“นางมีปากทำไมไม่พูดเองล่ะ อ่อ...ข้าลืมไปว่าปากนางมี แต่ไม่มีเสียงที่จะพูด ฮ่า ๆ”
“จะมากเกินไปแล้วนะเจ้าคะ”
“นังสวะ!”
หมับ! ก่อนที่ฝ่ามือของเชียวเยี่ยนจะถึงใบหน้าของอี้หรู มือหยาบกร้านจากการจับอาวุธของเชียวอวิ๋น ได้คว้าจับข้อมือของน้องสาวเอาไว้แน่น พร้อมออกแรงบีบให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว
แม้จะขัดใจอยู่บ้าง ที่ไม่อาจเอ่ยตอบโต้หรือสั่งสอนคนตรงหน้าได้ แต่นางมีความอดทนมากพอที่จะรอ และการรอมิได้แปลว่านางต้องนิ่งเฉยให้คนรังแก
“เจ้าคิดจะทำร้ายข้าเช่นนั้นรึ!”
“…”
เชียวอวิ๋นยิ้มน้อย ๆ ทว่ามันกลับทำให้คนมองหนาวสะท้านไปทั้งกาย การอยู่ต่างเมืองไม่มีใครบอกได้ ว่าเชียวอวิ๋นพบเจอสิ่งใดมาบ้าง และการกระทำที่แสดงออก บอกชัดว่าพี่สาวของนางเลือกปกป้องสาวใช้ มากกว่าจะให้นางที่เป็นน้องสาว ลงโทษบ่าวปากดี
“ทำสิ่งใดกัน!”
เสียงกัมปนาทดังขึ้นจากทางเดินด้านหลัง ทำให้เชียวอวิ๋นจำต้องคลายมือออกอย่างใจเย็น นางไม่ได้ตื่นกลัวกับครอบครัวที่มิเห็นค่าของนางเท่าใดนัก
ท่านเสนาบดีเชียวก้าวมาหยุดอยู่ข้างบุตรสาวคนรอง โดยมีภรรยาเอกและสมาชิกคนอื่นในครอบครัว ติดตามมาอย่างพร้อมหน้า ทำให้เชียวอวิ๋นพร้อมผู้ติดตามย่อกายให้บิดา และสมาชิกทุกคนอย่างอ่อนน้อม
“ท่านพ่อนางทำร้ายข้า ทั้งที่ตัวข้ามาต้อนรับนางด้วยความคิดถึง”
“มะ...”
เชียวอวิ๋นคว้าจับข้อมือของอี้หรูเอาไว้ พร้อมบีบเบา ๆ เป็นการเตือนให้นิ่งไว้ ปล่อยให้น้องสาวของนางพูดในสิ่งที่ต้องการ แบบนี้มันจะเป็นผลดีต่อนางในภายหน้า
“ข้ามั่นใจว่าอาของเจ้าไม่เคยพูดสักคำ ว่าเจ้าเป็นคนหยาบช้านะเชียวอวิ๋น หรือที่ผ่านมาเจ้ากับอาของเจ้าหลอกลวงข้า”
คำถามของผู้เป็นพ่อ ทำให้เชียวอวิ๋นบิดเรียวปากขึ้นเล็กน้อย นางคิดไว้อยู่แล้วว่าบิดาคงรักลูกไม่เท่ากัน ต่อให้ตอนนี้นางนอนจมกองเลือดอยู่ต่อหน้า เขาก็จะต้องบอกว่านางผิดอยู่ดี
“เจ้าเป็นบิดา! ไยจึงได้เชื่อเพียงคำของคนที่มีปากพูด ซึ่งอยากจะพ่นสิ่งใดออกมาก็ได้ แต่กลับลำเอียง ไม่คิดฟังความจากลูกอีกคนเยี่ยงนี้”
เชียวเยี่ยนรีบขยับไปหลบหลังผู้เป็นพ่อในทันที เมื่อผู้เป็นย่าปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังยืนอยู่ข้างพี่สาวอีกด้วย นางไม่เคยเป็นที่โปรดปราณของท่านย่ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีเพียงลูกที่เกิดจากภรรยารองของบิดา ที่ได้รับการเอ็นดูมากกว่านางที่เกิดจากสะใภ้เอก
“ก็ข้าเห็นกับตานะขอรับท่านแม่ ว่าเชียวอวิ๋นกำลังทำร้ายเยี่ยนเอ๋อร์ แล้วแบบนี้จะให้ข้าคิดอย่างไร”
“ไหนล่ะ! ร่องรอยถูกทำร้าย หรือลูกสาวสุดที่รักของเจ้าทำร้ายตนเองไม่ทันจะใส่ความผู้อื่นเล่า อย่านึกว่าข้าไม่รู้นิสัยของนางนะ คงมีแค่เจ้าที่หูหนวกตาบอดรักลูกลำเอียง”
เชียวอวิ๋น อดแปลกใจความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่พอสมควร เท่าที่นางรู้ก็แค่ตัวบุคคล นิสัยภายนอกเท่านั้น เรื่องภายในจวนย่อมยากที่จะสืบหา เพราะทุกคนถือกฎว่าเรื่องในบ้านมิควรแพร่งพราย
“แต่สาวใช้ของนาง หาได้ยำเกรงต่อข้าเลยนะเจ้าคะท่านย่า”
“เจ้าทำอันใดกับนายเขาก่อนเล่า หากไม่ทำสิ่งใดผิดต่ออวิ๋นเอ๋อร์ มีหรือบ่าวจะกล้ากำแหงต่อนาย พวกนางมาจากต่างเมือง มิใช่คนของเจ้าที่อยากกดขี่เยี่ยงไรก็ได้”
“ท่านย่าลำเอียง! ท่านพ่อเรื่องนี้ข้ามิผิดนะเจ้าคะ”
เชียวเยี่ยนรู้สึกอับอายที่ถูกผู้เป็นย่าตำหนิ ต่อหน้าสมาชิกในบ้านและบ่าวไพร่ หากเรื่องนี้นางกลายเป็นฝ่ายแพ้ แล้วผู้ใดจะยำเกรงต่ออำนาจของนางอยู่อีกเล่า
“เอาล่ะ! ถือว่าเป็นเรื่องหยอกเย้าระหว่างพี่น้อง”
ท่านเสนาบดีเสหลบสาตาของมารดา ก่อนจะมองไปที่บุตรสาวคนโต มิว่าหน้าตาหรือความสูงสง่าของนาง ล้วนบอกถึงชาติกำเนิดโดยแท้ น่าเสียดายที่นางไม่อาจพูดได้เท่านั้น และเขามิได้รักนางมากพอ
“ท่านพ่อ”
“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้ากับพี่ใหญ่กำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน จะมีเรื่องบาดหมางกันไปทำไมเล่า พี่ใหญ่ของเจ้าเดินทางมาไกล เอาเป็นว่าเรื่องนี้ให้จบลงแค่นี้เถอะนะ ภายหน้าเจ้าต้องเป็นพระชายา จะมาทำเรื่องเล็กน้อยให้ใหญ่โตไปทำไม รู้จักที่จะใจกว้างให้มากเข้าไว้”
เชียวฮูหยินก้าวขึ้นมาโอบประคองบุตรสาว พร้อมปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะมองไปที่บุตรสาวคนโต แววตาที่มองมานั้นอวิ๋นเชียวสัมผัสได้ถึงความเฉยชา
ดูเหมือนมารดาของนางอ่อนหวานงดงาม แต่มิใช่กับลูกคนแรกเยี่ยงนาง มีสิ่งใดกันหนอที่ทำให้มารดาผู้หนึ่ง เมินเฉยต่อบุตรสาวผู้อาภัพต่อชะตาเช่นนี้ได้ หากเป็นเรื่องความพิการทางเสียง มันไม่ควรจะเป็นเหตุผลกล่าวอ้างได้เลย
เท่าที่นางเห็นมานักต่อนัก ถ้าเกิดเรื่องร้ายใดกับลูกในไส้ คนแรกที่จะกางปีกปกป้อง ย่อมต้องเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด นางเจ็บป่วยจนไม่อาจพูดได้ มิใช่เป็นมาแต่กำเนิดเสียเมื่อไหร่ แล้วตรงไหนกันที่ทำให้ความเป็นแม่ลูกห่างเหินต่อกันเหลือเกิน
“เห็นแก่ท่านแม่ เรื่องนี้ข้าจะไม่ถือสา แต่อย่าได้คิดว่าตนเองเป็นลูกคนโต อยากทำสิ่งใดตามอำเภอใจก็ได้ ให้รู้สำนึกว่าตอนนี้เจ้ากับข้า...”
“สามหาว! ยังมีหน้ามาพูดจาเยี่ยงนี้ต่อหน้าข้าอีกเช่นนั้นรึ! นี่เจ้าไม่สำนึก แล้วยังไม่เห็นหัวของข้าที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยหรือเชียวเยี่ยน”
ไท้ฮูหยินโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ นางไม่คิดเลยว่าจะมีลูกหลานที่นิสัยต่ำช้าได้เพียงนี้ แค่ตอนที่มาขอให้มีการเลื่อนการแต่งงานของหลานสาวคนโต เพื่อจะได้เปลี่ยนตัวเจ้าสาว ทำให้ต้องรอจนเชียวเยี่ยนถึงวัยออกเรือน นางก็ยินยอมมาแล้วหนหนึ่ง
แล้วนี่อะไรกัน! ความกำแหงไม่เห็นหัวผู้ใดของเชียวเยี่ยน มันสมควรแล้วหรือที่บุตรชายของนางยังนิ่งเฉยอยู่ ไท้ฮูหยินตวัดสายตาไปยังลูกสะใภ้ ที่เอาแต่ยืนนิ่งเอ่ยสิ่งใด นอกจากลูบแขนเชียวเยี่ยนเพื่อปลอบประโลม
“ว่าอย่างไรอวิ๋นเอ๋อร์”
เชียวอวิ๋นคว้ามือผู้เป็นย่ามาบีบเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นการบอกว่านางไม่อยากให้มีเรื่องราวไปมากกว่านี้ ทว่าแท้จริงแล้วนางกำลังอึดอัดอยากที่จะพูดยิ่งนัก เลยเลือกที่จะเลี่ยงจากสิ่งเล็กน้อยนี้ไปเสีย เวลาสำหรับเรื่องไร้สาระยังมีอีกมาก
“เสแสร้งนัก!”
ยังมิวายที่จะถูกเหน็บแนมจากน้องสาว เชียวอวิ๋นหันไปยิ้มละมุน ทว่ามันเต็มไปด้วยความขบขัน ใบหน้าบูดบึ้งของเชียวเยี่ยนมิได้น่าเอ็นดู แต่มันคือการเสแสร้งอย่างแท้จริงมากกว่า
จวนแม่ทัพกวง ร่างสูงอุ้มภรรยาก้าวหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะพาหญิงสาวตรงไปยังห้องอาบน้ำที่เชื่อมติดกัน บ่อน้ำร้อนมีควันลอยอยู่เหนือผืนน้ำ แม่ทัพหนุ่มคำนวณเวลาอยู่ภายในใจ นับตั้งแต่ออกจากวัง จนมาถึงที่นี่ใช้เวลาไปมากน้อยแค่ไหน และตอนนี้ภรรยาเขาเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งก้านธูป แม่ทัพหนุ่มไม่รอช้ารีบปลดเปลื้องอาภรณ์ทั้งของเขาและนาง แล้วพาร่างเปลือยเปล่าของภรรยาลงไปในบ่น้ำร้อน เพื่อชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบเลือด เชียวอวิ๋นภาวนาให้ความร้อนของน้ำ ทำให้ร่างกายของนางฟื้นตัว และฤทธิ์ยาของผู้เป็นอาจารย์หายไป ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อร่างกายของนางกลับร้อนรุ่มราวมีไฟแผดเผาอยู่ด้านในหญิงสาวอยากจะกรีดร้องออกมา ทว่ามันไม่อาจทำได้ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เหมือนรู้ล่วงหน้า ยาประหลาดนี่คงทำขึ้นมาใหม่ ในช่วงที่นางเดินทางออกจากฮั่วโจวแล้วเป็นแน่“อวิ๋นเอ๋อร์ ครั้งนี้พี่จะพยายามถนอมเจ้าให้มาก พอเจ้าหายแล้วเราค่อยทำกันใหม่นะ”เชียวอวิ๋นอยากเอาอะไรมาทุ้มใส่หัวของสามีนัก เขาพูดมาได้อย่างไรว่าค่อยทำใหม่ จะโลกเก่าโลกใหม่ นางก็ยังไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เลยนะ ไยเขาไม่ให้นางได้ร่ว
“ดูเหมือนท่านแม่จะผิดหวังไม่น้อย ที่ข้าหายป่วยเร็วเกินไป” เชียวอวิ๋นคลี่ยิ้มร้าย นางแค่อาศัยร่างของสายเลือดสกุลเชียว แต่นางหาได้เป็นสกุลเชียวแม้แต่น้อย ฉะนั้นถ้าต้องลงมือกับใครนางก็มิได้รู้สึกผิด “หากข้าไม่กลับไป ต้วนเหนียงต้องตาย เงินของเจ้ามันไม่อาจซื้อทุกอย่างไรเชียวอวิ๋น” “คำนั้นเก็บไว้ใช้เองเถิดฮูหยินใหญ่ เพราะข้ารู้ดีว่าคนของข้ามีนิสัยเช่นไร” “...” อู๋ชวงขมวดคิ้วจนชิด ก่อนจะขบกรามแน่น เมื่อนึกได้ว่านางกับสามี ถูกตลบหลังจากชายหนุ่มที่รับเงินของพวกนางไปถึงสองพันตำลึง “อยากเล่นละคร สับขาหลอกข้าให้หลงกล ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าการแสดงของท่านล้ำเลิศกว่าผู้ใด” “แต่ฝีมือการเด็ดลมหายใจเจ้า ข้ามั่นใจว่าเหนือกว่าเจ้าหลายเท่านักเชียวอวิ๋น” เชร้ง! การต่อสู้ของสตรีต่างวัยได้เริ่มขึ้นแล้ว รอบบริเวณเต็มไปด้วยเสียงอาวุธกระทบกัน ซึ่งทางด้านนอกประตูวัง แม่ทัพทั้งสองได้แยกกันตีฝ่าคนละฝั่ง กวงเฉินหลางแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเขา จะสามารถเข้ามาถึงเมืองหลวงได้ในเวลาเพียงยี่สิบกว่าวัน เ
ห้าวันถัดมา วังหลวง ทั่วทั้งเมืองหลวง ต่างเต็มไปด้วยพลุไฟและแสงสว่างทุกซอกซอย ไม่เว้นแม้แต่ในวังหลวง ที่เหล่าบรรดาสนมนางใน ขันทีต่างพากันจุดโคมและพลุไฟเล่นกันอย่างสนุกสนาน แน่นอนว่าต้องมีความเข้มงวดในการอารักขา ทหารจำนวนมากได้ถูกส่งเข้ามาคุ้มกัน ซึ่งมิใช่ทหารเกราะทองที่ขึ้นตรงกับฝ่าบาท ขุนนางใหญ่หลายท่านได้เดินทางมาข้าเฝ้า เพื่อร่วมอวยพรในวันดีของแคว้นตำหนักใหญ่ฮ่องเต้กำลังนั่งถอนหายใจอยู่ภายในห้องลับ โดยเบื้องหน้าของเขาคือชายชรา ที่กล้าหนีหน้าไปปลีกวิเวกอย่างสบายใจ ปล่อยให้เขาแบกทุกอย่างไว้เพียงลำพัง“คนเป็นใหญ่นี่มันลำบากมากเลยนะ”ชายชราเอ่ยขึ้น โดยที่มือนั้นยกจอกสุราชั้นดีขึ้นดื่ม ส่วนโอรสสวรรค์ได้แต่ค้อนขวับให้แก่คนพูด“ท่านปู่ไม่คิดที่จะรับมันคืนไปหรือขอรับ”“ที่นั่งตรงนั้นมันเป็นของปู่เจ้า และมาเป็นเจ้า ข้าแก่แล้วชอบนั่งเบาะเล็ก ๆ”ชายชราเก็บความรู้สึกสะเทือนใจเอาไว้ภายใน เมื่อเอ่ยถึงน้องชายที่จากโลกนี้ไปแล้วเหลือไว้เพียงหลานชายคนเดียว ที่เขาต้องรับภาระเป็นเบื้องหลังให้แก่เสวี่ยจ้านหลงจนกว่าจะแกร่งพอและยืนได้โดยที่ไม่ต้องมีปีกของเขาคุ้มกัน ศึกสายเลือดที่
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูปทุกอย่างได้จบลง เมื่อแม่ทัพเฉาเชียนผละจากร่างของอี้หรู เข้าจัดการทุกอย่าให้เสร็จสิ้น ก่อนคนที่เขารักจะเป็นอันตรายไปมากกว่านี้ “แม่ทัพกวง หากไม่เป็นการรบกวนท่านจนเกินไป รบกวนรีบนำทางข้าไปยังจวนของท่านด้วย น้องสาวกับคนรักของข้าดูจะย่ำแย่มิน้อยเลย” เฉาเชียนเอ่ยจบก็ได้ก้าวไปยังอี้หรู ที่พิงอยู่ข้างต้นไม้ โดยมีคนของเขาเฝ้าคุ้มกัน ร่างสูงช้อนอุ้มหญิงสาวขึ้นสู่อ้อมแขน ก่อนจะออกมายืนรอรถม้า ที่สภาพพังไปกว่าครึ่ง แต่ก็ยังพอบรรทุกคนเจ็บไปได้อยู่ กวงเจี้ยนอาสาอุ้มลูกสะใภ้เอง เพราะดูจากสภาพของบุตรชายแล้ว เดินได้ก็นับว่าวาสนา แม่ทัพหนุ่มไม่คิดขัดบิดา เขาใช้ดาบช่วยพยุงร่างเอาไว้มิให้ล้มลง อย่างน้อยสกุลกวงก็ยังยืดเวลาไปได้อีกสักระยะ ตราบใดที่เสบียงไม่หายไปและตัวเขายังไม่ตาย ยี่สิบวันถัดมา เมืองหลวง เรือนพักฆราวาสอารามทิศใต้ ร่างสูงใหญ่ของท่านเสนาบดีนั่งผิงอยู่กับหัวเตียง โดยมีภรรยารองนั่งอยู่เคียงข้าง กว่ายี่สิบวันแล้วที่เขาซ่อนตัว เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่นี่“เรียนฮูหยิน ข้าน้อยมีข่าวมาแจ้งขอรับ”
เสียงจากถนนเบื้องหลังของท่านเจ้าเมือง เรียกให้ทุกสายตาหันไปด้วยความแตกตื่น คนบนหลังม้าที่ควบมาอย่างลืมตาย คือเชียวอวิ๋นฮูหยินในท่านแม่ทัพกวง กวงเจี้ยนถึงกับต้องพยายามเรียกสติ สะใภ้ใบ้ของเขาไยจึงเปล่งเสียงออกมาได้ชัดเจนถึงเพียงนี้ ก่อนที่ทุกคนจะสังเกตเห็นชัด ว่ามีร่างของใครอีกคนช้อนอยู่เบื้องหลังของนาง เฉาเชียนฝ่าคู่ต่อสู้ตรงไปหาศิษย์ผู้น้อง หากไม่มีเรื่องหนักหนา คนที่มีความอดทนสูงเยี่ยงเชียวอวิ๋น ไยถึงกล้าเผยความลับของตน ทั้งที่รู้ว่ามีศัตรูอยู่เบื้องหน้า “อย่าให้ใครรอดไปได้” เฉาเชียนตะโกนสั่งการเสียงกร้าว เพื่อมิให้ความลับของเชียวอวิ๋นหลุดรอดไปถึงหูของคนในเงามืด นางต้องเป็นสตรีไร้สามารถในสายตาของคนพวกนั้น จนกว่าทุกอย่างจะสงบลง ชีวิตภายหน้าค่อยว่ากันอีกที“ช่วยเขา! ได้โปรดศิษย์พี่” “อวิ๋นน้อยเกิดสิ่งใดขึ้น” “ท่านแม่ทัพกำลังแย่ เขาถูกพิษและมันเกินกำลังของข้า” แม่ทัพหนุ่มรีบช่วยพาร่างของกวงเฉินหลางลงจากหลังม้า การต่อสู้ยังหนักหน่วง คนของพวกเขายังน้อยกว่าศัตรูอยู่เท่าหนึ่ง กองหนุนก็มิอาจเรียกใช้ได้ เพราะป้ายคำสั่งต้อ
ทหารคนเดิมกระซิบบอกแก่รองแม่ทัพ ที่มองฮูหยินคล้ายว่านางไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใด รองแม่ทัพได้แต่อ้าปากหวอ เมื่อรู้ถึงเหตุผลที่ฮูหยินในท่านแม่ทัพไม่คิดเอ่ยสิ่งใดกับเขาหรือใคร ๆ “ฮูหยินโปรดอภัยที่ข้ามิรู้ความ” เชียวอวิ๋นคลี่ยิ้มละมุน ก่อนจะย่อตัวลงสำรวจร่างกายของสามี หญิงสาวคว้าจับข้อมือของเขาขึ้นมาตรวจชีพจร คิ้วงามขมวดชิดกัน เมื่อรับรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้สามีของนางพลาดพลั้งในครานี้หญิงสาวล้วงเอาขวดยาออกมาเทลงไปในปากของสามี ก่อนจะเรียกให้คนของนางมาช่วยพยุงเขาขึ้นหลังมาให้นาง หญิงสาวเหวี่ยงกายขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนผู้ติดตามได้ช่วยพยุงร่างของแม่ทัพหนุ่ม ส่งขึ้นซ้อนด้านหลังของนายหญิง อี้หรูส่งสายรัดเอวให้แก่ผู้เป็นนาย เพื่อผูกติดแม่ทัพหนุ่มมิให้ร่วงลงระหว่างเดินทาง เชียวอวิ๋นได้มอบหมายให้อี้หรูถ่ายทอดคำพูดแทนนาง ก่อนจะควบม้าออกไปอย่างเร่งร้อน เป้าหมายของนางมิใช่จวนแม่ทัพ แต่เป็นคณะขนเสบียง“ฮูหยินให้พวกท่านกลับไปที่จวนท่านแม่ทัพ ทำทุกอย่างให้เงียบเชียบ เหมือนพวกท่านไร้ลมหายใจไปแล้ว”อี้หรูถ่ายทอดคำสั่งของผู้เป็นนาย หลังจากสื่อสารด้วยภาษามือ ที่มีเพียงนายบ่าวเท่าน