“ไม่คาดคิดว่าหวนเอ๋อร์ที่ฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี แต่สุดท้ายก็ยังถูกพิณการเวกแว้งกัดเอา”น้ำเสียงของชายชราแผ่วต่ำ น้ำเสียงเจือความไม่เต็มใจเล็กน้อยสตรีทางขวากระซิบ “ถ้าศิษย์พี่หญิงเฟิ่งอี๋ไม่ลงเขา ก็คงไม่...”ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้น ในโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้า นางเสียชีวิตเพราะคลอดลูกของลิ่นเซียว นี่เป็นชะตากรรมของนาง ตอนนี้หวนเอ๋อร์เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถบรรเลงพิณการเวกได้ จะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยนาง ข้าพาตัวเย่จิ่งอวี้มาแล้ว อยู่ในห้องปีกตะวันตก เจ้าสองคนไปเอาเลือดของเขาออกมาโดยด่วน อย่าลืมว่าต้องเอามาด้วยจำนวนที่พอเหมาะ อย่าทำให้ตายในคราวเดียว ข้าจะไปหาหมอเทวดาหนิง”ร่างของชายชราหายวับไปจากที่เดิมทันทีสตรีทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่จะไปยังห้องปีกตะวันตก ทันทีที่เข้าไปในประตูก็เห็นเย่จิ่งอวี้นอนอยู่บนพื้น“นี่คือลูกชายของศิษย์พี่หวนหรือ”สตรีในชุดสีชมพูทางด้านซ้ายจ้องมองเย่จิ่งอวี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสตรีในชุดสีเขียวทางขวาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ช่างเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาจริงๆ นี่คือฮ่องเต้น้อยคนปัจจุบัน
“เกิดอะไรขึ้น”สตรีคนหนึ่งที่สวมกระโปรงคาดอกสีแดงเข้มเดินออกจากห้องข้างๆ โดยที่ในมือถือชามยาอยู่สตรีสองคนหันกลับอย่างรวดเร็ว“พี่ฮวาเชียน คุณชายแซ่เย่หนีหายไปแล้ว”ใบหน้าของฮวาเชียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย“อะไรนะ เจ้าสำนักจับกุมฮ่องเต้น้อยจริงๆ หรือ “สตรีในชุดสีชมพูพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าสำนักเพิ่งกลับมา วานให้พวกเราไปเอาเลือดคุณชายน้อยเย่ ไม่นึกว่าจู่ๆ เขาก็ตื่นขึ้น พังประตูแล้ววิ่งหนีไป”ฮวาเชียนถามอย่างร้อนรน “เจ้าสำนักล่ะ”“ไปหาหมอเทวดาหนิง พี่ฮวาเชียน ควรทำอย่างไรดี”หญิงสาวในชุดสีเขียวกังวลมากจนแทบจะร้องไห้ฮวาเชียนรีบส่งชามยาในมือให้กับหญิงสาวในชุดสีเขียว“พวกเจ้าป้อนยาชามนี้ให้ผู้คุมตรา ข้าจะออกไปดู ต้องปกป้องผู้คุมตราให้ปลอดภัยนะ”“เจ้าค่ะ”ทั้งสองตอบพร้อมกัน และเดินเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็วฮวาเชียนใช้วิชาตัวเบา เหาะเหินไปตามตึกในหอเมฆมืดมนขนาดมหึมาแผ่ปกคลุมชายฝั่งทะเลเป่ยไห่ ท้องนภาปราศจากแสงเดือนแสงดาว เอื้อมมืออกไปก็ไม่เห็นแม้แต่นิ้วเดียวแม้ว่าเมืองนี้จะไม่ใหญ่นัก แต่ทางด้านซ้ายก็ล้อมรอบด้วยภูเขา ด้านหน้าติดทะเล การจะหาใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยฮวาเชียนหยุ
ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดหวานๆ ของฮ่องเต้ใจโฉด หวนเอ๋อร์คงไม่ติดตามเขาเข้าวัง ถ้าเขาดีกับหวนเอ๋อร์ก็คงไม่เป็นไร แต่ฮ่องเต้ใจโฉดมีนางสนมมากมาย ได้ใหม่ก็ลืมเก่าหลังจากทราบว่าเซี่ยวอิ๋นหวนเป็นทุกข์ไร้สุขอยู่ในวังตลอดทั้งวัน ป่วยหนักก็ไม่ยอมรักษา เจ้าสำนักเซี่ยวจึงเดินทางไกลไปยังเมืองต้าโจว พาคนกลับมายังหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เดิมทีเขาต้องการที่จะบดขยี้ฮ่องเต้ใจโฉดกับเจ้าเด็กเปรตเย่จิ่งอวี้ให้ตาย แต่เซี่ยวอิ๋นหวนขอร้องอ้อนวอน ถึงขั้นขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย เจ้าสำนักเซี่ยวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้โชคดีที่วันนั้นตัวเองมีใจเมตตา ไว้ชีวิตเจ้าเด็กเปรตนั่น ไม่เช่นนั้นหวนเอ๋อร์คงจะ...เมื่อนึกถึงตรงนี้ ใบหน้าของเจ้าสำนักเซี่ยวก็แสดงความเกรี้ยวกราดขึ้นอีกเจ้าเด็กเปรตแซ่เย่กล้าหนีไป หากจับเขาได้ จะต้องทำให้เขาเจ็บปวดทรมานร่างกายแน่ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ ฮวาเชียนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“ฮวาเชียนคารวะเจ้าสำนัก”เจ้าสำนักเซี่ยวนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง แล้วถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “มีข่าวของเจ้าเด็กเปรตนั่นแล้ว?”ฮวาเชียนก้มศีรษะลง “ไม่มีเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวแค่นเสียงหึและพูดว่า “งั้นก็
ใบหน้าของเป่าเล่อเอ่อร์แดงปลั่ง มองไปที่อินสิงอวิ๋นเงียบๆ ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน อินสิงอวิ๋นยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยซึ่งอินชิงเสวียนก็เห็นการแสดงออกของทั้งสองคนอยู่ในสายตา ในใจรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยคู่รักอยู่ตรงหน้าพอดี ในโลกนี้จะมีอะไรที่สุขกว่านี้อีกชายคนรักที่สมใจของนาง ตอนนี้อยู่ที่ใดหนอเมื่อนึกถึงเย่จิ่งอวี้ ดวงตาของอินชิงเสวียนก็มืดมัวลงทันทีทั้งครอบครัวดื่มด่ำกับความสุขของการแต่งงาน ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนเองไม่อยากสร้างปัญหาให้กับทุกคน ดังนั้นนางจึงปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว ให้กลมกลืนเข้ากับบรรยากาศหลังมื้ออาหารกลางวัน เสี่ยวหนานเฟิงอยากไปเล่นในสนาม อินชิงเสวียนจึงพาเขาไป ในขณะที่กำลังหยอกเย้าลูกชาย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากข้างหลังเมื่ออินชิงเสวียนหันหน้ากลับมา ก็เห็นอินสิงอวิ๋นยืนอยู่ห่างออกไปสามก้าวทันที“พี่ใหญ่”“อื้ม”อินสิงอวิ๋นพยักหน้า หยิบกระพรวนเล็กๆ ที่ร้อยด้วยเชือกสีแดงออกมาจากอกเสื้อ แล้วมอบให้เสี่ยวหนานเฟิงครั้นแล้วอินชิงเสวียนก็นึกถึงสายกระพรวนทองที่มีผลกระทบต่อเย่จิ่งอวี้ขึ้นมาทันที จากนั้นก็ได้ยินอินสิงอ
ชั่วพริบตารถม้าก็ผ่านไปเมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนยังคงมองออกไปข้างนอก อวิ๋นฉ่ายก็อดถามไม่ได้“พระสนม ท่านดูอะไรอยู่หรือ”“ไม่มีอะไร”อินชิงเสวียนลดม่านรถลงแต่ในใจกลับสงสัยว่าทำไมจูอวี้เหยียนถึงอยากไปเรือนจุ้ยหง?เถ้าแก่เนี้ยคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเพียงแต่ว่าตัวเองกำลังจะจากไป ไม่มีหนทางที่จะตรวจสอบเพิ่มเติมได้อีก ทำได้เพียงขอให้เย่จั้นจับตาดูดฟิงเอ้อร์เหนียงไว้เท่านั้นภายในสิบห้านาที รถม้าก็มาถึงประตูวังเสี่ยวอานจื่อรับตัวเสี่ยวหนานเฟิง และเดินกลับไปที่ตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าจะไปห้องหนังสือ ขณะที่กำลังจะลุกขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่สม่ำเสมอที่ประตู เป็นเย่จั้นที่เดินเข้ามาจากด้านนอกเขายังคงสวมหน้ากากของเย่จิ่งอวี้ ผิวหน้ากากที่ละเอียดประณีตเกือบจะเหมือนจริงอินชิงเสวียนไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่าอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรเลยเย่จั้นเดินเข้าไปในห้องโถง แล้วถามอย่างเงียบๆ “เตรียมของที่ต้องเตรียมไว้หมดแล้วหรือ”อินชิงเสวียนไม่กล้ามองหน้าเขา เพราะมันจะนำความทรงจำอันน่าเศร้ามากมายของนางกลับมาก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “เกือบเสร็จแล้ว หลังจากการ
ณ เรือนจุ้ยหงเฟิงเอ้อร์เหนียงกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง วันนี้นางเปลี่ยนจากการแต่งหน้าสีสดตามปกติ เป็นการแต่งหน้าอ่อนๆ กระโปรงคาดอกสีแดงสดก็ถูกแทนที่ด้วยสีขาวล้วน คนทั้งคนก็ดูสง่างามขึ้นมากนางเปิดกล่องสมบัติข้างๆ นาง แล้วหยิบปิ่นปักผมดอกอวี้หลานสีขาวที่เป็นสนิมออกมา และปักบนศีรษะเมื่อมองดูกลีบดอกอวี้หลานที่หัก ดวงตาของเฟิงเอ้อร์เหนียงก็เศร้าโศกเล็กน้อยในขณะที่นึกถึงความหลัง บริกรชายก็เข้ามาจากด้านนอก“เอ้อร์เหนียง แม่นางที่นั่งรถเข็นคนเมื่อวานกลับมาอีกแล้ว”เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดอย่างเย็นชา“ไม่พบ”บริกรชายพูดว่า “ข้าจะไปตอบนางเดี๋ยวนี้”ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “ไม่ทราบว่าเฟิงเอ้อร์เหนียงจะเห็นแก่หน้าอาจารย์ข้าได้หรือไม่ พูดกับข้าสักสองสามคำ”ท่าทีหยิ่งยะโสในยามปกติของจูอวี้เหยียนเปลี่ยนไป คำพูดคำจาเจือไปด้วยคำสัตย์ซื่อจริงใจขึ้นเฟิงเอ้อร์เหนียงจัดทรงผมอย่างไม่รีบร้อน“อาจารย์ของเจ้าคือใคร”“ราชากู่หยางเฉิง”เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของเฟิงเอ้อร์เหนียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงเยียบเย็นลงเล็กน้อย“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”ดวงตาของจูอวี้เหยียนฉายแววเศร้าโศก น้ำเส
ซูหมิงหลานเดินเข้ามาใกล้ จุดธูปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ซูหนิง ไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยท่านดูแลลูกๆ ทั้งสามเป็นอย่างดี ก่อนวันแต่งงานของสิงอวิ๋น ข้าจะพาเขามาสักการะที่นี่ ลูกสะใภ้คนโตของเราก็ตั้งครรภ์แล้ว ปีหน้าก็จะได้หลานแล้วล่ะ ดวงวิญญาณของท่านบนสวรรค์ ต้องช่วยปกป้องคุ้มครองให้พวกเขาปลอดภัยด้วยนะ”ต่อจากนั้นอินสิงอวิ๋นก็โขกศีรษะสามครั้ง“ท่านแม่ ลูกมาหาท่านแล้ว หลายปีมานี้ไม่ได้กลับมาเลย ท่านแม่คงไม่ตำหนิข้ากระมัง ต่อไปลูกจะมาทุกปี จะมาเผาเสื้อผ้าและให้เงินกับท่านแม่” อินปู้อวี่ยังคุกเข่าและพูดว่า “ท่านแม่ ปู้อวี่ก็มาแล้วขอรับ จากนี้ไปลูกจะมาเยี่ยมท่านแม่บ่อยๆ และจะอยู่ในเมืองหลวง อยู่ข้างๆ ท่านแม่ด้วย”เมื่อถึงคราวของอินชิงเสวียน นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จึงโขกศีรษะสามครั้ง พนมมือและอธิษฐานอย่างเงียบๆ ข้าหวังว่าอินฮูหยินจะอวยพรให้การเดินทางของนางในครั้งนี้ราบรื่น ตามสามีของนางกลับมาได้ เช่นนี้ถึงจะเรียกว่าอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างแท้จริง นางถอนหายใจเบาๆ แล้วอินชิงเสวียนยกกระโปรงยืนขึ้นไม่มีใครบังคับให้นางพูด ถึงอย่างไรลูกสาวพวกเขาก็เรื่องในใจมากมาย ไม่เห็นต้
อินชิงเสวียนพยักหน้า“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้ากลับก่อนนะ”อินจ้งพยักหน้า พูดด้วยความรัก “อย่าลืมดูแลตัวเอง ออกไปข้างนอกต้องระวังตัวด้วยนะ”เมื่อเห็นดวงตาของอินจ้งเปลี่ยนเป็นสีแดง อินชิงเสวียนก็รู้สึกไม่สบายใจแม้ว่านางจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรงกับพวกเขา แต่หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานาน อินชิงเสวียนก็ถือว่าพวกเขาเป็นครอบครัวแล้วนางหายใจเข้าลึกๆ แล้วคลี่ยิ้ม“ท่านพ่อไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ถ้านางร้องไห้ ตระกูลอินจะรู้สึกลำบากใจ และเป็นกังวลมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนนางเป็นเพียงแขกที่ผ่านเข้ามาในยุคนี้ จะไปรบกวนชีวิตพวกเขาทำไมซูหมิงหลานจับมือนางแล้วพูดว่า “เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ต้องเขียนจดหมายกลับมา แจ้งสักคำว่าปลอดภัย”เมื่อพูดคำสุดท้าย ดวงตาก็เปียกชื้นจากหยาดน้ำตาตอนที่นางเพิ่งแต่งเข้าตระกูลอิน เด็กน้อยคนนี้ต่อต้านตัวเองมาโดยตลอด ในที่สุดนางก็โตขึ้น รู้ความขึ้น ความสัมพันธ์แม่ลูกยังไม่อบอุ่นพอ อินชิงเสวียนก็จะจากไปแล้วแม้รู้ว่านางไปไม่ไกล รู้ว่านางจะกลับมาเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าใจมากถ้าเป็นอินสิงอวิ๋นหรืออินปู้อวี่ ซูหมิงหลานก็ไม่ได้เป็นกังวลมากน