“ท่านพี่ อิ่งเอ๋อร์มิได้ทำนะเจ้าคะ…พี่หญิง ข้ามิเคยคิดจะทำเช่นนั้นกับท่าน พี่หญิงเข้าใจข้าผิดแล้ว” สวีลี่อิ่ง พยายามเอ่ยปฏิเสธคำกล่าวร้ายที่ออกจากปากพี่สาวทั้งน้ำตา แต่นั่นกลับไม่ทำให้นางเจ็บเท่าสายตาระแวงสงสัยของสามี
“อย่าเรียกข้าว่าพี่หญิง ข้าตัดพี่ตัดน้องกับเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าให้คนมาลักพาตัวข้าไปก่อนวันแต่งงานแล้ว ฮึก! เจ้าทำลายชีวิตข้า แย่งทุกสิ่งไปจากข้า” “ข้ามิได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะ พวกท่านเชื่อข้าเถิด” น้ำตาเม็ดโตไหลออกจากดวงตากลม นางไม่รู้จะทำอย่างไรให้พวกเขาทั้งสองเชื่อ ว่านางมิได้รู้เห็นกับเรื่องนี้ สวีลี่อิ่ง บุตรสาวคนเล็กของท่านราชครูสวีเหมิงซานกับฮูหยินเอกฟ่านหลัน ด้วยเพราะบิดาเป็นราชครูขององค์ฮ่องเต้เจี้ยนเฟยหลงและชินอ๋องเจี้ยนเหวินฮั่น ลี่อิ่งจึงถูกหมั้นหมายกับท่านชายเจี้ยนอี้โจว บุตรชายของชินอ๋องตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าสวีลี่อิ่งยึดถือคำมั่นสัญญานี้มาโดยตลอด ไม่เหลียวแลชายใด ปักใจรักเพียงเจี้ยนอี้โจวผู้เดียว หวังเพียงว่าเมื่ออีกฝ่ายได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ตามที่ต้องการ ก็จะได้จัดพิธีสมรสตามที่ผู้ใหญ่ได้พูดคุยกันไว้ ทว่าฝ่ายชายกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาเอ่ยว่าความรักมิอาจบังคับใจกันได้และมองนางเป็นเพียงน้องสาว เจี้ยนอี้โจวจึงสานสัมพันธ์กับสวีเสี่ยวปิง พี่สาวต่างมารดาของลี่อิ่ง ถึงขั้นออกปากขอถอนหมั้น แม้สวีเสี่ยวปิงจะมีฐานะเป็นเพียงบุตรีอนุภรรยา เขาก็ไม่รังเกียจ “…” “ท่านพี่ได้โปรดตรองดูให้ดีเถิดเจ้าค่ะ หากว่าเป็นอิ่งเอ๋อร์ที่สั่งคนไปลักพาตัวพี่หญิง ก่อนวันแต่งงานของพวกท่านจริง เหตุใดก่อนหน้าอิ่งเอ๋อร์ต้องยอมยกเลิกการหมั้นหมายของเรา หวังให้พวกท่านได้ครองคู่กันด้วยเล่า” ตั้งแต่เล็กจนโต ลี่อิ่งเห็นว่าพี่สาวไม่ได้รับความสนใจจากบิดาเท่ากับพี่น้องคนอื่นๆ นางจึงสงสารและยอมถอยให้พี่สาวเรื่อยมา ของเล่น ขนม ของมีค่าต่างๆ นางล้วนไม่หวงแหน มอบให้พี่สาวด้วยความเต็มใจ กระทั่งชายผู้เป็นที่รัก ลี่อิ่งก็ยังยอมถอนหมั้น เพื่อให้ทั้งสองได้สมรสกัน แต่คืนวันแต่งงานพี่สาวของนางกลับหายตัวไป วันรุ่งขึ้นจึงเป็นลี่อิ่งที่ต้องเข้าพิธีสมรสแทน เนื่องจากเป็นสมรสพระราชทาน มิอาจยกเลิกหรือขัดราชโองการได้ “เจ้ามิได้ทำจริงๆ ใช่หรือไม่” อี้โจวถามเสียงเรียบ “มิได้ทำเจ้าค่ะ ฮึก! หากอิ่งเอ๋อร์ต้องการกีดกันพวกท่านจริงๆ เพียงแค่เอ่ยว่าจะไม่ถอนหมั้น เท่านี้ก็ได้แล้วมิใช่หรือ อิ่งเอ๋อร์มิจำเป็นต้องวางแผนลักพาตัวพี่หญิง แล้วแต่งแทนนาง เพื่อให้ท่านเกลียดชัง” ประโยคท้ายหลุดออกมาจากริมฝีปากเล็กอย่างแผ่วเบา ลี่อิ่งยังจำความเจ็บปวดในวันนั้นได้ดี หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน ท่านชายก็ปล่อยให้นางรออยู่ในห้องหอจนเช้า ตลอดระยะเวลานับปีเขาไม่เคยเหลียวแลนาง หากมีสิ่งใดไม่ถูกใจก็ด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง ทำโทษให้นั่งคุกเข่าหลายชั่วยาม จนคิดน้อยอกน้อยใจอยู่หลายครั้งว่าพี่ชายที่แสนดี คอยดูแลนางมาตั้งแต่เด็กหายไปอยู่ที่ใด กระนั้นความรักที่มอบให้ชายหนุ่มก็ไม่เคยลดน้อยลง บุตรีราชครูยังคงทำดีกับเขาเรื่อยมา และในที่สุดท่านพี่อี้โจวก็เห็นนางอยู่ในสายตา ความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาจึงแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้ใดจะคิดว่าอยู่ๆ สวีเสี่ยวปิง จะกลับมาในยามที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี “หากมิได้ทำก็หยุดร้องเสียเถิด” “ท่านชาย! ขอท่านทวงความเป็นธรรมให้ข้าด้วยเถิด แม้ในวันนี้ท่านจะลืมความรักของเราไปแล้ว ก็อย่าได้ปิดหูปิดตา เพื่อปกป้องฮูหยินท่านเลย” สวีเสี่ยวปิงเห็นว่าชายหนุ่มกำลังเชื่อคำพูดของน้องสาว นางจึงทรุดกายนั่งคุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำท่าจะเป็นล้มพับอยู่ตรงนั้น “ข้า…” อี้โจวพูดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ ร่างสูงรีบเข้าไปประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันพาเสี่ยวปิงไปนั่งบนเก้าอี้ ก็มีมือเล็กผลักให้ทั้งสองแยกออกจากกันเสียก่อน “ลี่อิ่ง! ทำอันใด เจ้ามิเห็นหรือว่าพี่สาวเจ้ากำลังจะเป็นลม มิรู้จักแยกแยะเลยหรือ” “จะให้อิ่งเอ๋อร์แยกแยะอย่างไรเจ้าคะ อิ่งเอ๋อร์เป็นฮูหยินของท่าน แต่ท่านพี่กลับห่วงใยพี่หญิง ประคองกอดกันต่อหน้าต่อตา ฮื่อ!” “ช่วงนี้เจ้าชักจะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว มิได้ดั่งใจก็ร้องไห้” “นั่นเพราะ-” มือเล็กจับที่ท้องของตน หมายจะบอกข่าวดีกับสามีให้รู้ แต่เขาไม่คิดจะฟัง “จะเพราะอะไรก็ช่าง เรื่องนี้ข้ายังมิได้ตัดสินว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด ข้ายังไม่เชื่อผู้ใดทั้งนั้น ข้าจะลองสืบดูอีกทีว่าเป็นการป้ายสีกันหรือไม่” “ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะ ข้ามิได้ใส่ร้ายสวีลี่อิ่ง หากท่านไม่เชื่อก็ดูหลักฐานที่ข้าเตรียมมา” ลี่อิ่งมองตามกระดาษที่ถูกยื่นไปให้สามี นางไม่คุ้นตากับกระดาษเช่นนี้มาก่อน จึงมิได้กังวลมากนัก ทว่าคิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันยามอ่านสารในกระดาษ ทำให้มือเรียวรีบคว้าเอากระดาษแผ่นนั้นมาอ่านเอง ข้อมูลในกระดาษเป็นการออกคำสั่งให้ฉุดตัวสวีเสี่ยวปิงก่อนวันแต่งงาน ทั้งยังบอกให้คนรับจดหมายขืนใจสวีเสี่ยวปิงและสังหารทิ้งในทันที “ขะ ข้ามิได้ทำ พี่หญิงเอาของพวกนี้มาจากที่ใด” “หากเจ้ามิได้ทำแล้วเป็นผู้ใด ลายมือนี้เป็นของเจ้ามิใช่หรือ ดีเท่าใดแล้วที่มีชาวบ้านมาช่วยไว้ ข้าจึงไม่ถูกชายพวกนั้นข่มเหง เจ้ามันชั่วช้านัก สวีลี่อิ่ง!” เสียงถกเถียงกันของสตรีมิได้ดังเข้าหูของเจี้ยนอี้โจวเลยสักนิด ลายมือที่ปรากฏในสาร ชายหนุ่มดูเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของลี่อิ่ง ทั้งที่เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้น แต่กลับมองไม่ออกว่าภรรยาเป็นคนโหดร้ายถึงเพียงนี้ “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีจิตใจอำมหิต นางเป็นพี่สาวของเจ้า เหตุใดจึงทำได้ลงคอ” “อิ่งเอ๋อร์มิได้ทำนะเจ้าคะท่านที่ หลักฐานนี้เป็นของปลอม เชื่อถือมิได้” อารมณ์ฉุนเฉียวประกอบกับความกลัวที่ปรากฏขึ้นในใจ ทำให้ร่างบางพยายามฉีกหลักฐานปลอมนั้นทิ้ง “เจ้าทำอันใด หยุดประเดี๋ยวนี้!” อี้โจวและเสี่ยวปิงรีบพุ่งตัวไปยื้อแย่งหลักฐานนั้นมา เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะพิสูจน์เรื่องทั้งหมดนี้ได้ แม่ทัพหนุ่มก็เริ่มจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของภรรยา จึงออกแรงดึงยื้อเอาหลักฐานมา “โอ๊ย! อึก” แต่คงเพราะกะแรงไม่ถูก จึงร่างบางเซล้มไปชนกับโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้ามิได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าเจ็บ แต่ถือเสียว่านี่เป็นการลงโทษที่เจ้าทำตัวไม่สมกับเป็นฮูหยินของข้า กลับเรือนของตนเสีย ก่อนที่ข้าจะสั่งโบยเจ้าอีกรอบ” คำพูดและน้ำเสียงที่แข็งทื่อของสามี บาดลึกเข้าไปในจิตใจ ไหนจะรอยยิ้มเย้ยหยันที่พี่สาวส่งมา ทำให้ลี่อิ่งรับรู้ได้ว่าทั้งหมดเป็นแผนการของสวีเสี่ยวปิง และท่านพี่อี้โจวเองก็เลือกจะเชื่ออีกฝ่ายมากกว่านางที่เป็นภรรยา “ฮึก! ข้าควรคิดได้ว่าท่านมิเคยลืมพี่หญิง อึก โอ๊ย!” เพล้ง! กาน้ำชาจากมือของสาวใช้ที่พึ่งเข้ามาในห้อง ร่วงลงพื้นจนแตกกระจายไปทั่ว ทว่านางกลับมิได้สนใจ เร่งวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นนายอย่างไม่คิดชีวิต “ฮูหยิน! ปะ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เจ็บที่ใดหรือไม่” “มี่มี่ ขะ ข้าปวดท้อง ลูกของข้า” สาวใช้คนสนิทของลี่อิ่งรีบเปิดชายกระโปรงผืนงามขึ้นทันที และนั่นทำให้แม่ทัพหนุ่มรีบเข้ามาประคองตัวฮูหยิน โดยไม่สนใจหลักฐานที่ยื้อแย่งกันแทบเป็นแทบตาย “เป็นอันใด เหตุใดจึงมีเลือดไหลเช่นนี้” “ทะ ท่านชายเรียกหมอเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เลือดออกเช่นนี้ไม่ดีแน่” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ลี่อิ่งได้ยิน เพราะความเจ็บปวดตรงท้องน้อยถาโถมจนแทบทนไม่ไหว ในใจนึกภาวนาขอให้บุตรในครรภ์ของนางปลอดภัย ทว่าสวรรค์กลับไม่เมตตา “ทะ ท่านหมอว่าอย่างไรนะ” น้ำเสียงอ่อนล้าเอ่ยถามอีกครั้ง หลังจากที่ลี่อิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมา นางก็ได้ฟังข่าวร้ายจากท่านหมอ ว่าบุตรของนางได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ “เอ่อ ครรภ์ของท่านยังไม่แข็งแรง พอได้รับการกระทบกระเทือน จึงได้ตกเลือด จน- จนไม่อาจรักษาชีวิตของทารกในครรภ์ไว้ได้เจ้าค่ะ” หมอหญิงเองก็ลำบากใจที่ต้องเอ่ยเรื่องนี้ แต่อย่างไรเสียฮูหยินก็สมควรจะรู้ “ท่าน ฮึก ท่านโกหกข้าใช่หรือไม่ เด็กน้อย เจ้ายังอยู่กับมารดาใช่หรือไม่” มือขาวเอาแต่ลูบหน้าท้องตนเองซ้ำมา พลางร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด จนบ่าวรับใช้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็มิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ นางเฝ้าคิดว่าเหตุใดชีวิตนางต้องมาพบเจอเรื่องพวกนี้ ทั้งที่นางวาดฝันจะได้เลี้ยงดูอุ้มชูลูกน้อยให้เติบใหญ่ไปพร้อมกับชายคนรัก แต่คนผู้นั้นกลับเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง “อิ่งเอ๋อร์” “เป็นเพราะท่าน ทุกอย่างเป็นเพราะท่าน!” ทันทีที่เจี้ยนอี้โจวเดินเข้ามาในห้อง ลี่อิ่งก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งอย่างคนสิ้นสติ ทั้งกรีดร้อง ทั้งพยายามโถมตัวเข้าไปทุบตีอีกฝ่าย ทว่ากายบางเสียเลือดไปมาก ประกอบกับความเสียใจ ความเจ็บแค้นผสมปนเปกัน ทำให้ร่างกายมิอาจรับไหวอีกต่อไป ฮูหยินของเรือนชักเกร็งไปทั้งตัว เลือดสีแดงฉานไหลจากกลางกายสาว จนสามีและคนสนิทต้องรีบเข้าไปจับประคอง ให้ท่านหมอช่วยรักษา แต่ก็เหมือนว่าทุกอย่างจะสายจนเกินไป มือเล็กขย้ำคอเสื้อของคนรักไว้แน่น พลางจ้องมองด้วยสายตาทั้งรักทั้งเกลียด “หากรอด อึก! ตายไปได้ ข้าจะทำทุกอย่างให้ท่านเจ็บปวดเช่นข้า”“คุณหนูใหญ่คงอิจฉาคุณหนูของบ่าวจนมิอาจทนดูได้”“จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือมี่มี่ สายตาของนางตอนที่พูดเรื่องเครื่องประดับติดรำคาญเสียมากกว่า” แทนที่จะเป็นแววตาที่โศกเศร้า น้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่ยินดี“แต่เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ก็ดูจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”“นั่นเป็นเพราะข้าพูดถึงเรื่องข่าวลือเสียหายของนาง” ตอนขอให้ช่วยเลือกเครื่องประดับงานสมรส แสดงท่าทีรำคาญ แต่พอพูดเรื่องข่าวลือจึงเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด โมโห“…”“หมายความว่านางไม่สนใจการสมรสของข้ากับท่านชายหรือ” เด็กสาววัยสิบหกพึมพำกับตัวเอง“…”“มี่มี่ ไปเรียกป้าเถากับอาซิวมา ข้ามีเรื่องจะสอบถามพวกเขา” เรื่องการเลือกเสื้อผ้าเครื่องประดับถูกพักไว้ เพราะสายตาติดรำคาญของเสี่ยวปิงหรือชายหญิงคู่นั้นจะแอบวางแผนบางอย่างเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่เจี้ยนอี้โจวมาที่เรือน ก็มิได้ขอพบสวีเสี่ยวปิงเลยสักครั้ง หากไม่มาพูดคุยเรื่องการทหารกับพี่ใหญ่ ก็นำของจากจวนอ๋องมามอบให้“คุณหนู”“ท่านป้าเถา อาซิว นั่งลงก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะสอบถาม”“มีเรื่องอันใดหรือขอรับคุณหนู” บ่าวชายในเรือนเอ่ยถาม“ช่วงนี้พวกท่านทั้งสองเห็นพี่หญิงทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบออกไปที่ใดหรือไม่”“เห็นออกไปนอกเรื
“ท่านแม่ทัพ ข้ามารับตัวน้องสาวขอรับ ไม่ทราบว่านางอยู่ด้านในหรือไม่”“พี่ใหญ่! ข้าอยู่ด้านใน” สวีลี่อิ่งตะโกนตอบราวกับกลัวว่าจะมีใครแย่ง เจ้าของกระโจมจึงได้แต่ส่ายหัว“เข้ามา”“ข้ามารับ-” สวีต้าหัวอ้าปากค้าง เมื่อเห็นท่านชายที่พ่วงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นกำลังคุกเข่า พันข้อเท้าให้น้องสาวของเขา ทั้งที่บอกว่าจะถอนหมั้น และไม่ยินดีจะแต่งงานด้วยแต่การกระทำเช่นนี้ มันน่าแปลกนัก“น้องสาวเจ้าบาดเจ็บที่ข้อเท้า หากคราหน้าจะให้นางขี่ม้า เจ้าก็ควรหาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลนาง”“ขอรับ อิ่งเอ๋อร์เจ้าเจ็บมากหรือไม่”“ไม่มากเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับเรือนแล้ว” เมื่อน้องสาวว่าดังนั้น ต้าหัวก็รีบย่อตัวให้น้องสาวขึ้นหลัง แล้วพาขึ้นรถม้า กลับเรือนทันทีหลังจากวันนั้น สวีลี่อิ่งก็ยังนึกแปลกใจกับการกระทำของเจี้ยนอี้โจว ทั้งที่คิดว่าเขาจะต้องโมโหและโกรธเรื่องที่นางขอกับฝ่าบาทมากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายกลับดูไม่ค่อยทุกข์ร้อนเท่าที่ควร“หรือข้าจะวางแผนการผิดมาโดยตลอด”คงมิใช่กระมัง เขาก็ยังตะคอกดุด่านาง เจอกับเสี่ยวปิงเมื่อใดก็ยังส่งสายตาหวานซึ้งให้กันอยู่ตลอด คงต้องเจ็บปวดทรมานอยู่บ้าง ที่มิอาจสมรสกับคนที่รักได้“คุณหนูเจ้า
“ท่านแม่ทัพ คือคุณหนูสวีนาง-” ยังไม่ทันที่นายกองไห่จะได้เอ่ยอธิบาย เจี้ยนอี้โจวอุ้มลี่อิ่งออกมาจากตรงนั้น“ทะ ท่านจะพาข้าไปที่ใด พี่ไห่ฉงไปบอกพี่ใหญ่เร็วเข้า”“คุณหนูเจ้าคะ ท่านปล่อยคุณหนูลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” มี่มี่วิ่งตามผู้เป็นนายไป ส่วนนายกองไห่ก็รีบนำเรื่องนี้ไปแจ้งรองแม่ทัพสวีลี่อิ่งมองสีหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก แต่แทนที่หญิงสาวควรกลัว กลับนึกสนุก ทั้งผลัก ทั้งดิ้นออกจากอ้อมกอดแกร่ง“อยู่นิ่งๆ หากตกลงไปจะเจ็บตัว”“เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้า ข้าฝึกม้ากับพี่ไห่ฉงอยู่ดีๆ ท่านจะมายุ่งทำไมกัน”“มี่มี่ เจ้ารออยู่ด้านนอก!” ร่างใหญ่หันมาสั่งเสียงเข้ม จนบ่าวสาวขาแข็ง มิอาจก้าวเดินตามนาย ที่ถูกพาเข้าไปในกระโจมส่วนตัวของแม่ทัพใหญ่ได้ร่างเล็กถูกวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะมายืนปักหลัก กอดอกอยู่ตรงหน้าว่าที่ภรรยา“เหตุใดจึงไปกอดรัดกับนายกองไห่ ชายหญิงไม่ควรเข้าใกล้กัน หรือเจ้าไม่รู้”“เช่นนั้นท่านอุ้มข้าเข้ามาในกระโจมทำไมกัน ชายหญิงมิควรเข้าใกล้กัน ท่านก็รู้อยู่แล้ว”“อย่ายอกย้อน! เจ้าเป็นคู่หมั้นข้าจะทำสิ่งใดก็ไตร่ตรองให้ดี อ่อ หรือว่าเจ้าคิดใช้แผนการทำให้ข้า
“อิ่งเอ๋อร์ ช่วงนี้พี่ใหญ่มีงานวุ่นวาย จึงมิได้สนทนากับเจ้าบ่อยนัก หากเจ้ามีเรื่องอยากปรึกษาพี่ ก็อย่าได้เกรงใจ พูดคุยมาได้ อย่าเก็บเรื่องที่อัดอั้นตันใจไว้เพียงผู้เดียว” ระหว่างทางกลับเรือน รองแม่ทัพของแคว้นก็ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับนาง เพราะบนรถม้ามีเพียงพวกเขาสองพี่น้อง“พี่ใหญ่อย่าได้เป็นห่วงไปเลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้เป็นอันใด”“พี่เป็นห่วงเจ้ามาก ยิ่งช่วงนี้เจ้าเปลี่ยนไป มิร่าเริงเหมือนเคย พี่ก็ยิ่งห่วง”“ข้าเพียงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เลยอยากเอาคืนพวกเขาบ้าง หรือท่านคิดว่าไม่ควร”“…” ต้าหัวได้แต่ลูบศีรษะเล็กเพื่อปลอบใจ“ทั้งที่ข้าดีกับพวกเขา ไว้ใจพวกเขา แต่กลับถูกหักหลังอย่างเลือดเย็น ท่านไม่คิดว่าข้าควรเอาคืนบ้างหรือ”“เหตุใดจะไม่ควรเล่า พี่ใหญ่เองก็เตือนเจ้าหลายครา เจ้ามีสิ่งใดก็ให้เสี่ยวปิงไปหมด ขนาดของที่พี่ซื้อให้ เจ้าก็ให้นางโดยไม่นึกเสียดาย”“พี่ใหญ่ เหตุใดกลายเป็นท่านน้อยใจข้าเสียได้เล่า” ลี่อิ่งหัวเราะเบาๆ กับการกอดอก เชิดหน้าของพี่ชาย“หึๆ อิ่งเอ๋อร์ มีเรื่องใดอยากให้พี่ชายคนนี้ช่วย อย่าได้ลังเล ในเมื่อเจ้าอยากเอาคืนพวกเขา พี่ก็จะช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด”“ข้ารักพี่ใหญ
หลังจากผ่านงานเลี้ยงคืนนั้นไป ผู้คนในท้องตลาดก็ลือกันสนั่น ว่าคุณหนูน้อยสกุลสวีใจจืดใจดำ มิเห็นแก่ความรักของท่านชายเจี้ยนอี้โจวกับพี่สาว ยืนยันจะไม่ถอนหมั้น ทั้งยังร้องขอต่อฝ่าบาท มิให้ท่านชายแต่งสตรีอื่นเข้ามา“นางคงต้องการกันท่า ไม่ให้พี่สาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องเป็นแน่”“ข้าก็คิดเช่นนั้น เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวาน จึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้”“สงสารก็แต่ท่านชายกับคุณหนูใหญ่สวี มีใจต่อกันแต่กลับไม่ได้ครองคู่”ปัง! เสียงตบโต๊ะดังลั่นไปทั่วเหลาอาหาร จนทุกคนต้องหันไปต้นเสียง ก็พบว่าผู้ที่นั่งทานอาหารอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน เป็นบุคคลที่กำลังถูกนินทา“ปากมากนักนะ มิอยากทานข้าวเสียแล้วกระมัง”“พี่ใหญ่ใจเย็นไว้” ลี่อิ่งห้ามปรามพี่ชาย เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นมองเขาไม่ดี“แต่-”“ให้ข้าจัดการเถิดเจ้าค่ะ” ลี่อิ่งเดินไปหาสตรีสองคนที่พูดถึงนางเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร“คุณหนูมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง”“เอ่อ ข้ายังไม่มี” สาวร่างอวบอ้วนเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นๆ แต่ก็ยังรักษากิริยาเอาไว้ได้“เพราะท่านไม่มีคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า”“…” พอเป็นเรื่อง
“หม่อมฉันมิอยากให้ท่านชายแต่งสตรีใดเข้ามา นับจากนี้ไปอีกสามปี” ตากลมชำเลืองไปมองใบหน้าของอี้โจวอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มตกใจจนเสียกิริยา ก็รู้สึกสนุกไม่น้อยป่านนี้ในใจคงเดือดพล่านแล้วกระมัง หึ!“จะเป็นไปได้อย่างไร! อี้โจวไม่มีพี่น้อง อย่างไรก็ต้องมีทายาสืบสกุลให้มาก เจ้าจะแต่งเป็นฮูหยินเอก อย่างไรก็ต้องใจกว้างเข้าไว้”“…”“เจ้าขออย่างอื่นเถิด แล้วข้าจะมิขัด” ฮ่องเต้ยื่นข้อเสนอให้สาวงามที่ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง“ในใจของหม่อมฉันประสงค์เพียงเรื่องนี้ จึงไม่รู้จะกล่าวขอสิ่งใด ในเมื่อเรื่องที่ขอมิอาจเป็นจริงได้ หม่อมฉันก็มิอยากรบกวนฝ่าบาทเพคะ”“…”“เดิมทีหม่อมฉันไม่ได้ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน เพียงมิอยากเห็นองค์ชายประชวรก็เท่านั้น ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาเพคะ” ลี่อิ่งก้มคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะหันหลังกลับ แต่เสียงของมารดาแผ่นดินก็ขัดขึ้นเสียก่อน“ฝ่าบาท คุณหนูสวีรักษาชีวิตของเชื้อพระวงศ์ ถือเป็นความดีใหญ่หลวง อีกอย่างสิ่งที่นางขอก็มิได้เหลือบ่ากว่าแรง นางขอเพียงสามปีเท่านั้น”“…”“ฝ่าบาท กษัตริย์ตรัสแล้วมิอาจคืนคำนะเพคะ” หงส์เคียงบัลลังก์กระซิบเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคนพระนางพอจะทราบข่าวเรื่องของ