หัวหน้าลู่ก็กลับมาหลังจากพูดคุยกับพ่อบ้านเฟินเสร็จ โดยบอกว่าเจียอี้รังแกและทุบตีคนรับใช้จริงๆหัวหน้าลู่กล่าวว่าเมื่อเขาพูดถึงนางซู ก็ได้ร้องไห้มารอบหนึ่ง โดยบอกว่าทุกคนในจวนโหวผิงหยางต่างก็ชอบนางซู ถ้าไม่ใช่เพราะมีเจียอี้อยู่ นางก็อาจจะเป็นภรรยาเอกส่วนหงเซียวก็กลับมา ยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไรในขณะนี้ นางยังพยายามถามคนรับใช้ของจวนโหวผิงหยาง แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือนอกจะคนกลุ่มนั้นที่บอกว่าโดนเจียอี้ทุบตี และต้องการแก้แค้นเจียอี้แล้ว ก็ไม่มีคนอื่นออกหน้ามาพูดอะไรสักคำจะเห็นได้ว่าทางจวนโหวได้ควบคุมคนรับใช้และรักษาความเป็นส่วนตัวฝ่ายในจวนไว้เป็นความลับได้ดีมาก พอมองดูเช่นนี้แล้ว คนกลุ่มนั้นดูเหมือนจงใจมาทำลายชื่อเสียงของเจียอี้"ใช่แล้ว ไม่พบเบาะแสใดๆ ที่จวนโหวผิงหยาง แต่ใช้โอกาสนี้ได้พบว่าสาเหตุที่ข่าวลือข้างนอกได้สร้างกระแสมากก็เป็นเพราะมีคนเขียนบทความเพื่อร้องเรียนโรงงาน และระบุข้อหาที่ทางโรงงานฝ่าฝืนกับกฎระเบียบที่บรรพบุรุษตั้งไว้""ผู้เขียนบทความมีตัวตนอะไรบ้าง? ได้สืบสวนมายัง"หงเซียวพยักหน้า "พบว่าผู้เขียนบทความเหล่านี้ล้วนเป็นนักเรียนของเจ้า
แม้ว่าตอนนี้จะดึกแล้วแต่เขายังสั่งคนไปส่งจดหมายขอพบที่จวนเจ้ากรม "จะต่อต้านศิษย์พี่ของข้า คืนนี้เขาอย่าคิดจะนอนหลับฝันดีเลย"ซ่งซีซียกมุมปากขึ้น "พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน ไปเยี่ยมฉีฮูหยินใหญ่สักหน่อย""ได้" เซี่ยหลูโม่กอดนางไว้ในอ้อมแขนแล้วจูบนางที่หน้าผาก เสียงแหบแห้งเล็กน้อย "นี่มันเดือนเมษายนแล้ว เรายังไม่ได้ออกไปเที่ยวเลยแม้แต่วันเดียว แต่งงานกับข้ายังไม่ได้ใช้เจ้าใช้ชีวิตสบายๆ เลย"ซ่งซีซีเอาหัวพิงหน้าอกของเขา เมื่อนึกถึงตอนที่เขากลิ้งลงมาจากภูเขา และอดไม่ได้ที่จะพูดล้อเล่นขึ้นมาว่า "เจ้ายังอยากเล่นการเลื่อนหินมะไหมล่ะ บัดนี้คงไม่มีหิมะแล้วนะ""เปล่า เปล่านะ" เซี่ยหลูโม่รู้สึกเขินอายมากจนก้มศีรษะลงเพื่อจูบนางอย่างแรงพอป้าหยินเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารมื้อเย็นก็เห็นเป่าจูวิ่งออกไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ และเกือบจะชนเข้ากับนาง นางจึงดุว่า "เจ้าทำอะไรบุ่มบ่ามขนาดนี้"ป้าหยินก้าวเข้าไปสองก้าว พอเปิดม่านออกก็รีบหันหลังทันที เกือบจะทำให้เอวเจ็ดขึ้นมา จากนั้นเดินออกไปพร้อมอาหารกำลังนัวเนียกันอยู่ แล้วจะมาสนใจอาหารธรรมดาเช่นนี้ได้อย่างไร?ป้าหยินปิดประตูอย่างมีรู้ความ นางเงยหน้าขึ้นมองดว
ซ่งซีซีรู้ว่านางไม่ได้พูดอย่างขอไปที การขอไปทีกับความจริงใจนางมองออกได้"ฮูหยินใหญ่คือมารดาของฮองเฮา หากโรงงานเย็บปักซู่เจินมีฮองเฮาเป็นผู้นำทางคงจะดีที่สุด"ฉีฮูหยินใหญ่สะดุ้งเล็กน้อย "พระชายา หากโรงงานเย็บปักซู่เจินประสบความสำเร็จได้ ก็จะมีชื่อเสียงที่ดีตลอดกาล เจ้าได้เริ่มแล้ว แม้ว่าจะมีอุปสรรค แต่เชื่อว่ามันจะไม่ได้ยากเกินไปสำหรับพระชายา"ซ่งซีซีกล่าวว่า "จะบอกว่าง่ายแต่ก็ไม่ง่ายเลย ถึงยังไงมันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนคิดอยู่เลย"ฉีฮูหยินใหญ่พยักหน้าเล็กน้อยและเดินไปข้างหน้าช้าๆ "เป็นเรื่องยากที่จะจัดหารจริงๆ แต่พระชายาก็โดนด่าไปแล้ว ทำไมต้องแบ่งผลงานให้ฮองเฮาด้วยเล่า?"ซ่งซีซียิ้มและกล่าวว่า "ข้าเชื่อว่ามาพูดถึงเรื่องผลงานกับเรื่องนี้มันคงใจแคบไปหน่อย สามารถนำไปทำต่อถึงเป็นสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน"ฉีฮูหยินใหญ่ไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจได้ และผ่านไปพักใหญ่ถึงชมเชยว่า "ที่พระชายามีความคิดและใจกว้างเช่นนี้ได้หายากจริงๆ""ไม่งั้นฮูหยินใหญ่ลองไปคุุยกับฮองเฮาดีไหม" ซ่งซีซีมาที่นี่ก็มีจุดประสงค์ของนางเอง เรื่องสถาบันการศึกษาสตรีได้รับการสนับสนุนจากไทเฮา หากโรงงานมีฮองเฮาเ
เซี่ยหลูโม่พูดช้าๆ "ถ้ามีจุดอ่อนอยู่ในมือของคนอื่น ก็จะถูกคนอื่นควบคุมจริงๆ ข้าไม่ได้เอาเรื่องของเจ้าเผยแพร่ออกไป เป็นเพราะจุดอ่อนต้องใช้ประโยชน์กับโอกาสที่เหมาะสม ถึงเวลาแล้ว ไม่พูดมากความอีก หากไม่ได้มอบบทความให้อาจารย์หยูภายในสองวัน งั้นใต้เท้าฉีก็ให้พวกเขาเขียนบทความเยอะๆ เพื่อช่วยชี้แจงให้เจ้าก็แล้วกัน"ได้ นี่ก็คือการขู่ชัดๆ เจ้ากรมฉีโกรธจัดจนหน้าอกนั้นกระเพื่อม แต่ก็ทำได้เพียงจ้องมองเฉยๆเซี่ยหลูโม่ยังคงทำตัวนิ่งๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรที่รุนแรง และค่อยๆ ลิ้มรสชาดีๆ จากจวนตระกูลฉี เขาเป็นคนจู้จี้จุกจิกมาโดยตลอด แต่ชาจากตระกูลฉีไม่เลวเลย พวกเขาค่อนข้างมีรสนิยมและมักจะคิดว่าตนเองมีศีลธรรมอันสูงส่งผู้สูงศักดิ์เหล่านี้มักจะทำตัวไม่เห็นหัวผู้ใด แต่จริงๆ แล้วก็จัดการได้ง่าย โดยเฉพาะคนอย่างเจ้ากรมฉีที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตนแต่ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ตนเองทำก็ยิ่งจัดการได้มากกว่าหลังจากจิบชาอยู่พักหนึ่งแล้ว ซ่งซีซีและฉีฮูหยินใหญ่ก็เดินกลับมาด้วย เซี่ยหลูโม่ยืนขึ้นและพูดกับเจ้ากรมฉี ซึ่งยังมีสีหน้าไม่สู้ดีว่า "วันนี้ยังมีธุระต้องจัดการ ไม่รบกวนแล้ว หวังว่าจะไม่ต้องให้ข้ามาครั้ง
จวนตระกูลฉีเจ้ากรมฉีเหวี่ยงแขนเสื้อแล้วพูดว่า "ฮูหยินช่างไร้เดียงสา จะเชื่อคำหลอกลวงของซ่งซีซีได้อย่างไร ถ้าฮองเฮาออกหน้าสนับสนุนโรงงานจริงๆ นางจะไม่ถูกพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นด่ายกใหญ่หรือ ต่อให้ฮองเฮาไม่ทำอะไร องค์ชายใหญ่ต้องได้ตำแหน่งแน่ๆ เขาเป็นบุตรชายของฮองเฮา และเป็นบุตรคนโตด้วย นอกจากเขาแล้วยังมีใครได้อีกเล่า?"ฉีฮูหยินใหญ่นั่งอย่างสงบและถามว่า "ในเมื่อเช่นนี้ ทำไมใต้เท้าถึงต้องเล่นงานโรงงานเล่า"นับตั้งแต่เหตุการณ์ของกู้ชิงเมี่ยว ฉีฮูหยินใหญ่ก็ไม่ได้เรียกเขาว่าท่านสามีอีกเลย เป็นคู่สามีภรรยามาตั้งนาน สุดท้ายก็เกิดความบาดหมางเข้าเจ้ากรมฉีเม้มปากและไม่พูดอะไร แต่สีหน้าดูจริงจังขึ้นมามากฉีฮูหยินใหญ่รู้เหตุผล แต่เมื่อเขาไม่พูดอะไร จึงพูดโดยตรงว่า "ตอนนี้ฝ่าบาทอายุยังน้อยยังแข็งแกร่งอยู่ การแต่งตั้งราชทายาทจึงเป็นเรื่องแสนไกล มีพระสนมมากมายในพระราชวังและในอนาคตจะมีองค์ชายเพิ่มขึ้นมากมาย หากมีคนฉลาดและมีความสามารถมากกว่าองค์ชายใหญ่ แล้วฝ่าบาทจะเลือกคนอื่นหรือไม่ บัดนี้ที่ฝ่าบาทไม่ยอมแต่งตั้งราชทายาทสักที มีเหตุผลอะไรบ้าง เกรงว่าใต้เท้าจะรู้ชัดเจนกว่าข้านะ แต่มีข้อหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่
นักวิชาการเหล่านั้นได้ส่งบทความไป อาจารย์หยูไม่จำเป็นต้องส่งส่งให้ท่านอ๋องอ่านก่อน เขาก็ปฏิเสธบทความเหล่านั้น ดูเหมือนถูกบังคับ ยังมีอคติต่อโรงงาน และขนาดคำชี้แจงยังดูฝืนใจมาก"พรุ่งนี้มาส่งให้ใหม่ ถ้ายังเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องมาอีก" อาจารย์หยูพูดอย่างใจเย็นหนึ่งในนั้นที่มีนามสกุลเฉินพูดอย่างขมขื่นว่า "ท่านก็เป็นนักวิชาการด้วย เหตุใดพอมีอำนาจแล้วก็มาเล่นงานนักวิชาการเล่า"อาจารย์หยูใช้คำพูดที่ทั้งสั้นและตรงที่สุดเพื่อแย้งความคิดไม่เอาไหนของพวกเขา "แค่เสียใจที่พวกเจ้าไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง และไม่สามารถเข้าใจความยากลำบากของแม่ของพวกเจ้าได้""โรงงานมันเกียวอะไรกับผู้หญิง? นั่นมันสถานที่รับหญิงที่ถูกทอดทิ้ง"อาจารย์หยูพูดอย่างเคร่งขรึม "ถ้าหากมีผู้ชายที่ถูกทอดทิ้งก็ไปได้"พวกเขาต่างตกใจกันว่า "จะมีผู้ชายที่ถูกทอดทิ้งได้อย่างไร คำพูดเช่นนี้น่าขำสิ้นดี"อาจารย์หยูแสดงสายตาดูถูก "ใช่ จะมีผูู้ชายที่ถูกทอดทิ้งได้อย่างไร หรือว่าผู้ชายทุกคนในโลกที่มีศีลธรรมอันสูงส่ง ดีกว่าผู้หญิงมากหรือ?""ผู้ชายก็ยากลำบาก ต้องประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เลี้ยงดูภรรยาและบุตร มีหรือที่ไม่ได้…"อาจารย์หยูถ
ซ่งซีซีขมวดคิ้ว มันเกี่ยวข้องกับนางซูจริงๆนางไม่อยากให้เป็นนางซูมากที่สุด เพราะรู้ว่าที่ผ่านมานางใช้ชีวิตยากลำบากในจวนโหวด้วย ต้องดูแลบ้านก็ต้องมีลูกและอบรมสั่งสอนลูกๆ ด้วย เจียอี้มักจะวิพากษ์วิจารณ์นางอย่างรุนแรง แม้ว่านางจะเป็นหลานสาวของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ว่าไปก็ไม่ใช่ภรรยาเอก ดูแลฝ่ายใน ไปสุงสิงคนภายนอก แต่ก็ยังไม่เหมาะสมสักเท่าไรเสิ่นว่านจือก็ปวดหัวเช่นกัน "ทำอย่างไรดี อย่าบอกนะว่าเป็นนางจริงๆ ถ้าเป็นนางละก็... คนๆ นี้ก็ตายไปแล้ว เมื่อผลออกมาแล้วโหวผิงหยางและฮูหยินผู้เฒ่าจะเชื่อเหรอ อีกอย่างตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นแผนการของนางซูก่อนตาย แค่คำสารภาพของสาวใช้คนหนึ่งก็ไม่เพียงพอ เรียกได้ว่าสาวใช้คนนั้นถูกข้าบังคับเลย"ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "งั้นให้หัวหน้าลู่ไปชวนพ่อบ้านเฟินมาอีกครั้ง ครั้งนี้ให้เรามาถามเอง""ก็ต้องทำเช่นนี้แล้วแหละ เพราะทุกอย่างได้ถูกจัดการโดยพ่อบ้านเฟิน เขาคงไม่เล่นงานเจียอี้อย่างไร้เหตุผลแน่นอน ข้าคิดว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง"ซ่งซีซีเรียกตัวหัวหน้าลู่มาก่อน จากนั้นทำความเข้าใจพ่อบ้านเฟินให้ดีก่อน พอจะคาดเดาได้บางส่วนแล้วเมื่อหัวหน้าลู่ได้ยิ
ลูกศิษย์ของหมอมหัศจรรย์ดัน มีชื่อเสียงในแวดวงการแพทย์จึงรู่ข่างต่างๆ นานาเร็วกว่าเนื่องจากเหตุดารณ์ของเจียอี้และเรื่องของโรงงานกลายเป็นเรื่องใหญ่เข้า จึงมีหมอมากมายพูดคุยเรื่องนี้อยู่ ทั้งยังมีคนตั้งคำถามว่ากินยาระบายหนึ่งชามก็ทำให้แท้งได้อย่างไรจากนั้นมีคนหนึ่งก็พึมพำว่า "เอาแต่กินแกงหญ้าฝรั่นผสมโสมซานชีมาตลอด จะไม่แท้งได้อย่างไร อาจไม่รอดชีวิตก็ว่าได้"ประโยคนี้ถูกส่งต่อไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ถึงหูของหงเชวี่ย มันเกี่ยวข้องกับโรงงานแน่นอนว่าหงเชวี่ยต้องตรวจสอบดู จากนั้นถึงรู้ว่าคนที่พูดคำพูดนี้คือลูกศิษย์ของหมอหลิวที่จ่ายยาให้หมอหลิวถือว่าเป็นหมอประจำจวนของจวนโหวผิงหยางแล้ว แต่เขายังคงมีโรงหมอเล็กๆ เป็นของตัวเองและเลี้ยงศิษย์สองสามคนเอาไว้หงเชวี่ยตรวจสอบและถามถามเพิ่มเติม หลังจากสอบสวนหลายครั้งแล้วถึงพบว่าหมอหลิวได้รับคำสั่งจากบางคน และยาที่จัดส่งไปจวนโหวนั้นได้ใส่โสมซานชีและหญ้าฝรั่นไปบ้าง ผสมกับยาอื่นๆ ใช้ลำไยและพุทราแดงเพื่อกลบรสชาติณ ตึกว่างจิงชายวัยกลางคนที่มีผมหนาเล็กน้อยบนขมับของเขากำลังพูดคุยกับ หัวหน้าลู่ เกี่ยวกับ จวนโหว คำพูดของเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "ถ้าไม่ใช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา