เซี่ยหลูโม่ได้ยินข่าวลือนี้จากเจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ ตอนนั้นเขาหารือเรื่องงานกับทุกคน เวลาพักชั่วคราว เขาก็เข้าไปดื่มชากับเฉินยีอยู่ข้างใน แล้วคนที่เหลือก็คุยเล่นกันอยู่ข้างนอก จึงได้พูดถึงเรื่องนี้หัวหน้าว่านดำรงตำแหน่งนั้นมาห้าปีแล้ว และเขาต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และได้ข่าวว่าใต้เท้าฉี เจ้ากรมขุนนางเคยมีบ้านเล็กมาก่อน บัดนี้ถูกส่งตัวไปยังสำนักแม่ชีแล้ว และบ้านเล็กนั้นมีลูกสาวคนหนึ่งด้วยดังนั้นทำให้หัวหน้าว่านคิดว่าเจ้ากรมฉีเป็นคนหื่นกาม เลยคิดจะส่งว่านฉิน ลูกสาวตนเองไปเป็นอนุภรรยาให้เขา แต่กลับถูกเจ้ากรมฉีปฏิเสธหัวหน้าว่านเป็นคนชอบคิดต่างๆ นานาอยู่แล้ว โดยคิดว่าฉีฮูหยินใหญ่ขี้อิจฉาและไม่ยอมให้รับอนุภรรยา ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะมอบลูกสาวให้กับเจ้ากรมฉีเล่นสนุกก่อน รอให้พวกเขามีอะไรกัน อย่างลับๆ ไปเลยเขาพยายามอย่างหนักถึงได้ข่าวว่าทุกครั้งที่หยุดงาน เจ้ากรมฉีจะพาฮูหยินของตนเองไปทำบุญหรือไม่ก็เดินเล่นข้างนอก ดังนั้นเขาจึงติดสินบนผู้ดูแลประตูล่วงหน้าถึงรู้ว่าหลังจากที่พวกเขาทำบุญเสร็จก็จะไปบ่อน้ำร้อน เขาเลยแอบส่งลูกสาวไปที่นั่นแต่แล้วกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด แม้ว่าเจ้
เสิ่นว่านจือรู้สึกใจหายเลย "แล้วควรทำอย่างไรดีเล่า จะปล่อยให้เขาทำร้ายลูกสาวของเขาต่อไปหรือ? เพื่ออนาคตของตนเอง จะให้ทุกคนต้องเสียสละเช่นนี้ ทำลูกสาวเหมือนสิ่งของแล้วมอบให้ทั้งอย่างนั้น ทำไมเขาต้องให้ว่านฉินฆ่าตัวตาย ตามความคิดเจ้าเล่ห์ของเขา ไม่ใช่ว่าควรจะให้ว่านฉินทำต่อไป... ถุ๊ย ข้าพูดไม่ออกเลย"เซี่ยหลูโม่หยิบตะเกียบขึ้นมา กินไปสองคำแล้ววางมันลง เขาไม่อยากอาหารจริงๆ "เพราะไม่รู้ว่าคนๆ นั้นคืนใคร และเรื่องก็ถูกแพร่กระจายออกไปแล้ว เขาเลยกลัวว่าจะเกิดปัญหาทีหลัง เลยให้ว่านฉินไปตาย และไม่ยอมรับว่าตนเองมีลูกสาวคนนี้ จะได้ไม่ถูกคนอื่นมาจับผิด คาดว่าจะตัดชื่อของนางออกจากรายชื่อครอบครัว"ดวงตาของเสิ่นว่านจือเหมือนจะกำลังลุกเป็นไฟ "ทำอะไรไม่ได้แล้วหรือ ปล่อยให้เขาทำร้ายลูกสาวของตนเองเช่นนนี้ เกิดเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ในแวดวงขุนนาง ฝ่าบาทก็ ไม่สนใจหรือ และเสนาบดีมู่ก็ไม่สนหรือ?""มันตรวจสอบได้ ทางหอต้าหลี่ก็ตรวจสอบเขาได้" เซี่ยหลูโม่เหลือบมองที่ซ่งซีซี "แต่ถ้าไม่ต้องการที่จะดึงว่านฉินเข้าไปเกี่ยวข้อง งั้นก็ต้องลงมือจากก้านอื่นของเขา เป็นแค่หัวหน้างานเล็กๆ จากกรมพิธีการ ตำแหน่งเล็ก เขา
ซ่งซีซีไปที่ร้านจินจิงเพื่อตามหาเถ้าแก่น้อยจินด้วยตนเองเถ้าแก่น้อยจินคนนี้ทั้งฉลาดและบริสุทธิ์ แม้ว่าเขาจะไม่เอาจริงเอาจังกับเงินทุกเบี้ย แต่ก็พยายามหาเงินอย่างเต็มที่ แต่เขาก็เป็นคนรักชาติด้วย เขาเรียนหนังสือไม่เก่ง ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ไม่เป็น แต่หากเกิดสงครามขึ้นมา เขาก็ยอมบริจาคเงินก้อนใหญ่เขาชื่นชมซ่งซีซีมากและอยากเป็นเพื่อนกับซ่งซีซี แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นซ่งซีซี ในฐานะพ่อค้า มันยิ่งไม่เหมาะที่ไปเยี่ยมถึงที่ บัดนี้ซ่งซีซีมาหาเอง แน่นอนว่าเขาจะต้อนรับอย่างกระตือรือร้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ่อน้ำร้อน เขาพอจะได้ยินมาบ้าง แต่มันเกี่ยวข้องกับความลับของขุนนางมากมาย เขาไม่อาจไปตรวจสอบให้ แค่รู้ว่ามีแม่นางโดนเอาเปรียบตอนนี้ซ่งซีซีบอกว่านางต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บอกว่ายินยอมร่วมมือพลางตบหน้าอก "วางใจได้เลย ใต้เท้าซ่งกลับไปรอข่าวดีของข้าได้เลย"ภายในครึ่งวัน เถ้าแก่น้อยจินก็ไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวงเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยบอกว่าลูกค้าผู้มีเกียรติคนหนึ่งได้ทำจี้หยกของครอบครัวหายในบ่อน้ำร้อนอวี้ซานเมื่อหลายวันก่อน และต้องการให้ค่ายลาดตระเวนช่วยค้นหามันให้คน
ในที่สุดคดีนี้ก็สืบไปถึงตระกูลฉีเจ้ากรมฉีไม่รู้เรื่องนี้ในตอนแรก หลังจากได้ยินซ่งซีซีเล่าที่ไปที่มาของเรื่องทั้งหมดให้เขาตามลำพัง เขาก็โกรธมากจนตัวสั่นไปหมดเขาทำผิดพลาดในด้านนี้มาก่อน การมีลูกสาวนอกสมรสก็ถือว่าจุดบกพร่องของเขาแล้ว หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป งั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำ แต่คนอื่นก็คงคิดว่าเขาทำไปแล้วด้วยความโกรธ เจ้ากรมฉีจึงจับองครักษ์คนนั้นไว้องครักษ์คนนั้นชื่อเฉินสาม เขาเป็นบุตรชายของคนใช้ในตระกูลฉี หลังจากเรียนรู้ทักษะการต่อสู้แล้วก็ให้เป็นองครักษ์ในจวน เนื่องจากแม่ของเขาคือหัวหน้าแม่นมในนจวน และรู้เรื่องตระกูลว่านมาสอบถามเรื่องที่เจ้ากรมฉีไปบ่อน้ำร้อนกับผู้ดูแลประตู จากนั้นก็ตามคู่สามีภรรยาเจ้ากรมฉีไปวัด เมื่อเห็นเจ้ากรมฉีไม่ได้ไปบ่อน้ำร้อน เขาจึงคิดจากฉวยโอกาสนี้เอาเปรียบอีกฝ่ายใช่เขา เขาทำให้ว่านฉินเสียตัวมีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เจ้ากรมฉีมีความคิดอยากจะฆ่าเขาจริงๆโดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือซ่งซีซี ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ค้นพบเรื่องบ้านเล็กของเขา แล้วนำลูกสาวไปให้ฮูหยิน เขาเป็นถึงพ่อตาแห่งชาติ เป็นถึงเจ้ากรมขุนนางระดับชั้นสอง อนาคตของขุ
ซ่งซีซีโน้มตัวไปข้างหน้าและถามด้วยน้ำเสียงเอาความว่า "ไม่รู้ว่าเจ้ากรมฉีทนต่อการร้องเรียนได้หรือไม่"สีหน้าของเจ้ากรมฉีเปลี่ยนไปทันที ตอนนี้เขาแค่อยากจะให้ตนเองอยู่เงียบๆ ไม่อยากดึงดูดความสนใจจากทุกฝ่าย เพราะลูกสาวตัวน้อยของเขาถูกนำกลับมาและเลี้ยงดูอยู่ข้างกายอนุเฉินยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรัชทายาทยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง หากญาติมาเกิดเรื่องเข้า งั้นทำให้ขายหน้า แล้วจะไม่เป็นผลดีกับองค์ชายใหญ่จะว่าไป เฉินสามก็แค่คนใช้ในจวน ให้สำคัญเขาเกินไป เขาก็แค่องครักษ์เองหลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว เจ้ากรมฉีก็ตัดสินใจในทันทีความดุร้ายในดวงตาของเขาทำให้เฉินสามตัวสั่นไปหมด เขาก้มศีรษะและร้องขอความเมตตาตลอด"เจ้าสารเลว กล้าดียังไงมาร้องขอความเมตตา เจ้าทำร้ายผู้หญิงที่บริสุทธิ์ ต่อให้เจ้าตายไปก็ไม่น่าเสียดาย"เฉินสามร้องไห้ว่า "คุณท่าน นางจะถือว่าบริสุทธิ์ได้ยังไง? ตระกูลว่านส่งนางมา เดิมทีพวกเขาอยากจะถวายให้คุณท่าน แต่คุณท่านไม่ถูกใจนาง ข้าน้อยเลยทำผิดพลาดไป แต่นางไม่ได้บริสุทธิ์นะ นางได้กินยากระตุ้นอารมณ์ ข้าน้อยก็แค่ช่วยนาง...ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ได้ร้ายแรงให้ข้าน้อยถึงขึ้นตายนะ"เจ้ากรมฉีเกลียดว่า
ฉีฮูหยินใหญ่ยืนอยู่นอกลานบ้าน เมื่อเห็นซ่งซีซีออกมา นางก็คารวะอีกฝ่าย เมื่อสักครู่นี้นางได้ยินทุกอย่างจากภายนอก"แล้วแม่นางคนนั้นบัดนี้เป็นยังไงบ้าง" ฉีฮูหยินใหญ่ถามพลางนำทางไปส่ง"บัดนี้อาศัยอยู่ในโรงงาน นางยังไม่ได้สิ้นหวังจนฆ่าตัวตาย" ซ่งซีซีถอนหายใจเบาๆ"เป็นเวรเป็นกรรมจริงๆ!" ฉีฮูหยินใหญ่เงียบอยู่นานแล้วเดินไปส่งที่ประตู "พระชายา หากมีสิ่งใดที่ข้าสามารถช่วยแม่นางคนนั้นได้ โปรดบอกข้าได้เลย"ซ่งซีซีพยักหน้า "ได้ ขอบคุณฮูหยิน"ฉีฮูหยินใหญ่ได้คารวะ และมองนางขี่ม้าออกไปนางยืนอยู่ที่ประตูเป็นเวลานาน จนกระทั่งเฉินเซิ่งพาภรรยาของเขามาและคุกเข่าลงเพื่อขอร้องโดยขอให้ฮูหยินช่วยเฉินสาม จากนั้นนางลดสายตาลงแล้วพูดว่า "ไปขอร้องคุณท่านไป เรื่องนี้ข้าเข้าไปยุ่งไม่ได้"ภรรยาของเฉินเซิ่งจับชายกระโปรงของฉีฮูหยินใหญ่ แล้วร้องว่า "ฮูหยินโปรดเมตตาให้นะ ข้าน้อยมีบุตรชายเพียงคนเดียว และไม่สามารถไม่มีคนมาสืบทอดสกุลนะ"มีความโกรธซ่อนอยู่ในดวงตาของฉีฮูหยินใหญ่ "เขาก่อกรรมไว้ จะโทษใครได้อีก"หลังจากพูดอย่างนั้น ก็ยื่นมือออกเพื่อดึงชายกระโปรงกลับ จากนั้นหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้อย่างนั้
วันรุ่งขึ้น ทั้งค่ายลาดตระเวนและกองกำลังเมืองหลวงทราบเหตุการณ์นี้ โดยกล่าวว่ามีมือสังหารแอบเข้าไปในบ้านของหัวหน้าว่านจากกรมพิธีการ ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส อาเจียนเป็นเลือด และเกือบจะไม่รอดชีวิตหมอบอกว่าอาการบาดเจ็บแบบนี้ หากรักษาได้ก็มีอาการน้ำลายไหลไม่หยุด ต่อไปต้องนอนพักบนเตียง ใช้ชีวิตที่เหลือบนเตียงกองกำลังเมืองหลวงและค่ายลาดตระเวนจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะจับกุมมือสังหารอยู่แล้ว ภายใต้การดูแลขแงฝ่าบาทจะปล่อยให้คนชั่วมาทำร้ายขุนนางได้อย่างไรหลังจากซ่งซีซีได้สอบสวนอย่างรอบคอบ ก็พบพยานโดยบอกว่ามีนักรบกลุ่มหนึ่งมาเมืองหลวงและรู้เข้าว่าว่านกุ้ยได้บังคับให้น้องสาวต้องตาย ดังนั้นพวกเขาจึงแอบเข้าไปทุบตีเขาด้วยความโกรธหลังจากการสอบสวนเพิ่มเติม ก็พบว่าข่าวลือภายนอกที่เกี่ยวกับว่านฉินนั้นล้วนเป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริง ว่านฉินยังคงบริสุทธิ์ เพียงแต่ว่านกุ้ยเชื่อข่าวลือเข้าไป คิดว่าลูกสาวสูญเสียความบริสุทธิ์เลยไล่นางออกจากบ้าน เด็กหญิงถูกพ่อไม่เชื่อใจ บวกกับโดนใส่ร้าย เลยคิดจะกระโดดน้ำเพื่อฆ่าตัวตาย บัดนี้คนก็ตายไปแล้ว ทางโรงงานช่วยจัดงานศพให้ทันทีที่ผลการสอบสวนออกมา ชาวบ้านต่างด่
เสิ่นว่านจือครุ่นคิดพักหนึ่งและรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่สามารถกลับไปอยู่กับพ่อ งั้นเขียนจดหมายไปขอเงินพ่อ ใช้จ่ายเงินขิงเขาก็ถือว่าได้ทำอะไรให้พ่อแล้ว "ก็ได้ งั้นพวกเจ้านั่งก่อน ข้าไปเขียนจดหมาย"อ๋องเยี่ยนยิ้มและพูดว่า "น้องไม่ต้องรีบร้อน พรุ่งนี้เขียนเสร็จค่อยส่งมาให้ก็ได้ เรายังมีหลายวันถึงออกเดินทาง เจ้าอยู่ที่นี่อยู่เป็นเพื่อนพี่สาวเจ้านะ"ดวงตาของซ่งซีซีฉายแววไม่พอใจ ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ?เสิ่นว่านจือเอียงหัวของนางแล้วยิ้มอย่างชั่วร้ายโดยไม่รู้ตัว "ก็ได้"ซ่งซีซีกลอกตาใส่นาง เจ้าปัญหาเสิ่นนี่คิดจะเล่นอะไรอีกเสิ่นว่านจือหลบสายตาของซ่งซีซี เนื่องจากไม่ได้สบตา งั้นก็แสร้งทำเป็นไม่รู้คำเตือนจากซ่งซีซีเลยเซี่ยหลูโม่มองไปที่อ๋องเยี่ยนเอาแต่จับตาจ้องมองเสิ่นว่านจือ เขาก็รู้สึกน่ารำคาญขึ้นมา ดูท่าว่าไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา คิดจะใช้เสิ่นว่านจือเป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์จากตระกูลเสิ่นยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขายังมีความปรารถนาที่น่าเกลียดด้วย ชั่วจริงๆเซี่ยหลูโม่ดูถูกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจเลย ดังนั้นจึงไม่ได้ให้พวกเขาอยู่ต่อเพื่อทานอาหาร กว่าจะได้หยุดงาน ยังต้องมองหน้าพวกเข
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร