ก่อนอื่นนางไปหาหัวหน้าลู่ เพื่อเข้าใจภาพรวมของสถานการณ์ และการกระทำทางฝั่งร้านจิน หัวหน้าลู่ให้นางวางใจ หัวหน้าจ้าวถูกควบคุมตัวเอาไว้ และร้านจินก็ส่งคนจับตาดูว่ามีใครจะออกไป รายงานข่าวหรือไม่ซ่งซีซีเดินไปยังห้องบัญชีด้วยความวางใจสนมฮุ่ยไทเฟยยังตรวจสอบบัญชีไม่เสร็จ แต่ทุกคนในห้องบัญชีก็คุกเข่าลงด้วยความกลัวพื้นที่ไม่เป็นระเบียบ และทุกสิ่งที่สามารถโยนทิ้งบนโต๊ะก็ถูก นางโยนทิ้งไปหมด ยกเว้นสมุดบัญชี และนางยังทุบถ้วยชาไปสองสามใบด้วยซ้ำผมของสนมฮุ่ยไทเฟยยุ่งเหยิงและใบหน้าของนางซีดเผือด เมื่อนางเห็นซ่งซีซีกลับมา ความคับข้องใจและความอัปยศอดสูของนางก็ถึงจุดสูงสุด จากนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ออกมา "พวกเขารังแกข้า!"ซ่งซีซีเข้าไปแล้วพูดกับทุกคน "พวกเจ้าลุกขึ้นก่อน นอกจากนักบัญชี คนอื่นๆ ก็ออกไปทั้งนั้น รวมถึงแม่นมเกาด้วย"ที่จวนอ๋องมีนักบัญชีหลายคน ยังมีหัวหน้าบัญชีหนึ่งคน ตอนนี้ล้วนคุกเข่าลงบนพื้นพลางตัวสั่น พวกเขาไม่เคยเห็นไทเฟยที่โกรธเกรี้ยวขนาดนี้มาก่อนคนรับใช้ที่เข้ามารับใช้นั้นต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นลุกขึ้นยืนและทำการไหว้ก่อนออกไปหัวหน้าจ้าวที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น
นางยังคงเงียบ และให้คนเตรียมอาหารให้นางกินก่อนหลังจากที่นางกินเสร็จ ซ่งซีซีกล่าวว่า "หาหนังสือข้อตกลงให้ข้าดูสักหน่อย กลัวว่าจะมีกับดักอะไร หากมีจริงๆ เราต้องเตรียมตัวล่วงหน้าก่อน"นางกระพริบตาที่น้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง "หากมีกับดักจะเตรียมตัวได้อย่างไรอีก""มีทางออก ไปเอามาให้ข้าดูก่อน" ซ่งซีซีไม่มองนาง โดยเฉพาะเวลานางหลั่งน้ำตา และหันไปหาแม่นมเกา สั่งให้แม่นมเกาไปหาหนังสือข้อตกลงแม่นมเการู้ว่าสิ่งเหล่านี้ถูกวางไว้ที่ไหน และในไม่ช้าก็พบพวกมันและส่งมอบให้กับซ่งซีซีซ่งซีซีอ่านหนังสือข้อตกลงอย่างละเอียดมาสามครั้งตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่พบปัญหาใดๆ ข้อตกลงนั้นยุติธรรมมากในส่วนของผู้ถือหุ้น ทางฝั่งสนมฮุ่ยไทเฟยใช้ชื่อแม่นมเกา เกากุ้ยเฟินท่านหญิงเจียอี้ใช้ชื่อของหัวหน้าจ้าว หัวหน้าจ้าวคนนี้กลับเป็นคนใช้ของนางหากฮูหยินจากตระกูลใหญ่จะทำธุรกิจนอกบ้าน นางจะไม่ใช้ชื่อของตัวเองในการทำ เพราะต้องผ่านกระบวนของรัฐมากมาย อีกอย่างมีความเป็นไปได้ต้องออกมาเพ่นพ่านให้ใครเห็นหน้าค่าตาด้วยซ้ำดังนั้น ไม่ใช้ในนามของผู้นำครอบครัวที่เป็นบุรุษ หรือไม่ก็ลูกชายของตนเอง ไม่งั้นก็คนใช้ที่ตนเองไว้ใจได้ เพราะถ
ซ่งซีซีครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และสั่งนำตัวหัวหน้าจ้าวมาสอบปากคำมีเตาถ่านอยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง และมีแท่งไฟกำลังเผาบนเตาถ่าน หลังจากเผาไปสักพัก แท่งไฟครึ่งหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อหัวหน้าจ้าวเห็นฉากเช่นนั้น เขาตกใจมากจนแทบจะฉี่รดกางเกงก่อนคุกเข่าลง "พระชายาท่านอ๋องโปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย พระชายาท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตให้ข้าน้อยด้วยขอรับ"ซ่งซีซีนั่งตัวตรงและขมวดคิ้ว "ข้าจะเอาชีวิจเจ้าไปทำอะไร แค่ถามเจ้าสักหน่อย เจ้าตอบตามความจริง"หัวหน้าจ้าวพยักหน้าหนัก "ข้าน้อยจะบอกทุกเรื่องที่รู้ขอรับ"ซ่งซีซีหยิบสมุดบัญชีของสินค้าที่ซื้อมาไว้ในมือ "ซื้อสินค้าราคาถูกและหยาบเหล่านี้ ท่านหญิงเจียอี้รู้เรื่องหรือไม่""รู้ขอรับ รู้ขอรับ นางเป็นคนสั่งเองขอรับ""เจ้าได้บอกนางหรือเปล่าว่าวัสดุที่ใช้ในเครื่องประดับทองนั้นหากไม่บริสุทธิ์ และเกิดปัญหาได้ง่าย"หัวหน้าจ้าวกลอกตาไปมาแล้วพูดว่า "ข้าน้อยได้บอกแล้ว แต่ท่านหญิงบอกว่าไม่เป็นไร หากเกิดปัญหาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตอนนั้นร้านของเราก็ปิดไปแล้ว"ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "คือจะปิดร้านหรือจะโยนความผิดทั้งหมดใหสนมฮุ่ยไทเฟย?"หัวหน้าจ้าวเงียบไป "นี่...
นักบัญชีคำนวณยอดออกมา และส่งมอบให้กับซ่งซีซีหลังจากที่ซ่งซีซีอ่านเสร็จแล้ว นางก็มอบให้สนมฮุ่ยไทเฟยด้วยเสียงนุ่มนวล "เสด็จแม่ตรวจดูว่ายอดถูกหรือไม่"สนมฮุ่ยไทเฟยรับมันมาด้วยสีหน้าไม่ยอมและมองดูมันอย่างระมัดระวัง นางพร้อมที่จะต่อสู้แต่เมื่อนางมอบดูรายงานบัญชีนั้นก็ตกตะลึง "หลายปีมานี้ ข้าออกเงินเยอะขนาดนี้เลยหรือ?"รวมกับเงินทุนแล้ว นางออกเงินรวมทั้งหมดหนึ่งแสนสามหมื่นหกพันตำลึงถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาแม้ว่านางจะจดทุกยอดรายจ่าย แต่ตอนที่ตนเองบันทึกนั้นไม่ได้รู้สึกเยอะอะไร พอคำนวณดูแล้วกลับเป็นเงินมากขนาดนี้หนึ่งแสนสามหมื่นหกพันตำลึง ถ้ามิใช่ซ่งซีซีนำนางไปดูสักหน่อย แล้วนำคนกลับมาสอบสวน นางก็คงจะคิดว่ามันเป็นการขาดทุนมาโดยตลอด และยังคงออกเงินให้อีกเพื่อแข่งขันกับเต๋อกุ้ยไทเฟยเงินหนึ่งแสนสามหมื่นหกพันตำลึงเป็นต้นทุน กำไรบวกกับกำไรรวมปีนี้อยู่ที่หนึ่งแสนแปดหมื่นหกพันห้าร้อยสามสิบตำลึงจากส่วนแบ่งที่นางควรมี นางสามารถได้กำไรจากยอดนี้เป็นเงินหนึ่งแสนสามหมื่นห้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ดตำลึงรวมกำไรแล้ว ครั้งนี้นางต้องการทวงให้ท่านหญิงเจียอี้คืนเงินสองแสนหกหมื่นหกพันห้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ดตำลึง
องค์หญิงใหญ่รู้สึกรำคาญมากและพูดว่า "เรียกพวกนางเข้ามาและรอที่ห้องโถงด้านข้างสักพัก ไม่จำเป็นต้องให้พวกนางไปที่ห้องโถงหลัก ข้าทานอาหารเย็นเสร็จเดี๋ยวจะออกไปพบพวกนาง"พ่อบ้านไปดูแลพวกเขาด้วยตนเอง และกลับเห็นว่าพวกนางสั่งคนให้ยกของเข้ามา ซึ่งมันดูไม่เหมือนของขวัญเลย จึงถามว่า "ไม่ทราบว่าไทเฟยส่งอะไรมาให้เหรอขอรับ"ขณะที่สนมฮุ่ยไทเฟยกำลังจะโพล่งออกว่าเป็นสมุดบัญชี ซ่งซีซี แย่งพูดก่อนว่า "งานต้นฉบับเก่าๆ เพื่อให้องค์หญิงใหญ่ตรวจดู"ดวงตาของพ่อบ้านเป็นประกาย งานต้นฉบับเหรอ? หรือว่าเป็นงานต้นฉบับของคุณชายเสิ่นชิงเหอหรือเปล่า?เขาสั่งให้คนใช้ยกน้ำชาและขนมดีๆ ไปบริการ คอยดูแลไว้ก่อน จากนั้นไปรายงานองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้"งานต้นฉบับเหรอ? เป็นของเสิ่นชิงเหอเหรอ?" องค์หญิงใหญ่ถามอย่างใจเย็น"ไม่ทราบขอรับ นางไม่ได้บอก และข้าน้อยก็ไม่กล้าถามมากความ" พ่อบ้านพูดพร้อมกับโค้งคำนับเรื่องไข่มุกตงจูและเงินสามพันตำลึง ท่านหญิงเจียอี้เพิ่งรู้หลังๆ หลังจากได้ยินแล้วก็โกรธมากเมื่อเห็นพวกนางยกงานต้นฉบับมาถึงที่ นางก็เยาะเย้ย "สนมฮุ่ยไทเฟยอาจรู้สึกว่าการที่นางขอไข่มุกตงจูคืนทำให้ท่านแม่ไม่พอใจ
องค์หญิงใหญ่พูดต่อว่า "ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าการค้าขายของร้านนี้ไม่ค่อยดี"ท่านหญิงเจียอี้บ่นขึ้นมา "ก็นั่นน่ะสิ หลังจากเปิดกิจการมาหลายปี ไม่เพียงแต่ไม่มีกำไร แต่ยังต้องขาดทุนอีกด้วย ดีที่มีการขายแบบให้ส่วนลดในสิ้นปี ถึงไม่ต้องการออกเงินไปอุดหนุนค่าเช่าและค่าแรงงาน ลูกผิดกับสนมฮุ่ยไทเฟยจริงๆ เป็นนางไว้ใจข้าถึงยอมออกทุนร่วมเปิดร้านกับข้า เพียวแต่ไม่เพียงไม่ได้ทำกำไรให้นาง กลับยังขาดทุนตลอด"ซ่งซีซีกล่าวว่า "บัดนี้ธุรกิจในทุกๆ ด้านก็ดำเนินได้ยาก ท่านพี่ไม่ต้องโทษตนเองหรอก เชื่อว่าเสด็จแม่ก็พอจะเข้าใจ ใช่ไหม เสด็จแม่"ซ่งซีซีหันหัวออกไปมองดูสนมฮุ่ยไทเฟยสนมฮุ่ยไทเฟยมองดูนาง อะไรกัน มองนางทำไม ก่อนที่นางจะเข้ามา ได้สั่งให้นางพยายามพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วตอนนี้กลับมาถามนางแต่ภายใต้นัยน์ตาของซ่งซีซี นางทำได้เพียงพยักหน้าและพูดอย่างแข็งทื่อว่า "ใช่"ซ่งซีซีพูดตามคำตอบของนาง "ใช่ไง โทษท่านพี่ไม่ได้นะ ธุรกิจมันทำยากสินะ"ท่านหญิงเจียอี้พยักหน้าอย่างรวดเร็ว "ใช่ ใช่ ธุรกิจทำยากจริงๆ"ซ่งซีซีหยิบหนังสือข้อตกลงออกมาแล้วพูดว่า "ข้อตกลงชุดนี้ข้าได้อ่านมาแล้ว ที่ร้านจิน
จู่ๆ สีหน้าของแม่ลูกทั้งคู่เปลี่ยนไป พวกนางต่างรู้ดีว่าต้าหลี่ซื่อชิงคนปัจจุบันคือผู้ใด ก็คือเซี่ยหลูโม่องค์หญิงใหญ่ดูกล่องสมุดบัญชีแล้วพูดว่า "ในเมื่อหัวหน้าจ้าวได้หลอกลวงพวกเจ้าพร้อมกัน งั้นสมุดบัญชีนี้พวกเจ้าต้องตรวจสอบมาก่อน เจียอี้ก็ต้องหานักบัญชีมาตรวจสอบให้ดีๆ พวกเจ้าทิ้งสมุดบัญชีไว้ที่นี่ก่อน รอเราตรวจสอบเสร็จแล้วค่อยไปหาพวกเจ้าที่จวนเพื่อเทียบกัน หากได้หลักฐานแล้ว จะแจ้งความหรือสอบสวนก็ดำเนินตามความต้องการเลย"ซ่งซีซีจิบน้ำชาคำนึง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ท่านป้า ข้าเป็นคนใจร้อน สมุดบัญชีก็อยู่นี่แล้ว พวกท่านรีบหานักบัญชีมา หาให้เยอะๆ หากไม่เพียงพอ ข้าจะส่งคนไปที่จวนโหวผิงหยาง ให้นักบัญชีที่จวนโหวผิงหยางก็มาด้วย คืนนี้ช่วยจัดการสักหน่อย แล้วพรุ่งนี้ก็รวบรวมรายการบัญชีออกมาได้แล้วนี่""ไปจวนโหวผิงหยางไม่ได้!" ท่านหญิงเจียอี้ยืนขึ้นและพูดด้วยใบหน้าซีดเซียวตอนนี้แม่สามีและสามีของนางไม่ชอบนางมากพอแล้ว หากพวกเขารู้เรื่องนี้อีก ไม่รู้ว่าจะดูหมิ่นนางอย่างไรเลยท่าทางไม่แยแสของแม่สามีนางทนมามากพอแล้วดวงตาขององค์หญิงใหญ่เยือกเย็นราวกับมีดคม "อะไรนะ? คำก็ท่านป้าสองคำก็ท่านป้า กลับไม
ในพริบตา ผู้คนมากกว่าสิบคนพุ่งเข้ามา ภายใต้คำสั่งขององค์หญิงใหญ่ พวกเขาก็เดินไปที่สมุดบัญชีสนมฮุ่ยไทเฟยใจร้อนมาก “องค์หญิงใหญ่ เจ้าคิดจะทำอะไร ก็แค่ตรวจสอบสมุดบัญชีอย่างเปิดเผยก็จบเรื่อง ทำไมต้องซ่อนมันเอาไว้ล่ะ?”องค์หญิงใหญ่มองดูที่นิ้วของตนเอง แล้วเหลือบมองไปที่สนมฮุ่ยไทเฟยอย่างสบายๆ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าไม่ได้ลงไม้ลงมือที่นี่”“ถ้าอย่างนั้นเราก็มาตรวจพร้อมกัน ตรวจพร้อมก็รู้แล้วนี่ว่าได้ลงไม้ลงมืออะไรหรือไม่”“ฮ่าๆ!” องค์หญิงใหญ่ส่งเสียงในจมูกของนาง แต่ก็เป็นการเยาะเย้ย “ไม่ต้องรบกวนพวกเจ้าหรอก ในเมื่อพวกเจ้าได้ตรวจสอบมาแล้ว งั้นก็ถึงตาเราแล้ว”ท่านหญิงเจียอี้ตะโกนอย่างเคร่งเครียด "ยังมัวแต่ยืนอยู่ที่นั่นไปทำไม ขนออกไปสิ"ซ่งซีซีถือแส้ในมือข้างหนึ่ง แล้วโยนถ้วยชาใส่บุคคลหนึ่งในนั้นแล้วตีเขาที่หน้าผากพอดี จากนั้นบุคคลนั้นล้มลงกับพื้นและเป็นลมไปซ่งซีซีก้าวไปข้างหน้า และแส้ฟาดไปในกลางอากาศ ได้เกิดเสียง "เพี๊ยะๆ" ออกมา จากนั้นแส้ก็เฆี่ยนตีองครักษ์หลายสิบคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้ยืนเรียงกันเป็นแถว แต่ก็ถูกเฆี่ยนตีทั้งหมด"ข้าจะดูว่าใครจะกล้าขนมัน!" ซ่งซีซียืนอยู่หน้ากล่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง