หลังจากบิดามารดาออกไป ลี่อิ่งก็นั่งมองตนเองผ่านกระจกบานใหญ่ แทบไม่อยากเชื่อว่านางจะย้อนกลับมาเป็นเด็กสาวในวัยสิบหกหนาวอีกครั้ง
นัยน์ตาสีนิลเหม่อมองเงาสะท้อน พลางย้อนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วซ้ำไปซ้ำมา ลี่อิ่งยอมรับว่านางควบคุมตนเองไม่ได้ คิดทำลายหลักฐานปลอมพวกนั้น จนทำให้บุตรในครรภ์ต้องตาย แต่ความผิดนี้ยังมีอีกสองคนที่ร่วมกันก่อ ตัวนางได้รับโทษอย่างแสนสาหัส เจ็บปวดกับการสูญเสีย จนมิอาจให้อภัยตนเอง แล้วพวกเขาเล่า…จะเสียใจกับเรื่องนี้หรือไม่ “สวีเสี่ยวปิง เจี้ยนอี้โจว พวกท่านจะเจ็บปวดเหมือนที่ข้าเป็นอยู่หรือไม่” มือเล็กสัมผัสหน้าท้องเบาๆ พลันหลับตาลงสกัดกั้นความเสียใจเอาไว้ เพราะตอนนี้มิใช่เวลามาร้องไห้ แต่ต้องคิดวางแผน ว่าจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หากนางยอมถอนหมั้น เรื่องราวทั้งหมดอาจเป็นเช่นเดิม และก็อาจจะเป็นนางที่ต้องเจ็บปวดอยู่อย่างนี้ แกรก! แกรก! แกรก! นิ้วเล็กเคาะลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิด และสิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวนางตอนนี้ คือคำพูดสุดท้ายของตัวเอง… “หากรอด อึก! ตายไปได้ ข้าจะทำทุกอย่างให้ท่านเจ็บปวดเช่นข้า” “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ สำรับก็จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว” “อืม ท่านพ่อได้เชิญทุกคนมาร่วมงานเลี้ยงด้วยใช่หรือไม่” คุณหนูสวีมองสำรวจตนเองผ่านกระจกบานใหญ่ ใบหน้าแต่งแต้มสีสัน สวมชุด สวมเครื่องประดับเต็มยศราวกับจะออกไปงานเลี้ยงนอกเรือน “เชิญทุกคนอย่างที่คุณหนูบอกเจ้าค่ะ แต่บ่าวไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูต้องให้เชิญคุณหนูใหญ่ด้วย” บ่าวตัวน้อยทำหน้าบึ้ง นางไม่ชอบคุณหนูใหญ่ แม้สตรีผู้นั้นจะพูดจาไพเราะ กิริยาเรียบร้อย แต่กลับชอบกดดันให้คุณหนูมอบของมีค่าให้ บางคราก็ผลักคุณหนู แล้วแสร้งว่าไม่ได้ตั้งใจ “เชิญมาเถิด…ข้าอยากรู้ว่านางจะสู้หน้าทุกคนอย่างไร ที่แอบไปมีสัมพันธ์กับคู่หมั้นของน้องสาว” ว่าเสร็จก็ลุกออกไปจากห้อง ทิ้งให้มี่มี่ขนลุกซู่ ยามเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของคุณหนู ตั้งแต่นางปรนนิบัติข้างกายคุณหนู ยังไม่เคยเห็นสายตาโกรธแค้นเช่นนี้เลยสักครา “โอ้โห สมกับเป็นน้องสาวพี่ งดงามทุกกระเบียดนิ้ว” สวีต้าหัวเอ่ยทักทันทีที่เห็นร่างงามเดินขึ้นมาบนศาลา “พี่ใหญ่เอ่ยยกยอข้าเกินไปแล้ว ขออภัยที่ข้ามาช้าเจ้าค่ะ” ลี่อิ่งเข้าไปนั่งที่ของตน พลางก้มคำนับท่านพ่อท่านแม่ “มิเป็นไรๆ นั่งลงเถิด มารดาเจ้าทำแต่ของที่เจ้าชอบทั้งนั้น” “ของข้าไม่มีเลยหรือท่านแม่ นี่พวกท่านเลี้ยงต้อนรับข้าจริงหรือไม่ รองแม่ทัพแคว้นเจี้ยนอุตส่าห์กลับมาเรือนทั้งที” เสียงโวยวายของคุณชายใหญ่สร้างความขบขำให้กับทุกคน จะมีก็แต่อนุเหลียง กับบุตรสาวอย่างเสี่ยวปิงที่ทำหน้าบูดบึ้ง เพราะถูกปฏิบัติราวกับธาตุอากาศ ขนาดอนุจูก็ถูกท่านราชครูเอ่ยทักบ้าง ไม่รู้ว่าพวกนางทำผิดเรื่องใดหนักหนา ไม่ว่าผู้ใดก็อยากถีบตนเองขึ้นสูงทั้งนั้นมิใช่หรือไร “อาลู่! เจ้าอยู่นิ่งๆ พี่ใหญ่จะสวมกำไลให้” สวีต้าลู่ เด็กชายวัยสี่เดือนขยับเท้าไปมาไม่ยอมให้พี่ชายใส่กำไลให้ “พี่ใหญ่พูดเสียงแข็งราวกับอาลู่เป็นนายทหาร ประเดี๋ยวก็ร้องไห้กันพอดี” ลี่อิ่งยื่นมือไปรับเด็กชายจากอนุจูมาอุ้มไว้เอง พลางหยอกเล่นอยู่สักพัก จึงช่วยใส่กำไลข้อเท้าให้เด็กน้อย “คุณชายน้อยก็ยังชอบคุณหนูของบ่าวเช่นเคย” มี่มี่เอ่ยทัก “งั้นหรือ เอาไว้พี่จะแวะไปหาอาลู่บ่อยๆ ดีหรือไม่” สวีลี่อิ่งมองน้องชายร้องอ้อแอ้ ก็นึกถึงบุตรของนาง ที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลก ‘เจ้าจะชอบแม่เหมือนที่อาลู่ชอบหรือไม่นะ เด็กน้อยของแม่’ “คุณหนูเลี้ยงเด็กเก่งมากเลยเจ้าค่ะ ขนาดท่านราชครูอุ้ม อาลู่ยังร้องไห้เลย คิกๆ” อนุจูหัวเราะสามี “เช่นนั้นถือว่าข้าสอบผ่าน วันหน้ามีบุตรให้ท่านชายจะได้ไม่บกพร่อง” แน่นอนว่าลี่อิ่งตั้งใจพูด ในเมื่อคิดจะทำให้เจี้ยนอี้โจวและสวีเสี่ยวปิงเจ็บปวด ก็ต้องเริ่มจากเรื่องนี้ รักกัน แต่มิอาจตบแต่งกันได้ อยากรู้นักว่าเจ็บปวดเพียงใด คำพูดของลี่อิ่งทำให้ทุกคนชะงักนิ่ง ต่างคนก็ต่างตกอยู่ในความคิดของตน และก็เป็นอนุเหลียงที่เอ่ยทำลายความเงียบนั้น “เอ่อ คุณหนูคงจะลืมไปว่าเมื่อหลายวันก่อน ท่านชายมาขอถอนหมั้น เพราะรักกันกับเสี่ยวปิงของข้า” “หึ อนุเหลียงก็คงลืมไปแล้ว ท่านอ๋องเอ่ยว่าทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของข้า หากข้าจะแต่ง ผู้ใดจะค้านได้” “อิ่งเอ๋อร์ เรื่องของพี่กับท่านชายมีคนรู้กันทั่วตลาดแล้ว หากมิได้ตบแต่งพี่คงมิมีหน้าไปสู้กับผู้ใด” เสี่ยวปิงยังคงทำตัวน่าสงสาร ให้ลี่อิ่งยอมทำตามที่นางต้องการเช่นเคย ปัง!!! “เสี่ยวปิง!!”“คุณหนูใหญ่คงอิจฉาคุณหนูของบ่าวจนมิอาจทนดูได้”“จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือมี่มี่ สายตาของนางตอนที่พูดเรื่องเครื่องประดับติดรำคาญเสียมากกว่า” แทนที่จะเป็นแววตาที่โศกเศร้า น้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่ยินดี“แต่เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ก็ดูจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”“นั่นเป็นเพราะข้าพูดถึงเรื่องข่าวลือเสียหายของนาง” ตอนขอให้ช่วยเลือกเครื่องประดับงานสมรส แสดงท่าทีรำคาญ แต่พอพูดเรื่องข่าวลือจึงเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด โมโห“…”“หมายความว่านางไม่สนใจการสมรสของข้ากับท่านชายหรือ” เด็กสาววัยสิบหกพึมพำกับตัวเอง“…”“มี่มี่ ไปเรียกป้าเถากับอาซิวมา ข้ามีเรื่องจะสอบถามพวกเขา” เรื่องการเลือกเสื้อผ้าเครื่องประดับถูกพักไว้ เพราะสายตาติดรำคาญของเสี่ยวปิงหรือชายหญิงคู่นั้นจะแอบวางแผนบางอย่างเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่เจี้ยนอี้โจวมาที่เรือน ก็มิได้ขอพบสวีเสี่ยวปิงเลยสักครั้ง หากไม่มาพูดคุยเรื่องการทหารกับพี่ใหญ่ ก็นำของจากจวนอ๋องมามอบให้“คุณหนู”“ท่านป้าเถา อาซิว นั่งลงก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะสอบถาม”“มีเรื่องอันใดหรือขอรับคุณหนู” บ่าวชายในเรือนเอ่ยถาม“ช่วงนี้พวกท่านทั้งสองเห็นพี่หญิงทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบออกไปที่ใดหรือไม่”“เห็นออกไปนอกเรื
“ท่านแม่ทัพ ข้ามารับตัวน้องสาวขอรับ ไม่ทราบว่านางอยู่ด้านในหรือไม่”“พี่ใหญ่! ข้าอยู่ด้านใน” สวีลี่อิ่งตะโกนตอบราวกับกลัวว่าจะมีใครแย่ง เจ้าของกระโจมจึงได้แต่ส่ายหัว“เข้ามา”“ข้ามารับ-” สวีต้าหัวอ้าปากค้าง เมื่อเห็นท่านชายที่พ่วงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นกำลังคุกเข่า พันข้อเท้าให้น้องสาวของเขา ทั้งที่บอกว่าจะถอนหมั้น และไม่ยินดีจะแต่งงานด้วยแต่การกระทำเช่นนี้ มันน่าแปลกนัก“น้องสาวเจ้าบาดเจ็บที่ข้อเท้า หากคราหน้าจะให้นางขี่ม้า เจ้าก็ควรหาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลนาง”“ขอรับ อิ่งเอ๋อร์เจ้าเจ็บมากหรือไม่”“ไม่มากเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับเรือนแล้ว” เมื่อน้องสาวว่าดังนั้น ต้าหัวก็รีบย่อตัวให้น้องสาวขึ้นหลัง แล้วพาขึ้นรถม้า กลับเรือนทันทีหลังจากวันนั้น สวีลี่อิ่งก็ยังนึกแปลกใจกับการกระทำของเจี้ยนอี้โจว ทั้งที่คิดว่าเขาจะต้องโมโหและโกรธเรื่องที่นางขอกับฝ่าบาทมากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายกลับดูไม่ค่อยทุกข์ร้อนเท่าที่ควร“หรือข้าจะวางแผนการผิดมาโดยตลอด”คงมิใช่กระมัง เขาก็ยังตะคอกดุด่านาง เจอกับเสี่ยวปิงเมื่อใดก็ยังส่งสายตาหวานซึ้งให้กันอยู่ตลอด คงต้องเจ็บปวดทรมานอยู่บ้าง ที่มิอาจสมรสกับคนที่รักได้“คุณหนูเจ้า
“ท่านแม่ทัพ คือคุณหนูสวีนาง-” ยังไม่ทันที่นายกองไห่จะได้เอ่ยอธิบาย เจี้ยนอี้โจวอุ้มลี่อิ่งออกมาจากตรงนั้น“ทะ ท่านจะพาข้าไปที่ใด พี่ไห่ฉงไปบอกพี่ใหญ่เร็วเข้า”“คุณหนูเจ้าคะ ท่านปล่อยคุณหนูลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” มี่มี่วิ่งตามผู้เป็นนายไป ส่วนนายกองไห่ก็รีบนำเรื่องนี้ไปแจ้งรองแม่ทัพสวีลี่อิ่งมองสีหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก แต่แทนที่หญิงสาวควรกลัว กลับนึกสนุก ทั้งผลัก ทั้งดิ้นออกจากอ้อมกอดแกร่ง“อยู่นิ่งๆ หากตกลงไปจะเจ็บตัว”“เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้า ข้าฝึกม้ากับพี่ไห่ฉงอยู่ดีๆ ท่านจะมายุ่งทำไมกัน”“มี่มี่ เจ้ารออยู่ด้านนอก!” ร่างใหญ่หันมาสั่งเสียงเข้ม จนบ่าวสาวขาแข็ง มิอาจก้าวเดินตามนาย ที่ถูกพาเข้าไปในกระโจมส่วนตัวของแม่ทัพใหญ่ได้ร่างเล็กถูกวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะมายืนปักหลัก กอดอกอยู่ตรงหน้าว่าที่ภรรยา“เหตุใดจึงไปกอดรัดกับนายกองไห่ ชายหญิงไม่ควรเข้าใกล้กัน หรือเจ้าไม่รู้”“เช่นนั้นท่านอุ้มข้าเข้ามาในกระโจมทำไมกัน ชายหญิงมิควรเข้าใกล้กัน ท่านก็รู้อยู่แล้ว”“อย่ายอกย้อน! เจ้าเป็นคู่หมั้นข้าจะทำสิ่งใดก็ไตร่ตรองให้ดี อ่อ หรือว่าเจ้าคิดใช้แผนการทำให้ข้า
“อิ่งเอ๋อร์ ช่วงนี้พี่ใหญ่มีงานวุ่นวาย จึงมิได้สนทนากับเจ้าบ่อยนัก หากเจ้ามีเรื่องอยากปรึกษาพี่ ก็อย่าได้เกรงใจ พูดคุยมาได้ อย่าเก็บเรื่องที่อัดอั้นตันใจไว้เพียงผู้เดียว” ระหว่างทางกลับเรือน รองแม่ทัพของแคว้นก็ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับนาง เพราะบนรถม้ามีเพียงพวกเขาสองพี่น้อง“พี่ใหญ่อย่าได้เป็นห่วงไปเลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้เป็นอันใด”“พี่เป็นห่วงเจ้ามาก ยิ่งช่วงนี้เจ้าเปลี่ยนไป มิร่าเริงเหมือนเคย พี่ก็ยิ่งห่วง”“ข้าเพียงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เลยอยากเอาคืนพวกเขาบ้าง หรือท่านคิดว่าไม่ควร”“…” ต้าหัวได้แต่ลูบศีรษะเล็กเพื่อปลอบใจ“ทั้งที่ข้าดีกับพวกเขา ไว้ใจพวกเขา แต่กลับถูกหักหลังอย่างเลือดเย็น ท่านไม่คิดว่าข้าควรเอาคืนบ้างหรือ”“เหตุใดจะไม่ควรเล่า พี่ใหญ่เองก็เตือนเจ้าหลายครา เจ้ามีสิ่งใดก็ให้เสี่ยวปิงไปหมด ขนาดของที่พี่ซื้อให้ เจ้าก็ให้นางโดยไม่นึกเสียดาย”“พี่ใหญ่ เหตุใดกลายเป็นท่านน้อยใจข้าเสียได้เล่า” ลี่อิ่งหัวเราะเบาๆ กับการกอดอก เชิดหน้าของพี่ชาย“หึๆ อิ่งเอ๋อร์ มีเรื่องใดอยากให้พี่ชายคนนี้ช่วย อย่าได้ลังเล ในเมื่อเจ้าอยากเอาคืนพวกเขา พี่ก็จะช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด”“ข้ารักพี่ใหญ
หลังจากผ่านงานเลี้ยงคืนนั้นไป ผู้คนในท้องตลาดก็ลือกันสนั่น ว่าคุณหนูน้อยสกุลสวีใจจืดใจดำ มิเห็นแก่ความรักของท่านชายเจี้ยนอี้โจวกับพี่สาว ยืนยันจะไม่ถอนหมั้น ทั้งยังร้องขอต่อฝ่าบาท มิให้ท่านชายแต่งสตรีอื่นเข้ามา“นางคงต้องการกันท่า ไม่ให้พี่สาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องเป็นแน่”“ข้าก็คิดเช่นนั้น เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวาน จึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้”“สงสารก็แต่ท่านชายกับคุณหนูใหญ่สวี มีใจต่อกันแต่กลับไม่ได้ครองคู่”ปัง! เสียงตบโต๊ะดังลั่นไปทั่วเหลาอาหาร จนทุกคนต้องหันไปต้นเสียง ก็พบว่าผู้ที่นั่งทานอาหารอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน เป็นบุคคลที่กำลังถูกนินทา“ปากมากนักนะ มิอยากทานข้าวเสียแล้วกระมัง”“พี่ใหญ่ใจเย็นไว้” ลี่อิ่งห้ามปรามพี่ชาย เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นมองเขาไม่ดี“แต่-”“ให้ข้าจัดการเถิดเจ้าค่ะ” ลี่อิ่งเดินไปหาสตรีสองคนที่พูดถึงนางเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร“คุณหนูมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง”“เอ่อ ข้ายังไม่มี” สาวร่างอวบอ้วนเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นๆ แต่ก็ยังรักษากิริยาเอาไว้ได้“เพราะท่านไม่มีคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า”“…” พอเป็นเรื่อง
“หม่อมฉันมิอยากให้ท่านชายแต่งสตรีใดเข้ามา นับจากนี้ไปอีกสามปี” ตากลมชำเลืองไปมองใบหน้าของอี้โจวอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มตกใจจนเสียกิริยา ก็รู้สึกสนุกไม่น้อยป่านนี้ในใจคงเดือดพล่านแล้วกระมัง หึ!“จะเป็นไปได้อย่างไร! อี้โจวไม่มีพี่น้อง อย่างไรก็ต้องมีทายาสืบสกุลให้มาก เจ้าจะแต่งเป็นฮูหยินเอก อย่างไรก็ต้องใจกว้างเข้าไว้”“…”“เจ้าขออย่างอื่นเถิด แล้วข้าจะมิขัด” ฮ่องเต้ยื่นข้อเสนอให้สาวงามที่ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง“ในใจของหม่อมฉันประสงค์เพียงเรื่องนี้ จึงไม่รู้จะกล่าวขอสิ่งใด ในเมื่อเรื่องที่ขอมิอาจเป็นจริงได้ หม่อมฉันก็มิอยากรบกวนฝ่าบาทเพคะ”“…”“เดิมทีหม่อมฉันไม่ได้ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน เพียงมิอยากเห็นองค์ชายประชวรก็เท่านั้น ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาเพคะ” ลี่อิ่งก้มคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะหันหลังกลับ แต่เสียงของมารดาแผ่นดินก็ขัดขึ้นเสียก่อน“ฝ่าบาท คุณหนูสวีรักษาชีวิตของเชื้อพระวงศ์ ถือเป็นความดีใหญ่หลวง อีกอย่างสิ่งที่นางขอก็มิได้เหลือบ่ากว่าแรง นางขอเพียงสามปีเท่านั้น”“…”“ฝ่าบาท กษัตริย์ตรัสแล้วมิอาจคืนคำนะเพคะ” หงส์เคียงบัลลังก์กระซิบเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคนพระนางพอจะทราบข่าวเรื่องของ