน้ามีตาอยู่เล็กน้อยนางมาคนเดียวโดยไม่มีแม้แต่สาวใช้อยู่ข้างกายเลย"พระชายา คุณหนูเสิ่น พวกเจ้ามาพอดี" หลี่ฮูหยินโกรธมากจนหน้าแดง "ข้าเคยเห็นคนงี่เง่าและไร้เหตุผลมาเยอะแล้ว แต่ข้าไม่เคยเห็นคนมาทำเกะกะระรานขนาดนี้มาก่อน ไม่เพียงแต่จะเข้ามาโรงงาน ยังเรียกร้องให้เราเปลี่ยนชื่อด้วย พอถามนางว่าเหตุผลที่ถูกหย่า กลับนิ่งเงียบไม่ยอมบอก"ที่หลี่ฮูหยินโกรธก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อก่อตั้งโรงงานแรกๆ ซ่งซีซีและหลี่ฮูหยินก็ตั้งกฎขึ้นมาแล้ว หากมีคนถูกไล่ออกเนื่องจากทำสิ่งเลวร้ายหรือเป็นอันตรายต่อคนอื่น ทางโรงงานจะไม่รับดังนั้นพอเจียอี้มาก็ต้องถามต้นสายปลายเหตุก่อนแล้วค่อยทำการสอบสวนอีกทีตอนนี้นางพูดอ้อมแอ้มไม่บอกเหตุผล และยังคงเย่อหยิ่งและกำเริบเสิบสาน แล้วจะให้หลี่ฮูหยินไม่โกรธได้อย่างไร?ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือนั่งลง เจียอ
เมื่อเจียอี้เห็นซ่งซีซีและคนอื่ๆ ขยิบตาให้กัน นางก็ใจร้อนขึ้นมาทันที โดยไม่สนว่าซ่งซีซีจะเป็นคนที่นางจะไปมีเรื่องได้หรือไม่ ก็ตะโกนเสียงดังว่า "พวกเจ้าต่างก็จอมปลอมจริงๆ ไม่อยากรับผู้หญิงที่ถูกรังแกและทอดทิ้งอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ มาแกล้งทำเป็นใจดี ข้าจะไปเปิดโปงพวกเจ้าเดี๋ยวนี้"นางตะโกนแบบนี้ แต่กลับไม่ได้ลุกขึ้น ยังนั่งจ้องมองหลี่ฮูหยินด้วยความโกรธซ่งซีซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ในตอนแรกที่ได้ยินสาวใช้ของหลี่ฮูหยินมารายงาน นางคิดว่าเจียอี้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาแต่พอเห็นสภาพของนางที่โรงงาน ก็รู้สึกว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่คิดตอนนี้เห็นนางเอาแต่อาละวาด แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่แม้แต่ขยับก้น มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? คงไม่ใช่นางถูกไล่ออกจากบ้าน และใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจริงๆ เหรอ"ได้ยินว่าเจ้าวางแผนที่จะเปลี่ยนชื่อโรงงานเย็บปักซู่เจินของเราเหรอ" เสิ่นว่านจือก็รู้สึกถึงว่ามีบางอย่างผิดปกติ และน้ำเสียงของนางก็ไม่ได้ก้าวร้าวนัก หลักๆ คือเมื่อเห็นนางอยากจะทำตัวกำเริบเสิบสานแต่ทำไม่ได้ก็รู้สึกน่าขันเจียอี้เบะปาก "ข้าแค่คิดว่ามันเป็นลางร้ายที่จะตั้งชื่อด้วยชื่อของคนตาม
การสอบสวนเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องให้ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือออกโรงเองหัวหน้าลู่และพ่อย้านของจวนโหวผิงหยางเป็นเพื่อนเก่ามาหลายปีแล้ว ในวันรุ่งขึ้นทั้งสองคนนัดกินข้าวกัน แล้วทุกอย่างก็ชัดเจนแล้วปรากฎว่าเมื่อปีที่แล้วได้แต่งอนุคนใหม่ อนุคนนั้นแซ่จาว พ่อของนางเป็นซิ่วไฉ ส่วนนางเองก็เรียนหนังสือมา ได้หมั้นหมายกันมาแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าคู่หมั้นได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน และนางถูกหาว่ามีดวงกินสามี และถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดไม่รู้ว่าได้พบกับโหวผิงหยางอย่างไร แต่โหวผิงหยางก็ถูกใจนางเข้าแล้ว และแต่งนางเป็นอนุตามที่พ่อบ้านเฟิงบอกว่าที่รับอนุจาวคนนี้มาก็เพราะอยากให้นางช่วยดูแลบ้านด้วย เนื่องจากฮูหยินรองป่วยมานานแล้ว และเมื่อฤดูหนาวที่แล้วนางเกือบเสียชีวิต บัดนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้น อาการของนางถึงดีขึ้นมาหน่อยอนุจาวคนนี้ดูแลบ้านได้ดีมาก หลังจากที่แต่งเข้ามาก็ตอยช่วยฮูหยินผู้เฒ่าบริหารฝ่ายใน และฮูหยินผู้เฒ่าก็ชอบนางมากแน่นอนว่าเจียอี้จะไม่ชอบอนุจาว เพราะงั้นเจียอี้เลยเล่นงานนางทั้งเปิดเผยและลับหลัง โดนฮูหยินผู้เฒ่าดุมาหลายครั้งสดท้ายถึงยอมสงบเสงี่ยมเจียมตัวบ้างเมื่อสามเดือนก่อ
เมื่อซ่งซีซีเห็นเขาวันนี้ได้กลับมาเร็ว ก็ยิ้มหวาน และเลิกคิ้ว "คดีจัดการเสร็จแล้วหรือ?""เปล่า แต่ไม่อยากอยู่ดึกคืนนี้" ดวงตาของเซี่ยหลูโม่สบกับนาง และมีสีหน้าอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว เขาเดินไปนั่งลงข้างๆ ซ่งซีซีด้วยรอยยิ้มอาจารย์หยูสั่งให้คนใช่ชงชา "คอจะลุกไฟอยู่แล้ว ไปทำน้ำชารี่ มาชงน้ำมะนาวมาให้หน่อย""วันนี้อาจารย์หยูยุ่งอะไรมาเหรอ? ถึงขั้นเสียงแหบแห้งไปด้วย" เสิ่นว่านจือถามด้วยรอย"ไปซื้อร้านค้าแล้วต่อรองราคาด้วย" หลังจากที่อาจารย์หยูคารวะซ่งซีซีเสร็จก็นั่งลงนางไม่สนใจเรื่อวซื้อร้านค้า ดังนั้นเสิ่นว่านจือจึงรีบถามเซี่ยหลูโม่ว่า "เมื่อกี้ท่านอ๋องบอกว่ารู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเจียอี้ มันยังไงกันเหรอ?"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "แต่เดิมนางก็ไม่มีเงินมากนักอยู่แล้ว ตอนที่สืบสวนคดีกบฏของเซี่ยอวี้นและพบว่าเงินทั้งหมดที่ทำโดยร้านค้าของเจียอี้นั้นเป็นของเซี่ยอวี้น และร้านค้ที่ร่วมกับพวกฮูหยินและฉีกุ้ยไทเฟย เต๋อกุ้ยไทเฟยนั้นก็ถูกพันพัวด้วย ก่อนหน้านี้เคยสอบสวนมารอบหนึ่งแล้ว แต่ตราบใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับดคีนี้ก็ถูกปิดร้านหมด นางยังมีร้านส่วนตัวสองแห่ง แต่น่าเสียดายมันอยู่ใต้ชื่อฝู้หม่ากู้ ห
ซ่งซีซีนึกถึงเงินไม่กี่เบี้ยนั้นนางยังเก็บไปด้วย เห็นได้ชัดว่าจนตรอกไปจริงๆทว่าเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เข้า แม้ว่าเดิมทีนางแค่ต้องกันเล่นงานท่านแม่ของอนุจาว แต่สุดท้ายกลับทำให้อนุจาวแท้งลูก จากนั้นยังผลักจ้านเส้าฮวนลงไปในทะเลสาบ ที่จ้านเส้าฮวนว่ายน้ำไม่เป็นนางก็รู้เรื่องด้วย เท่ากับว่านางจงใจจะสังหารจ้านเส้าฮวน"ข้ารู้ว่ามันไม่ควร" เสิ่นว่านจือพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "แต่เมื่อจ้านเส้าฮวนถูกผลักลงไปในทะเลสาบ ข้าอยากจะหัวเราะจริงๆ"เมื่อพูดจบแล้วก็กล่าวขอโทษเบาๆ ราวกับชดเชยกับเสียงหัวเราะได้ซ่งซีซีขมวดคิ้วเล็กน้อย "สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจคือทำไมนางยังโง่ขนาดนี้ นางไม่ใช่ท่านหญิงอีกแล้ว และทางจวนโหวผิงหยางก็ไม่ชอบนาง ท่านแม่ถูกกักบริเวณ และท่านพ่อของนางถูกประหารชีวิต นางยังก่อเรื่องอะไรกัน ไม่อยากมีชีวิตต่อใช่ไหม""ถ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วจะขอความช่วยเหลือจากโรงงานเย็บปักได้อย่างไร" อาจารย์หยูกล่าวซ่งซีซีหันศีรษะมองไปที่เซี่ยหลูโม่ "ท่านคิดว่ายังไง"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "อาจมีเรื่องแอบแฝงก็ได้ พ่อบ้านเฟินไม่ทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมด เรื่องอื้อฉาวบางเรื่องในตระกูลใหญ่มักจะถูก
ยังไม่ทันที่ซ่งซีซีจะไปหาฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยาง ในวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวลือเกี่ยวกับโรงงานที่ข้างนอกหมดว่ากันว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องและหลี่ฮูหยินต่างก็เป็นคนจอมปลอม แกล้งทำเป็นคนดี เมื่อมีผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งไปขอความช่วยเหลือ พวกนางไม่เพียงแต่ปฏิเสธและยังหาเรื่องด้วยเดิมทีก็มีผู้คนจำนวนมากไม่ชอบโรงงานนั้น โดยคิดว่าพวกนางรับผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งคือท้าทายจริยธรรม ในเมื่อถูกทอดทิ้งก็ย่อมสมควรได้รับมัน ต่อให้เป็นเพราะอิจฉาหรือไม่มีบุตรก็เป็นบาปขณะนี้เกิดข่าวลือขึ้นมาเป็นกระแส เมื่อมีข่าวลือผู้คนก็รุมกันกระทืบซ้ำ ในเวลานั้นประชาชนก็ด่าทอโรงงานยกใหญ่ไปทั่ว มีหาว่าจอมปลอมบ้าง โดนหาว่ามีเจตนาแอบแฝงบ้าง และมีคนหาว่าอยากโกงเงินด้วยในตอนเย็น เสิ่นว่านจือโกรธมากจนทุบโต๊ะแล้วพูดเสียงดังว่า "เจียอี้คนเดียวจะสร้างกระแสเช่นนี้ได้เหรอ ข้าไม่เชื่อหรอก"หลังจากพูดอย่างนั้น ก็วิ่งออกไปราวกับลมกระโชกแรง ซ่งซีซีถามอยู่ข้างหลังว่า "เจ้าจะไปไหน""ตึกว่างจิง หาคนไปสอบสวน" เสิ่นว่านจือจากไปโดยไม่หันกลับมามองนางโกรธมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว นางทุ่มเทความพยายามอย่างมากในโรงงาน และมีเจตนาที่ดี นางเห็นอกเห็นใจก
ตั้งแต่มาที่เมืองหลวง เขามักจะให้นางเสิ่นไปหาเสิ่นว่านจือเสมอ พวกนางมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หากสามาถไปมาหาสู่กันบ่อยๆ งั้นซ่งซีซีบ่อมสู้ความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่ได้ผู้ใดจะไปรู้ว่านางเสิ่นไร้ความสามารถและชอบเล่นตัวด้วย น้อยๆ หลังจากถูกปฏิเสธมาสองสามครั้งก็ไม่ยอมไปอีก โดยบอกว่าลูกพี่ลูกน้องของนางคนนี้ชอบดูถูกคนอื่น นางในฐานะพระชายา ไม่ยอมทนกับความคับข้องใจเช่นนี้ อีกอย่างต่อให้ทั้งสองพี่น้องต้องไปมาหาสู่กัน ก็ควรให้เสิ่นว่านจือมาเยี่ยมนางนี่ทำให้อ๋องเยี่ยนทั้งโกรธและสับสน เขายังส่งคนไปตรวจสอบโดยเฉพาะ เพื่อดูว่าระหว่างสองพี่น้องนี้มีปัญหาอะไรกัน แต่แล้วก็พบว่าไม่มี ตอนสาวๆ ทั้งสองก็ดีต่อกัน แต่หลังๆ เสิ่นว่านจือไปฝึกศิลปะการต่อสู้ที่สถาบันชื่อเยียนที่ภูเขาเหม่ยชาน ดังนั้นพวกนางจึงติดต่อกันน้อยลงสำหรับอ๋องเยี่ยนแล้ว นี่เป็นความสัมพันธ์ที่ซ่อมแซมได้ไม่ว่าเสิ่นว่านจือมาหาถึงที่ด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่ทำให้สองพี่น้องคืนดีกันใ ดังนั้นเขาจึงส่งคนไปเชิญนางเสิ่นมาทันทีไม่นานหลังจากนั้น นางเสิ่นก็มาถึงห้องหนังสือพร้อมกับชุนซิ่น นางค่
เสิ่นว่านจือชี้หน้านาง ดวงตาของนางลุกเป็นไฟ "เสิ่นว่านหง ข้าเตือนเจ้า หากเจ้ายังช่วยเจียอี้เผยแพร่ข่าวลือที่ดีต่อโรงงานเย็บปักซู่เจินล่ะก็ ข้าจะดึงลิ้นของเจ้าออก"หลังจากพูดอย่างนั้น นางก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่เหลือบมองอ๋องเยี่ยนแม้แต่แวบหนึ่งองครักษ์รวมตัวกันอยู่นอกประตู อ๋องเยี่ยนสะยัดมือเพื่อส่งสัญญาณให้องครักษ์ถอยออกไปเสิ่นว่านจือสบถขึ้นมาเบาอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เดินจากไปอ๋องเยี่ยนมองไปที่แผ่นหลังของเสิ่นว่านจือ สวมชุดสีแดงสะดุดตามาก ทำอะไรเด็ดเดี่ยว กล้าหาญและหยิ่งผยอง นี่คือลูกสาวจากตระกูลเสิ่นที่เขาอยากแต่งงานด้วยจริงๆ" ท่านอ๋อง นางตบหน้าข้า เจ้าจะปล่อยนางไปอย่างนี้ได้อย่างไร" นางเสิ่นปิดหน้าและร้องไห้อย่างเสียใจ แก้มข้างหนึ่งทั้งแดงและบวม อีกทั้งร้องไห้อย่างหนักอ๋องเยี่ยนละสายตาและมองดูนาง ความอ่อนโยนในเมื่อกี้ก็หายวาบไปแล้ว เขาขมวดคิ้ว ต่างเป็นสตรีจากตระกูลเสิ่น เหตุใดถึงแตกต่างกันมากเช่นนี้?"ท่านอ๋อง!" เมื่อเห็นเขาแสดงสีหน้าเย็นชาและรังเกียจอีกครั้ง นางเสิ่นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยใจ นางก้าวเข้าไปใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง พยายามอยากให้อีกฝ่า
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง