ความเย็นที่ปะทะตรงแก้มเนียน ทำให้เจ้าของร่างสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา พลันเห็นสาวใช้คนสนิทกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้ตนอย่างทะนุถนอม
“อ๊ะ คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” “เหตุใดเรียกข้าเช่นนั้น” น้ำเสียงอ่อนแรงเอื้อนเอ่ยด้วยความสงสัย ตั้งแต่ที่นางออกเรือนไป มี่มี่ก็เรียกขานนางว่าฮูหยินมาโดยตลอด “ค่อยๆ เจ้าค่ะ บ่าวช่วยพยุงนั่งนะเจ้าคะ” “ว่าอย่างไร เหตุใดเรียกข้าว่าคุณหนู แล้วนี่ผู้ใดพาข้ากลับเรือนหรือ” ตากลมที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เหลือบมองไปทั่วห้อง ก็พบว่าตนเองอยู่ที่เรือนสกุลสวี “เอ่อ คุณหนูมิได้ไปที่ใดนะเจ้าคะ หลัง- หลังจากที่ท่านชายมาขอถอนหมั้น คุณหนูก็เอาแต่ร้องไห้ เก็บตัวอยู่ในห้องเช่นนี้มาหลายวัน จนไข้ขึ้นเจ้าค่ะ” มี่มี่ว่าเสียงอ่อย ในใจไม่อยากจะซ้ำเติมนาย แต่ในเมื่อถูกถามก็ต้องตอบไปตามตรง “ข้างงไปหมดแล้วมี่มี่ ข้ามิได้แท้งบุตร แล้วถูกพามาส่งที่เรือนสกุลสวีหรือ” “คุณหนู! แท้งบุตรอันใดกันเจ้าคะ คุณหนูยังมิได้ออกเรือน จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร อย่าพูดเรื่องนี้ให้ผู้อื่นได้ยินนะเจ้าคะ” มิเช่นนั้นผู้คนคงเอาไปเล่าลือ จนเสื่อมเสียมาถึงคุณหนูของนาง “…” มือเล็กยกขึ้นกุมขมับ นี่นางกำลังอยู่ในฝัน หรืออย่างไรกัน “หากคุณหนูปวดหัวก็พักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้ยังยามโฉ่ว (01:00 - 02:59 น.)” “อืม เจ้าเองก็นอนพักบ้างเถิด” ลี่อิ่งส่งยิ้มเศร้าไปให้สาวใช้ ก่อนล้มตัวนอนด้วยความเหนื่อยล้า คิดว่าวันพรุ่งนางคงตื่นจากความฝันนี้กระมัง แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น สวีลี่อิ่งก็ยังตื่นมาในเรือนสกุลสวี บ่าวทุกคนในเรือนก็เรียกขานนางว่าคุณหนู จนเจ้าตัวสับสนมึนงงกับเรื่องราวที่เป็นอยู่ กระทั่งได้พูดคุยกับบิดามารดา ถึงได้รู้ว่าสวรรค์เมตตาให้นางย้อนกลับมาในตอนที่เจี้ยนอี้โจว มาขอถอนหมั้นเพื่อแต่งสวีเสี่ยวปิงแทน “ลูกพ่ออย่าได้เศร้าไปเลย เจ้าอยากได้สิ่งใดพ่อจะหามาให้ ขอเพียงอย่าได้กักขังตนเองอยู่ในห้องเช่นนี้” “ดูที ซูบผอมไปมากนัก วันนี้แม่ทำของที่เจ้าชอบให้ดีหรือไม่” ราชครูสวีและฮูหยินเอกผลัดกันพูดปลอบบุตรสาว “นั่นสินะ พี่ใหญ่ของเจ้าก็กลับมาจากต่างเมืองวันนี้ เราฉลองกันเสียหน่อยดีหรือไม่ หรือเราจะออกไปทานข้าวด้านนอกกันสี่คน” “ข้ายังไม่อยากออกไปที่ใดเจ้าค่ะท่านพ่อ” ได้ยินบุตรสาวว่า สองสามีภรรยาก็หันมองหน้ากันอย่างจนใจ “…” “เราเลี้ยงฉลองให้พี่ใหญ่ที่เรือนเถิด อีกอย่างฝีมือทำอาหารของท่านแม่ดีกว่าเหลาอาหารชื่อดังพวกนั้นเสียอีก” “ใช่ๆ อิ่งเอ๋อร์ของพ่อพูดไม่ผิดเลยสักนิด ฮูหยินทำกับแกล้มให้ข้าสักสองสามอย่างเถิด ข้าจะร่ำสุรากับอาหัวเสียหน่อย” “จิ๊ ท่านราชครู หมอสั่งไม่ให้ดื่มมากมิใช่หรือ” ฟ่านหลันแกล้งดึงเคราสามีเบาๆ “เจ้าก็อย่าได้บอกเรื่องนี้กับท่านหมอ แค่จอกเดียว ข้าขอแค่จอกเดียว” เหตุการณ์ออดอ้อนกันของพ่อแม่ ทำให้ลี่อิ่งคลี่ยิ้มออกมาได้ นางเองก็คาดหวังให้มีคู่ชีวิตเช่นนี้ เพราะแม้ท่านพ่อจะมีอนุถึงสองคน แต่ก็ไม่เคยยกพวกนางขึ้นมาเทียบท่านแม่ ทั้งยังใส่ใจความรู้สึกของท่านแม่ที่สุด ครอบครัวสกุลสวีไม่ถือเป็นครอบครัวใหญ่ ท่านราชครูมีภรรยาสามคน ฮูหยินเอกฟ่านหลัน อนุเหลียงอี้ถง และอนุจูเหม่ยหลิงที่พึ่งแต่งเข้ามา ส่วนบุตรก็มีเพียงสี่คนเท่านั้น คุณชายใหญ่สวีต้าหัว คุณหนูน้อยสวีลี่อิ่ง เกิดจากฮูหยินเอกของเรือน คุณหนูใหญ่สวีเสี่ยวปิงเกิดจากอนุเหลียง และอนุจูก็พึ่งคลอดคุณชายน้อยสวีต้าลู่ ได้เพียงสี่เดือนเท่านั้น “อิ่งเอ๋อร์ดูบิดาเจ้าเถิด ไม่ดูสังขารตนเองเสียเลย” “สุรา หากดื่มน้อยก็เป็นยานะเจ้าคะท่านแม่” ลี่อิ่งอมยิ้ม พลางพูดเข้าข้างบิดา “ฮ่าๆ จริงอย่างที่อิ่งเอ๋อร์ว่า” ทั้งที่ท่านราชครูและฮูหยินตั้งใจพูดเล่นกันสนุกสนาน แต่กลับสังเกตเห็นว่าลูกสาวมิได้ยิ้มสดใสเหมือนเมื่อก่อน แววตาของนางยังดูหม่นจนมองออก ท่านชายคงมีน้ำหนักในใจอิ่งเอ๋อร์มากทีเดียว“คุณหนูใหญ่คงอิจฉาคุณหนูของบ่าวจนมิอาจทนดูได้”“จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือมี่มี่ สายตาของนางตอนที่พูดเรื่องเครื่องประดับติดรำคาญเสียมากกว่า” แทนที่จะเป็นแววตาที่โศกเศร้า น้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่ยินดี“แต่เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ก็ดูจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”“นั่นเป็นเพราะข้าพูดถึงเรื่องข่าวลือเสียหายของนาง” ตอนขอให้ช่วยเลือกเครื่องประดับงานสมรส แสดงท่าทีรำคาญ แต่พอพูดเรื่องข่าวลือจึงเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด โมโห“…”“หมายความว่านางไม่สนใจการสมรสของข้ากับท่านชายหรือ” เด็กสาววัยสิบหกพึมพำกับตัวเอง“…”“มี่มี่ ไปเรียกป้าเถากับอาซิวมา ข้ามีเรื่องจะสอบถามพวกเขา” เรื่องการเลือกเสื้อผ้าเครื่องประดับถูกพักไว้ เพราะสายตาติดรำคาญของเสี่ยวปิงหรือชายหญิงคู่นั้นจะแอบวางแผนบางอย่างเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่เจี้ยนอี้โจวมาที่เรือน ก็มิได้ขอพบสวีเสี่ยวปิงเลยสักครั้ง หากไม่มาพูดคุยเรื่องการทหารกับพี่ใหญ่ ก็นำของจากจวนอ๋องมามอบให้“คุณหนู”“ท่านป้าเถา อาซิว นั่งลงก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะสอบถาม”“มีเรื่องอันใดหรือขอรับคุณหนู” บ่าวชายในเรือนเอ่ยถาม“ช่วงนี้พวกท่านทั้งสองเห็นพี่หญิงทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบออกไปที่ใดหรือไม่”“เห็นออกไปนอกเรื
“ท่านแม่ทัพ ข้ามารับตัวน้องสาวขอรับ ไม่ทราบว่านางอยู่ด้านในหรือไม่”“พี่ใหญ่! ข้าอยู่ด้านใน” สวีลี่อิ่งตะโกนตอบราวกับกลัวว่าจะมีใครแย่ง เจ้าของกระโจมจึงได้แต่ส่ายหัว“เข้ามา”“ข้ามารับ-” สวีต้าหัวอ้าปากค้าง เมื่อเห็นท่านชายที่พ่วงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นกำลังคุกเข่า พันข้อเท้าให้น้องสาวของเขา ทั้งที่บอกว่าจะถอนหมั้น และไม่ยินดีจะแต่งงานด้วยแต่การกระทำเช่นนี้ มันน่าแปลกนัก“น้องสาวเจ้าบาดเจ็บที่ข้อเท้า หากคราหน้าจะให้นางขี่ม้า เจ้าก็ควรหาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลนาง”“ขอรับ อิ่งเอ๋อร์เจ้าเจ็บมากหรือไม่”“ไม่มากเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับเรือนแล้ว” เมื่อน้องสาวว่าดังนั้น ต้าหัวก็รีบย่อตัวให้น้องสาวขึ้นหลัง แล้วพาขึ้นรถม้า กลับเรือนทันทีหลังจากวันนั้น สวีลี่อิ่งก็ยังนึกแปลกใจกับการกระทำของเจี้ยนอี้โจว ทั้งที่คิดว่าเขาจะต้องโมโหและโกรธเรื่องที่นางขอกับฝ่าบาทมากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายกลับดูไม่ค่อยทุกข์ร้อนเท่าที่ควร“หรือข้าจะวางแผนการผิดมาโดยตลอด”คงมิใช่กระมัง เขาก็ยังตะคอกดุด่านาง เจอกับเสี่ยวปิงเมื่อใดก็ยังส่งสายตาหวานซึ้งให้กันอยู่ตลอด คงต้องเจ็บปวดทรมานอยู่บ้าง ที่มิอาจสมรสกับคนที่รักได้“คุณหนูเจ้า
“ท่านแม่ทัพ คือคุณหนูสวีนาง-” ยังไม่ทันที่นายกองไห่จะได้เอ่ยอธิบาย เจี้ยนอี้โจวอุ้มลี่อิ่งออกมาจากตรงนั้น“ทะ ท่านจะพาข้าไปที่ใด พี่ไห่ฉงไปบอกพี่ใหญ่เร็วเข้า”“คุณหนูเจ้าคะ ท่านปล่อยคุณหนูลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” มี่มี่วิ่งตามผู้เป็นนายไป ส่วนนายกองไห่ก็รีบนำเรื่องนี้ไปแจ้งรองแม่ทัพสวีลี่อิ่งมองสีหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก แต่แทนที่หญิงสาวควรกลัว กลับนึกสนุก ทั้งผลัก ทั้งดิ้นออกจากอ้อมกอดแกร่ง“อยู่นิ่งๆ หากตกลงไปจะเจ็บตัว”“เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้า ข้าฝึกม้ากับพี่ไห่ฉงอยู่ดีๆ ท่านจะมายุ่งทำไมกัน”“มี่มี่ เจ้ารออยู่ด้านนอก!” ร่างใหญ่หันมาสั่งเสียงเข้ม จนบ่าวสาวขาแข็ง มิอาจก้าวเดินตามนาย ที่ถูกพาเข้าไปในกระโจมส่วนตัวของแม่ทัพใหญ่ได้ร่างเล็กถูกวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะมายืนปักหลัก กอดอกอยู่ตรงหน้าว่าที่ภรรยา“เหตุใดจึงไปกอดรัดกับนายกองไห่ ชายหญิงไม่ควรเข้าใกล้กัน หรือเจ้าไม่รู้”“เช่นนั้นท่านอุ้มข้าเข้ามาในกระโจมทำไมกัน ชายหญิงมิควรเข้าใกล้กัน ท่านก็รู้อยู่แล้ว”“อย่ายอกย้อน! เจ้าเป็นคู่หมั้นข้าจะทำสิ่งใดก็ไตร่ตรองให้ดี อ่อ หรือว่าเจ้าคิดใช้แผนการทำให้ข้า
“อิ่งเอ๋อร์ ช่วงนี้พี่ใหญ่มีงานวุ่นวาย จึงมิได้สนทนากับเจ้าบ่อยนัก หากเจ้ามีเรื่องอยากปรึกษาพี่ ก็อย่าได้เกรงใจ พูดคุยมาได้ อย่าเก็บเรื่องที่อัดอั้นตันใจไว้เพียงผู้เดียว” ระหว่างทางกลับเรือน รองแม่ทัพของแคว้นก็ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับนาง เพราะบนรถม้ามีเพียงพวกเขาสองพี่น้อง“พี่ใหญ่อย่าได้เป็นห่วงไปเลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้เป็นอันใด”“พี่เป็นห่วงเจ้ามาก ยิ่งช่วงนี้เจ้าเปลี่ยนไป มิร่าเริงเหมือนเคย พี่ก็ยิ่งห่วง”“ข้าเพียงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เลยอยากเอาคืนพวกเขาบ้าง หรือท่านคิดว่าไม่ควร”“…” ต้าหัวได้แต่ลูบศีรษะเล็กเพื่อปลอบใจ“ทั้งที่ข้าดีกับพวกเขา ไว้ใจพวกเขา แต่กลับถูกหักหลังอย่างเลือดเย็น ท่านไม่คิดว่าข้าควรเอาคืนบ้างหรือ”“เหตุใดจะไม่ควรเล่า พี่ใหญ่เองก็เตือนเจ้าหลายครา เจ้ามีสิ่งใดก็ให้เสี่ยวปิงไปหมด ขนาดของที่พี่ซื้อให้ เจ้าก็ให้นางโดยไม่นึกเสียดาย”“พี่ใหญ่ เหตุใดกลายเป็นท่านน้อยใจข้าเสียได้เล่า” ลี่อิ่งหัวเราะเบาๆ กับการกอดอก เชิดหน้าของพี่ชาย“หึๆ อิ่งเอ๋อร์ มีเรื่องใดอยากให้พี่ชายคนนี้ช่วย อย่าได้ลังเล ในเมื่อเจ้าอยากเอาคืนพวกเขา พี่ก็จะช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด”“ข้ารักพี่ใหญ
หลังจากผ่านงานเลี้ยงคืนนั้นไป ผู้คนในท้องตลาดก็ลือกันสนั่น ว่าคุณหนูน้อยสกุลสวีใจจืดใจดำ มิเห็นแก่ความรักของท่านชายเจี้ยนอี้โจวกับพี่สาว ยืนยันจะไม่ถอนหมั้น ทั้งยังร้องขอต่อฝ่าบาท มิให้ท่านชายแต่งสตรีอื่นเข้ามา“นางคงต้องการกันท่า ไม่ให้พี่สาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องเป็นแน่”“ข้าก็คิดเช่นนั้น เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวาน จึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้”“สงสารก็แต่ท่านชายกับคุณหนูใหญ่สวี มีใจต่อกันแต่กลับไม่ได้ครองคู่”ปัง! เสียงตบโต๊ะดังลั่นไปทั่วเหลาอาหาร จนทุกคนต้องหันไปต้นเสียง ก็พบว่าผู้ที่นั่งทานอาหารอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน เป็นบุคคลที่กำลังถูกนินทา“ปากมากนักนะ มิอยากทานข้าวเสียแล้วกระมัง”“พี่ใหญ่ใจเย็นไว้” ลี่อิ่งห้ามปรามพี่ชาย เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นมองเขาไม่ดี“แต่-”“ให้ข้าจัดการเถิดเจ้าค่ะ” ลี่อิ่งเดินไปหาสตรีสองคนที่พูดถึงนางเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร“คุณหนูมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง”“เอ่อ ข้ายังไม่มี” สาวร่างอวบอ้วนเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นๆ แต่ก็ยังรักษากิริยาเอาไว้ได้“เพราะท่านไม่มีคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า”“…” พอเป็นเรื่อง
“หม่อมฉันมิอยากให้ท่านชายแต่งสตรีใดเข้ามา นับจากนี้ไปอีกสามปี” ตากลมชำเลืองไปมองใบหน้าของอี้โจวอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มตกใจจนเสียกิริยา ก็รู้สึกสนุกไม่น้อยป่านนี้ในใจคงเดือดพล่านแล้วกระมัง หึ!“จะเป็นไปได้อย่างไร! อี้โจวไม่มีพี่น้อง อย่างไรก็ต้องมีทายาสืบสกุลให้มาก เจ้าจะแต่งเป็นฮูหยินเอก อย่างไรก็ต้องใจกว้างเข้าไว้”“…”“เจ้าขออย่างอื่นเถิด แล้วข้าจะมิขัด” ฮ่องเต้ยื่นข้อเสนอให้สาวงามที่ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง“ในใจของหม่อมฉันประสงค์เพียงเรื่องนี้ จึงไม่รู้จะกล่าวขอสิ่งใด ในเมื่อเรื่องที่ขอมิอาจเป็นจริงได้ หม่อมฉันก็มิอยากรบกวนฝ่าบาทเพคะ”“…”“เดิมทีหม่อมฉันไม่ได้ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน เพียงมิอยากเห็นองค์ชายประชวรก็เท่านั้น ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาเพคะ” ลี่อิ่งก้มคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะหันหลังกลับ แต่เสียงของมารดาแผ่นดินก็ขัดขึ้นเสียก่อน“ฝ่าบาท คุณหนูสวีรักษาชีวิตของเชื้อพระวงศ์ ถือเป็นความดีใหญ่หลวง อีกอย่างสิ่งที่นางขอก็มิได้เหลือบ่ากว่าแรง นางขอเพียงสามปีเท่านั้น”“…”“ฝ่าบาท กษัตริย์ตรัสแล้วมิอาจคืนคำนะเพคะ” หงส์เคียงบัลลังก์กระซิบเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคนพระนางพอจะทราบข่าวเรื่องของ