งานแต่งไม่ยอมเข้าหอหนีไปกอดจูบภาพวาดของสตรีอื่น สตรีคนนั้นตกน้ำไปเอง เขาโทษว่านางเป็นคนทำแล้วผลักนางตกน้ำสั่งห้ามใครช่วย นางทิ้งหนังสือหย่าไว้แล้วจากไป " เหยียนเอ๋อข้ารู้ว่าผิดแล้วกลับไปกับข้าเถอะ ข้าพร้อมเข้าหอกับเจ้าแล้ว" " มาอยากทำหน้าที่อะไรตอนนี้ เราหย่ากันแล้ว" " ไอ้อัปลักษณ์นั่นเป็นใคร" " สามีข้าเอง" " มันมีดีกว่าข้าตรงไหน ดำก็ดำ หน้าก็บาก ตาก็บอดข้างหนึ่ง แผลเป็นก็เต็มตัว เจ้าดูข้าสิผิวขาวราวหิมะ รูปงามราวเทพเซียน "
View Moreซูซินเหยียนลืมตาขึ้นมามองไปข้างๆใช้มือลูบไล้ที่นอนเย็นเฉียบ เมื่อคืนเป็นคืนเข้าหอของนางกับโจวเยี่ยนเฉิง แต่เขาไม่ได้นอนที่นี่ เขาไม่ยอมเข้าหอกับนาง ไม่แม้แต่จะมาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวและดื่มเหล้ามงคลหลังพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จ เขาก็กินดื่มกับแขกเหรื่อและสหายสนิท นางรอเขาอยู่นานจนหลายชั่วยาม จนสาวรับใช้ทนไม่ไหวไปตามเขา ถึงได้รู้ว่าเขาเมาหนักและนอนอยู่ที่ห้องหนังสือไม่ยอมเข้าหอกับนาง นางกับเขาเป็นคู่หมั้นกันมาหลายปีโดยผู้ใหญ่หมั้นหมายให้ พอถึงเวลาออกเรือนนางก็ได้แต่งงานกับเขา
โจวเยี่ยนเฉิงเป็นสหายสนิทกับซูตงหยางพี่ชายของนาง นางมักจะติดตามพี่ชายไปนู่นมานี่บ่อยๆ และทุกครั้งโจวเยี่ยนเฉิงก็จะไปด้วย นางมีใจให้เขา จงรักภักดีมั่นคงไม่เปลี่ยน เพราะคิดว่าชีวิตนี้ยังไงนางก็จะต้องแต่งงานเป็นภรรยาเขาเพียงผู้เดียว แต่นางไม่รู้เลยว่าเขาไม่ได้รักนาง แต่มีคนในใจแล้ว จนกระทั่งเมื่อคืนนางตัดสินใจไปตามเขาที่ห้องหนังสือ ถึงได้เห็นเขารำพึงรำพันถึงหญิงคนหนึ่งทั้งยังกอดจูบภาพวาด
" หลินเอ๋อ หลินเอ๋อข้าขอโทษ ข้าทำให้เจ้าเสียใจ แต่ข้าสัญญาว่าจะรักษาตัว จะไม่เข้าหอกับนางเด็ดขาด เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ"
นางกุมอกด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ หลินเอ๋อคือใครกัน เป็นคนรักของเขาอย่างงั้นเหรอเหตุใดนางถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
" ฮูหยิน ท่านตื่นแล้ว"
ลู่หนิงเดินถืออ่างล้างหน้าเข้ามา
" หนิงเอ๋อ เขา"
" นายท่านออกไปตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ"
นางพยักหน้ารับรู้ บิดามารดาของโจวเยี่ยนเฉิงเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน จากเหตุถูกโจรภูเขาปล้นฆ่า ระหว่างทางไปวัดหวงซาน ทำให้เช้านี้นางไม่ต้องไปยกน้ำชาตามธรรมเนียม หลังกินอาหารเช้าเสร็จซูซินเหยียนก็ไปเดินเล่นสำรวจจวน ที่นี่เป็นจวนขนาดกลาง ในสวนปลูกดอกซานฉาฮวาเต็มไปหมด นางเดินไปนั่งที่ศาลาริมน้ำมองดูปลาหลีฮื้อแหวกว่าย บางตัวก็กระโดดขึ้นมางับกลีบบัวเล่น
นั่งเล่นสักพักก็ไปที่ห้องหนังสือ คิดว่าจะเลือกหนังสือมาอ่านเล่นสักสองสามเล่ม พอเข้าไปถึงก็เห็นกระดาษม้วนวางอยู่บนโต๊ะนางรีบหยิบขึ้นมา นี่มันเป็นภาพวาดที่โจวเยี่ยนเฉิงกอดจูบเมื่อคืนไม่ใช่เหรอ ด้วยความอยากรู้ว่าหญิงสาวในภาพหน้าตาเป็นอย่างไรจึงคลี่ออกดู นางจ้องมองภาพนิ่งพยายามคิดว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือไม่
" เจ้าทำอะไร"
โจวเยี่ยนเฉิงคว้าภาพวาดจากมือซูซินเหยียน แล้วผลักนางอย่างแรงจนนางกระเด็น หัวชนขอบชั้นวางหนังสือ
" ฮูหยิน"
ลู่หนิงรีบเข้าไปประคองซูซินเหยียน ซูซินเหยียนรู้สึกเจ็บปวดที่หัว เอามือจับดูถึงได้รู้ว่าเลือดออก นางมองดูโจวเยี่ยนเฉิงที่ม้วนภาพเก็บไว้แล้วกอดมันอย่างหวงแหน ไม่แม้แต่จะปรายตามองนาง นางน้ำตาคลอรีบเดินออกไปทันที สวนกับสือหลางที่เดินเข้ามา
" นายท่านเกิดอะไรขึ้นขอรับ เหตุใดฮูหยินถึงได้บาดเจ็บเช่นนั้น"
โจวเยี่ยนเฉิงพลันได้สติ
" เจ้าว่าอะไรนะ"
" ฮูหยินได้รับบาดเจ็บ ที่หัวมีเลือดไหลออกมา ท่านไม่เห็นหรือขอรับ"
โจวเยี่ยนเฉิงนึกถึงเมื่อกี้ที่เขาผลักนาง ไม่คิดว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ ช่างสิ ใครใช้ให้นางมาวุ่นวายกับของของเขาหล่ะ นี่เป็นภาพวาดของถานลี่หลิน ที่เขาให้จิตรกรวาดภาพขึ้นมาตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาได้รับรู้ว่านางยังอยู่ใกล้ๆเขา
เมื่อคืนเขาเอาภาพนางมาดูแล้วนอนหลับไปตอนเช้าเขารีบร้อนออกไปเพราะไม่อยากเจอหน้าซูซินเหยียน ไม่อยากต้องกินข้าวร่วมกับนาง จึงลืมเก็บภาพวาด พอเขานึกขึ้นมาได้ก็รีบกลับมา ไม่คิดว่านางจะกำลังดูภาพวาดอยู่ ทำให้เขาโมโหผลักนาง
เขาไม่ได้รักนาง แต่จำต้องแต่งงานกับนางเพราะคำสั่งของบิดามารดา แม้ทั้งสองจะจากไปก่อนจะถึงวันแต่งงาน แต่เขาได้สัญญาเอาไว้แล้วว่าจะแต่งกับนาง เขาก็ต้องแต่ง จะไม่ผิดคำพูดเป็นอันขาด มารดาของเขาเป็นคนเชื่อเรื่องคำทำนาย ครั้งนั้นมารดาของเขากับมารดาของซูซินเหยียนซึ่งเป็นสหายสนิทกัน ได้ไปสักการะพระมหาเถระโหย่วหัวที่วัดหวงซาน จึงได้ขอให้ตรวจดูดวงของเขาและนาง ท่านได้ทำนายว่าเขาและนางดวงสมพงศ์กัน หากได้แต่งงานกันดวงของนางจะส่งเสริมให้เขาเจริญรุ่งเรือง พอกลับมาก็จัดการให้เขากับนางหมั้นหมายกัน หลังจากนั้นไม่นานเขาได้สร้างผลงานจนฮ่องเต้เลื่อนขั้นเขาจากขุนนางระดับ8ขึ้นมาเป็นขุนนางระดับ4 ทั้งยังพระราชทานเงินทองของมีค่าให้กับเขาอีกมากมาย ยิ่งทำให้บิดามารดาของเขาเชื่อในคำทำนายว่าเป็นจริง จึงขอให้เขาสัญญาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะต้องแต่งงานกับนาง และต้องแต่งในปีที่นางอายุครบ17ปี ซึ่งปีนี้ก็เป็นปีที่นางอายุ17พอดีเขาจึงได้จัดงานแต่งตามที่รับปากกับบิดามารดาไว้ แต่เขาไม่ได้รักนาง เขารักถานลี่หลิน เขาทำตามสัญญาว่าจะแต่งงานกับนางเขาก็แต่งแล้ว แต่จะให้เขาเข้าหอกับนาง เขาทำไม่ลงจริงๆ
" ฮูหยินเจ็บมากไหมเจ้าคะ"
ซูซินเหยียนส่ายหน้า
" นายท่านนะนายท่าน แค่ภาพวาดใบเดียวถึงกับต้องทำรุนแรงเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสำคัญอะไรนักหนา"
" สำคัญสิ สำคัญมากด้วย ข้าผิดเองที่อยากรู้อยากเห็น"
" ภาพวาดนั่นเป็นภาพอะไรเหรอเจ้าคะนายท่านถึงได้หวงนักหนา แค่ท่านดูนิดเดียวถึงกับต้องผลักท่านจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้"
" ภาพคนรักของเขาหน่ะ"
ลู่หนิงตกใจรีบพูดปลอบ
" ฮูหยิน ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ บางทีอาจไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดก็ได้นะ"
" เมื่อคืนข้าไปตามเขาที่ห้องหนังสือ เขากอดจูบภาพวาดนั่น ยังพร่ำเรียกชื่อหลินเอ๋อ หากไม่ใช่คนรัก แล้วเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม"
" หลินเอ๋อ ใครกัน ฮูหยินเจ้าคะข้าว่าคุณชายตงหยางน่าจะรู้จักนะเจ้าคะ"
" ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า พี่ใหญ่เป็นสหายสนิทกับเขาน่าจะรู้ว่านางคือใคร"
นางคิดจะไปถามพี่ชายของนางวันนี้เลย เเต่ตอนนี้นางบาดเจ็บยังมีผ้าพันแผลอยู่ที่หัวหากไปสภาพเช่นนี้คงไม่ดี อีกอย่างบิดามารดาของนางยังไม่ได้กลับบ้านที่ต่างเมืองยังพักอยู่ที่จวนของพี่ชายนาง เพื่อรอพบนางในวันครบสามวัน ที่นางจะกลับไปเยี่ยมบิดามารดาตามประเพณี หากพวกเขารู้ว่านางถูกทำร้ายตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้ามาเกรงว่าจะเกิดเรื่อง จึงรอให้ถึงวันกลับไปเยี่ยมบ้านก่อน อีกสองวันแผลของนางน่าจะหายแล้ว ถึงวันนั้นค่อยถามให้รู้เรื่อง
ป๋อเหวินมองดูหน้าซูซินเหยียน เขามีท่าทีครุ่นคิดหนัก ซูซินเหยียนรู้จักเขาดี เขาไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบอยู่ในที่ที่คนมากๆ เขารักสงบ ป่าเขาคือบ้านของเขา" กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันกับพี่เหวินทรงทราบดีในพระมหากรุณาธิคุณ แต่พี่เหวินไม่ชอบชีวิตวุ่นวายในเมือง เขาเคยชินกับการอยู่ที่บ้านป่า ที่นั่นสงบและดูปลอดภัยสำหรับเขา เรื่องการแก่งแย่งชิงดีในวัง ทุกคนต่างรู้ดี วันนี้เป็นฮองเฮาแต่วันหน้าใครจะรับรองได้ ว่าอาจจะมีสนมคนใดคิดทำร้ายเอาชีวิตเขาอีก ไม่ก็อาจพุ่งเป้ามาที่ลูกของหม่อมฉัน อีกอย่าง พระองค์ก็เห็นว่าเขาหน้าตาเป็นแบบนี้ ถ้าเข้าวังต้องมีคนนินทาหัวเราะเยาะเขา รังเกียจเขา มองเขาด้วยสายตาสมเพช แม้พระองค์จะออกรับสั่งว่าห้ามใครพูดถึงเขาในทางไม่ดี ห้ามล้อเลียนเขา แต่ลับหลังหล่ะ ใครจะรับรองได้ว่าเขาจะไม่ถูกดูหมิ่น ขอพระองค์โปรดเมตตาด้วยเพคะ หม่อมฉันกับพี่เหวินเพียงต้องการใช้ชีวิตที่สงบสุขในบ้านป่า"หย่งเค่อคิดตาม เห็นด้วยกับคำพูดของซูซินเหยียน" ท่านเองก็อยู่ที่นี่เถอะ หากอยากไปหาข้ากับเหยียนเอ๋อก็ไปได้ทุกเมื่อ"ป๋อเหวินบอกกับเมิ่งกุ้ยเฟย นางน้ำตาไหลเข้าไปโอบกอดป๋อเหวินแน่นหลายเดือนผ่านไป ป๋อเหวิน
" แต่องครักษ์เสื้อทอง เป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ของฮองเฮา เรื่องนี้"ซูตงหยางไม่กล้าพูดต่อ มองดูหน้าของฮ่องเต้ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด หากมีการสอบสวนจริงๆ ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้ดันไปพัวพันกับฮองเฮาอีก เขาพอจะมองเรื่องราวออก ฮองเฮาอิจฉาริษยาเมิ่งกุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ จึงส่งคนไปลอบสังหาร ตอนที่นางเดินทางไปปินเฉิงและเพื่อให้เนียน จึงต้องทำร้ายฮ่องเต้ด้วยแล้วยังไม่พอ คิดจะกำจัดให้สิ้นซาก กลัวว่าโอรสของเมิ่งกุ้ยเฟยจะมีโอกาสกลับมา แล้วจะแย่งตำแหน่งรัชทายาทกับโอรสของตัวเอง จึงส่งองครักษ์เสื้อทองไปตามหาจนพบ และจัดการสังหารทิ้ง แต่สวรรค์ก็ให้ป๋อเหวินยังมีชีวิตอยู่ แต่กลายเป็นคนอัปลักษณ์ตาบอดข้างนึงเมิ่งกุ้ยเฟยคุกเข่าลงร้องไห้" เจ้าจะทำอะไรลุกขึ้น"" ไม่เพคะฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงเมตตาโปรดคืนความเป็นธรรมให้ข้ากับลูกด้วย องครักษ์เสื้อทองเป็นองครักษ์ของฮองเฮา ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ฮองเฮาใช้อำนาจในทางที่ผิด คิดกำจัดหม่อมฉันกับลูก หม่อมฉันคิดว่าเหตุการณ์ลอบสังหารที่ปินเฉิงในครั้งนั้น ก็คงเป็นคำสั่งของฮองเฮา"" เจ้าลุกขึ้นก่อน เรื่องนี้ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง จะคืนความเป็นธรรมให้เจ้ากับล
" เวลานี้สองคนนั่นอยู่ที่ไหน พวกเขาสบายดีไหม"" พวกเขา จากไปตั้งนานแล้ว"" เจ้าว่าอะไรนะ จากไป หมายความว่าพวกเขา"" พวกเขาจากไป ตั้งแต่ข้าได้เพียงสี่ปีเท่านั้น"เพราะปกป้องเขา บิดามารดาของเขาถึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก เขาไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวดแสนสาหัสในครั้งนั้นอีก" เกิดอะไรขึ้น เจ้าเล่าให้ข้าฟังที"" ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านจะมาอยากรู้เรื่องของข้าทำไม ต้องขออภัยด้วยที่ข้าไม่อยากเล่าถึงอดีตอีก มันโหดร้ายแสนสาหัสสำหรับข้าข้าไม่อยากพูดถึงมันอีก"" อย่างงั้นเจ้าก็ยิ่งต้องเล่าให้ข้าฟัง"" ฝ่าบาทเพคะ ให้หม่อมฉันพูดกับเขาเอง"" อา อาเหวิน"ป๋อเหวินขมวดคิ้วจ้องมองเมิ่งกุ้ยเฟย ที่เรียกชื่อเขาน้ำตาไหลพราก" คนที่เจ้าเรียกเขาว่าพ่อแม่ พวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ข้าเอง"ไม่เพียงป๋อเหวินที่ตกตะลึง แต่ทุกคนก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน" เสี่ยวชุ่ยเป็นนางกำนัลคนสนิทของข้า ส่วนป๋อซื่อหานเป็นองครักษ์ของข้า ชื่อเสี่ยวชุ่ยกับป๋อซื่อหาน เป็นชื่อเดิมของพวกเขา แต่ตอนอยู่ในวังข้าเป็นคนตั้งชื่อให้พวกเขาใหม่ว่าชุ่ยเสียกับจ้านเกอ"เมิ่งกุ้ยเฟยมองหน้าหย่งเค่อ หย่งเค่อพยักหน้าให้ นางจึงเริ่มเล่าต่อ"เมื่อ20ปีก่อนข้ากับฝ่าบาทเ
ไม่ใช่แค่บิดามารดานาง แต่ยังมีฮ่องเต้กับเมิ่งกุ้ยเฟยอีก หากมีราชโองการสั่งให้เขาแยกจากนาง หรือใช้อำนาจมาทำให้เขากับนางต้องพลัดพรากกัน คนอย่างเขาจะทำอย่างไรได้ เขารู้ว่านางพูดจริง หากเขาไม่ไปนางก็จะไม่ไปแน่ ถ้าเป็นอย่างงั้นบิดามารดาของนางรวมทั้งเมิ่งกุ้ยเฟย ก็จะตามมาถึงที่นี่ แล้วอาจทำให้ทุกคนในหมู่บ้านเดือดร้อน เพื่อบีบบังคับเขาให้ไปจากนางก็ได้ เขาดูออกว่านางเองก็คิดถึงบิดามารดาของนางเหมือนกัน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงนางเข้ามากอด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หากเขาต้องถูกบีบคับให้แยกจากนางเขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าคงมีทางเดียว คือความตายนางจ้องมองหน้าเขา เดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่" ท่านไม่ต้องกังวล แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรเลอะเทอะ ท่านพ่อท่านแม่ข้าพวกท่านเป็นคนใจดีมีเหตุผล พวกท่านเคารพในการตัดสินใจของข้า ชีวิตของข้า ข้ากำหนดเองแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยว เชื่อใจข้าเถอะ"เดินทางอยู่แรมเดือนในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวง รถม้าจอดลงหน้าจวน ทันทีที่ซูตงหยางก้าวลงมา บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูก็แสดงสีหน้าดีใจ คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปข้างในอีกคนรีบเปิดประตู ก้าวผ่านประตูได้ไม่กี่ก้าวซูหานกับซูเหม่ยฟางก็รีบ
ตั้งแต่วันนั้นที่กลับมาจากศาลกงผิง ป๋อเหวินก็พานางไปหาหมอ หลังจากตรวจดูก็พบว่านางตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว อีกสามวันจะมีการประหารถานลี่หลิน หลังจากนั้นพี่ชายของนางก็จะเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อปิดคดียามโฉ่ว เจ้าหน้าที่สองคนถูกล็อคคอจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงดังกร๊อบ โจวเยี่ยนเฉิงกับสือหลางลากสองคนเข้าไปมุมหนึ่ง ก่อนจะสวมชุดของเจ้าหน้าที่ออกมา พากันเดินเข้าไปในคุก จุดไฟรมควันสลบ ไม่นานเจ้าหน้าที่สิบคนก็หมดสติ โจวเยี่ยนเฉิงรีบเอากุญแจจากเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่เก้าอี้ รีบไปไขประตูให้ถานลี่หลิน นางเห็นโจวเยี่ยนเฉิงก็ดีใจ รู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมาช่วยนางพอประตูเปิดออกนางก็โผเข้ากอดเขา เขาดันตัวนางออก" รีบไป"" เฮ้ เดี๋ยวก่อน ช่วยข้าด้วยสิ นะ ขอร้องหล่ะข้ายินดีเป็นทาสรับใช้ ให้ข้าทำอะไรก็ยอมช่วยข้าออกไปที ข้าไม่อยากถูกประหาร"โจวเยี่ยนเฉิงลังเล ก่อนจะโยนกุญแจให้" เจ้าเปิดออกมาเองเถอะ จะหนีรอดหรือไม่ก็แล้วแต่โชคชะตาของเจ้า"พูดจบก็จูงมือถานลี่หลินวิ่งออกไป แสงแดดเช้าวันใหม่สาดแสงเจิดจ้า โจวเยี่ยนเฉิงบังคับม้าให้หยุดเเล้วลงจากหลังม้า สือหลางที่ขับรถม้าก็บังคับม้าให้หยุดเช่นกัน ถานลี่หลินเ
" บังอาจ เจ้ากล้าลบหลู่พวกข้า เห็นทีว่าต้องจับเจ้าเข้าเครื่องทรมาน เจ้าถึงจะยอมสารภาพ"หม่าซิวหยวนตะคอกเสียงดัง ถานลี่หลินสะดุ้งตกใจ ตราบใดที่นางไม่ยอมรับ พวกเขาก็เอาผิดนางไม่ได้หรอก" จริงหรือเท็จเจ้ารู้ดีแก่ใจ ถุงเงินกับจดหมายนั่นข้าค้นเจอในห้องพักสมุนโจรคนหนึ่ง โชคดีที่แม้ผ่านมาหลายปีก็ยังอยู่ ต้องขอบคุณเจ้าด้วยนะ ที่เป็นคนชอบสะสมของเก่า โดยเฉพาะจดหมายนัดพบและสิ่งของอื่นๆ ทำให้ข้าสาวไปถึงตัวผู้บงการได้อีกหลายคนเลยทีเดียว"ซูตงหยางมองไปที่เซียวหมิง ถานลี่หลินหันควับไปมองด้วยสายตาเคียดแค้น ก็ว่าอยู่ว่าหลักฐานมาจากไหน โง่เขลาที่สุด ทำไมหยางไป๋ถึงได้มีลูกน้องโง่ๆแบบนี้ สะสมอะไรไม่สะสม ดันสะสมหลักฐานไว้ฆ่าตัวเอง" มาถึงขนาดนี้แล้วยอมรับผิดเถอะ ยังไงเจ้าก็หนีไม่พ้น""ยอมรับอะไรข้าไม่ผิด เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้า"" ข้าใส้ร้ายเจ้ารึ เจ้าก็รู้ดีว่าข้าพูดความจริงข้ายังจำได้ว่าพี่ใหญ่ถามเจ้า ว่ามีความแค้นอะไรกับพวกเขาถึงต้องฆ่าทิ้งให้หมดด้วยทั้งที่แค่ปล้นอย่างเดียวก็พอ เจ้าบอกว่าสองคนนั้นดูถูกเหยียดหยามเจ้า เห็นว่าเจ้าเป็นแค่สาวใช้ต่ำต้อย จึงขัดขวางความรักของเจ้ากับบุตรชายของเขา หากพวกเขาตายไปเจ้
Comments