อินชิงเสวียนอยู่ในวังมานานแล้ว เจตนาแอบแฝงเหล่านี้นางสามารถมองออกหมด แต่ฝ่าบาทองค์นี้ไม่ใช่ฝ่าบาทคนนั้น ดังนั้นนางจึงไม่กังวลนางเล่าเรื่องที่ตัวเองจะจากไปอย่างเปิดเผย และแต่งตั้งซูฉ่ายเวยให้ช่วยจัดการดูแลวังหลังซูฉ่ายเวยก้าวลงจากเก้าอี้ แล้วโค้งคำนับอินชิงเสวียนด้วยความเคารพ“กุ้ยเฟยไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยพระสนมจัดการวังหลังอย่างดี จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย”“เจ้าเป็นน้องสาวของข้า ข้าย่อมเชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องคำนับมีพิธีรีตองขนาดนี้ รีบลุกขึ้นเร็ว”อินชิงเสวียนประคองซูฉ่ายเวยขึ้น ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเมื่อไหร่ที่พวกนางจะได้รับการแต่งตั้งยศ ให้กำเนิดโอรสมังกรกับฝ่าบาทบ้าง แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสวีจือย่วนและฉู่หลิงอวี้ ก็อดขนหัวลุกไม่ได้ มีพระสนมคนนี้อยู่ การจะปีนเตียงมังกรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้ากุ้ยเฟยไปแล้ว นั่นก็ไม่แน่ความคิดบางอย่างแวบเข้ามา แววตาเป็นประกายระยิบระยับอินชิงเสวียนเหลือบมองไปรอบๆ ด้วยแววตาราบเรียบ มองเห็นความคิดชั่วร้ายของทุกคนได้ชัดเจนนางกระแอมในลำคอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า “ตอนนี้วังหลังไร้นายแล้ว ข้าต้องออกไปทำธุระ ห
รถม้ามาถึงประตูเมืองอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปที่เมืองหลวงที่คุ้นเคย อินชิงเสวียนยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยแต่เสี่ยวหนานเฟิงมีความสุขมาก เขายื่นหัวเล็กๆ ออกไปนอกหน้าต่าง แล้วกวาดตามองไปรอบๆ อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นที่ปกป้องเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ซ้ายขวา ก็ใช้โอกาสนี้ในการชมทิวทัศน์ภายนอกเย่จิ่งหลานยกมือขึ้นกอดไหล่ตัวเอง นั่งไขว้ห้างมองอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนก็มองออกไปนอกรถเช่นกัน ไม่สามารถบอกได้ว่านางรู้สึกอย่างไรการได้ไปตาหาเย่จิ่งอวี้ย่อมมีความสุขอยู่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงการออกจากเมืองหลวงเป็นเวลาหลายเดือน นางก็รู้สึกไม่สบายใจบางทีนางอาจจะถือว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองแล้วจริงๆเมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนยังคงเงียบ เย่จิ่งหลานก็ยกข้อศอกแตะนางอย่างอดไม่ได้“นี่ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”“อืม”อินชิงเสวียนพยักหน้า หันกลับมาแล้วถามว่า “หวังซุ่นก็อยู่ในมิติด้วยหรือ”เย่จิ่งอวี้ยักไหล่ พูดด้วยสีหน้าสบายๆ “อืม กลัวว่าความอัปลักษณ์ของเขา จะทำให้แม่นางทั้งสองกลัวน่ะ”อวิ๋นฉ่ายถามด้วยสีหน้าพิศวงงุนงงทันที “มิติคืออะไรหรือ”ถึงอย่างไรก็ต้องบอกพวกนางไม่ช้าก็เร็ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถปล่
อินสิงอวิ๋นพยักหน้า“ขอบพระคุณท่านพ่อ”อินจ้งตอบรับ และพูดต่อว่า “การสมรสครั้งนี้ ไม่เพียงแค่การแต่งงานของพวกเจ้าสองคน แต่ยังเป็นงานใหญ่ของประเทศชาติ หวังว่าพวกเจ้าสองคนจะสามารถเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างต้าโจวและเจียงวู ทำเพื่อประชาชนของสองอาณาจักร กำจัดความทุกข์ยากของสงคราม”เป่าเล่อเอ่อร์เดินลงมาจากเก้าอี้ในทันที และกล่าวอวยพรแก่อินจ้ง“ใต้เท้าอินวางใจได้เจ้าค่ะ เป่าเล่อเอ่อร์ได้เขียนจดหมายให้แก่พี่ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่ไม่เคยสนับสนุนการทำสงคราม หากสองกองทัพระงับการใช้อาวุธต่อกันได้ พี่ใหญ่จะต้องดีใจอย่างมากเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี”อินจ้งหลือบมองผ้าปูที่อยู่บนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถะ ข้าไปห้องหนังสือก่อนล่ะ”ในขณะเดียวกันนั้นเอง เย่จั้นที่สวมชุดคลุมมังกรก็มาถึงตำหนักจินหวูเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนไปแล้ว เขาทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจทั้งเฝ้ารอให้อินชิงเสวียนสามารถสืบรู้ข่าวคราวของเย่จิ่งอวี้โดยเร็ว แต่ก็กลัวว่าจะได้ยินข่าวที่ไม่ดียิ่งไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ถูกหรือผิดกันแน่ หากเกิดสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดต่ออินชิงเสวียน เช่นนั้นควรทำอย่างไร? แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
สีหน้าของซูถูก็ดูแย่เล็กน้อย“เจ้าสำนักเซี่ยวจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ หากชาวตงหลิวเข้าน่านน้ำทะเลมาเป็นจำนวนมาก ท่านและข้าจะต้องรับมือไม่ทันแน่นอน ควรระมัดระวังไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดเสียงเรียบว่า “ริมชายฝั่งของเป่ยไห่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งสำนักนิกายเดียว ผู้อาวุโสซูพูดออกมาเช่นนี้ หมายความว่านอกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ของข้า ก็ไร้ผู้ที่สามารถสกัดกั้นตงหลิวได้อีกแล้วใช่หรือไม่? ข้าขอตัวก่อน!”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดจบก็ใช้วิชาตัวเบา และออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไปคนเหล่านี้ไม่อาจแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งได้ แม้ว่าพวกเขาต้องการแย่งชิงไปให้ได้ ก็ไม่สามารถหาเจอว่าพิณอยู่ที่ใด ตอนนี้จำเป็นต้องไปพบหมอเทวดาหนิงอีกครั้ง เพื่อดูว่านอกจากเย่จิ่งอวี้แล้ว ยังสามารถหาทางออกอื่นในการรักษาเซี่ยวอิ๋นหวนได้อีกหรือไม่ซูถูและคนอื่นๆ ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่กลางลานบ้านครู่หนึ่ง และก็จากไปเช่นกันในเวลาเช่นนี้ หากพวกเขาลงมือก็จะกลายเป็นเป้าที่ประชาชนทั่วไปโจมตีอย่างแน่นอนแต่จะต้องเอาพิณการเวกตัวนี้มาให้ได้ หากอาวุธทำลายล้างขนาดใหญ่เช่นนี้ยังคงอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเป
อินชิงเสวียนออกจากเมืองหลวงแล้ว เวลาเพียงครึ่งเช้าก็ออกมาได้เกือบร้อยลี้แล้วเมื่อมองทิวทัศน์ที่แปลกตาไปตลอดทาง อินชิงเสวียนก็ร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ หวังเพียงให้ถึงเป่ยไห่โดยไวนางหยิบแผนที่ออกมา และเทียบดูอย่างละเอียด เพียงแค่เกลียดที่ยุคสมัยนี้ไม่มีอินเทอร์เน็ต แม้นางจะมีโทรศัพท์มือถือ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเปิดระบบนำทางได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องเปลืองแรงเช่นนี้เย่จิ่งหลานกลับไม่ได้รีบร้อน เขาอยู่ในเมืองหลวงมานานมากพอแล้ว อยากออกมาดูโลกภายนอกบ้าง การออกมาวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ความรู้สึกดีใจยังไม่มลายหายไปเมื่อเห็นอินชิงเสวียนมองอย่างตั้งใจ เขาก็รีบเข้าไปประสมโรง“เจ้าสิ่งนี้แม่นยำหรือไม่?”สำหรับแผนที่ของยุคโบราณ เย่จิ่งหลานกลับไม่ได้คาดหวังมากนักอินชิงเสวียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “เย่จั้นได้หาคนมาทดสอบหลายคนแล้ว น่าจะไม่มีปัญหา”“นี่ก็ดูจากตำแหน่งขึ้นเหลือลงใต้เหมือนกันใช่หรือไม่?”มือของเย่จิ่งหลานทำท่าทางบนม้วนหนังแกะ“ถูกต้อง ตอนนี้พวกเรากำลังไปเส้นทางนี้อยู่ ตามเส้นทางนี้ไปด้านหน้า ก็จะไปถึงเป่ยไห่”อินชิงเสวียนชี้เส้นทางให้เย่จิ่งหลานดู“ต้องใช้เวลาประมาณไหน?”เย่จิ
ทุกคนตามหาร้านอาหาร และสั่งอาหารแกล้มเหล้ามาสองสามอย่าง อินชิงเสวียนเป็นกังวลมาตลอดว่าไป๋เสวี่ยจะไม่เชื่อฟัง แต่จนถึงตอนนี้ คนที่ไม่เชื่อฟังกลับเป็นเสี่ยวหนานเฟิงของนางเจ้าหนูนี่เพิ่งออกจากวังเป็นครั้งแรก มองเห็นอะไรก็แปลกตาไปหมด มือเล็กที่อ้วนท้วนพยายามชี้ออกไปด้านนอกประตู ไม่ว่าอย่างไรก็จะออกไปให้ได้เย่จิ่งหลานที่อยู่อีกด้านก็กระตุกมุมปาก และพูดในใจว่า เจ้าหนูนี่ช่วยเขาได้เยอะทีเดียวการได้ออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย เย่จิ่งหลานอยากเห็นสภาพความเป็นอยู่ของต้าโจวอย่างมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าอินชิงเสวียนใจร้อนดั่งไฟ ตอนนี้ถือว่าเป็นไปตามความต้องการของเขาแล้วเมื่อเหลือบมองอินชิงเสวียน รอยยิ้มของเย่จิ่งหลานก็ล้ำลึกมากขึ้นอีกอินชิงเสวียนร้อนใจจนถอนหายใจไม่หยุด แต่ก็ทนทำผิดกับเด็กไม่ได้ จึงต้องพาเขาไปเดินเล่นบนถนนร้านค้ายังไม่เก็บแผง บนถนนยังคงคึกคักอยู่มาก การจับจ่ายใช้สอยเรื่องกินดื่มล้วนมีครบทั้งสิ้นเสี่ยวหนานเฟิงมองเห็นอะไรก็แปลกใหม่ไปเสียหมด ศีรษะน้อยๆ หมุนไปมาราวกับกลองป๋องแป๋ง สักพักมือน้อยๆ ก็ชี้ไปทางนั้นที สักพักก็ชี้มาทางนี้ที มองดูด้วยความสนุกสนานอย่างมากเย่จิ่งหลานก็มองซ้าย
อินชิงเสวียนจึงจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือ นางก็เป็นผู้ช่วยผ่าตัดให้เย่จิ่งหลานมาหลายครั้งแล้ว ขั้นตอนทั้งหมดแทบจำได้ขึ้นใจทั้งหมดผู้ชายกลับงุนงงโดยสิ้นเชิง เขาคิดไม่ออกเลยว่าเมื่อครู่เพิ่งขึ้นรถม้า แต่ตอนนี้กลับปรากฏตัวอยู่ในสถานที่ที่แปลกตาเมื่อเห็นทั้งสองคนสวมชุดปลอดเชื้อสีเขียว และสวมถุงมือไว้บนมือ ในใจก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย“พวกท่าน พวกท่านกำลังจะทำอะไร?”อินชิงเสวียนไม่อยากเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับเขา นางแลกพลังของมิติ และสับมือลงบนต้นคอของผู้ชาย ผู้ชายจึงล้มลงบนเตียงผ่าตัดในทันทีเย่จิ่งหลานยกนิ้วโป้งให้นาง“สุดยอด”“เอาล่ะ อย่ามัวพูดไร้สาระ รีบจัดการเถอะ”อินชิงเสวียนช่วยจับตัวผู้ชายให้อยู่กับที่ ทางด้านของเย่จิ่งหลานก็ทำการตรวจให้ผู้ชายอย่างละเอียด ปรากฏว่ามีเนื้องอกขนาดใหญ่ที่ตับของเขาเขาใช้เทคนิควินิจฉัยพยาธิวิทยาโดยไร้บาดแผล ผลการตรวจออกมาอย่างรวดเร็ว และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเย่จิ่งหลานโล่งใจ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับสิ่งนี้แล้วเตียงผ่าตัดได้ทำการชั่งน้ำหนักให้แก่ผู้ชายแล้ว เย่จิ่งหลานก็ไม่มัวเสียเวลา เขารีบผสมยาชาอย่างว่องไว และฉีดเข้า
เจ้าสำนักเซี่ยวไม่รู้ว่าเรื่องรักของตัวเองหมดลมหายใจไปแล้ว เมื่อออกมาจากบ้านของหมอเทวดาหนิง ก็ตรงไปที่ถิ่นอาศัยชั่วคราวอย่างหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เพื่อคุ้มกันชีพจรของเซี่ยวอิ๋นหวน หมอเทวดาหนิงให้เขาส่งกำลังภายในหนึ่งถึงสองครั้ง วิธีนี้อาจจะสามารถช่วยต่อชีวิตให้นานยิ่งขึ้นเจ้าสำนักเซี่ยวเชื่อมั่นในตัวของเพื่อนรักอย่างมาก เมื่อออกนอกประตูก็ใช้วิชาตัวเบาเมื่อมาถึงหน้าประตู ก็พบฉินเอ๋อร์วิ่งออกมาจากด้านใน มุมปากยังคงมีรอยเลือดติดอยู่“เจ้าสำนัก”เมื่อเห็นเจ้าสำนักเซี่ยว ฉินเอ๋อร์ก็ขาอ่อนแรงลง และคุกเข่าลงบนพื้น“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”เจ้าสำนักเซี่ยวเดินเข้าไปอย่างว่องไว และพยุงฉินเอ๋อร์ขึ้นมาฉินเอ๋อร์พูดสะอึกสะอื้นว่า “เจ้าสำนักเพิ่งไปได้ไม่นาน หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกโจมตีเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวถามอย่างโมโหว่า “หวนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ผู้ที่ลงมือคือใคร”ฉินเอ๋อร์รีบพูดว่า “ผู้คุมตราเซี่ยวไม่เป็นอะไร เซ่อเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวโล่งใจ และถามอีกว่า “บาดแผลของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เห็นหน้าตาของโจรหรือไม่?”“ไม่เจ้าค่ะ คนคนนี้มีเคล็ดวิชาว่องไวมาก เมื่