Share

บทที่ 9 เจ้าบ้าหรือเปล่า

"สามหาว สามหาวจริงๆ"

เย่จิ่งอวี้ผลักไป๋เสวี่ยล้มไปบนพื้น แล้วมองมือสีดำของตัวเอง ความโกรธก็แทบปะทุผ่านดวงตาออกมา

เขาพูดอย่างโมโห "ตกลงใครกันแน่ที่บังอาจกล้าดีทำกับไป๋เสวี่ยได้เช่นนี้ หลี่เต๋อฝู เจ้าไปตรวจสอบมาหลายวันแล้ว สรุปแล้วคนที่ทำเป็นใคร?"

หลี่เต๋อฝูคุกเข่าเสียงดังตึ่ง พูดด้วยเสียงสั่นเครือ "บ่าวไล่ถามแทบทุกคนในวังจนหมดแล้ว แต่ไม่ได้ยินเลยว่าท่านไป๋เสวี่ยเคยไปที่วังใดมาก่อน เหล่าหญิงงามที่มาใหม่มีความคิดที่จะเข้าใกล้ท่านไป๋เสวี่ย แต่ว่าท่านไป๋เสวี่ยของเรานิสัยไม่ดี พวกนางเข้าใกล้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แม้แต่พระสนมเสียนเฟย ไป๋เสวี่ยก็ยังไม่ไว้หน้าเลย บ่าวเองก็ไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะว่าใครกล้าบังอาจเช่นนี้"

เย่จิ่งอวี้หรี่ตาเรียวลง ด่าทอด้วยเสียงต่ำ "ไม่ได้เรื่อง เรื่องแค่นี้เจ้าก็ยังตรวจสอบไม่ได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าคอยติดตามไป๋เสวี่ย หากตรวจสอบไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมา"

"พ่ะย่ะค่ะ"

หลี่เต๋อฝูรับคำด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย และออกไปหยิบชุดรบของเย่จิ่งอวี้มา

หมู่นี้พอฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี ก็มักจะไปตำหนักฉงหวู่ ทหารคู่ซ้อมก็พลอยได้รับเคราะห์ไปหลายนาย

เมื่อคิดถึงพวกเขาที่ถูกซ้อมจนหน้าบวมตาเขียว หลี่เต๋อฝูก็เหงื่อตก ขอเพียงไม่ลงมือกับตนเองก็พอ จะไปลงที่ใครเขาก็ไม่สนแล้ว เขาอายุปูนนี้แล้ว จะรับแรงไม้แรงหมัดของฝ่าบาทไหวเสียที่ไหน

ขณะที่หลี่เต๋อฝูกำลังคร่ำครวญอยู่ อินชิงเสวียนที่เป็นต้นเหตุตัวจริงนั้นกำลังเคี้ยวแตงกวากรุบกรอบอยู่ในสวน

กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาจากมือของเธอ อวิ๋นฉ่ายก็กลืนนน้ำลายอึกหนึ่ง

อินชิงเสวียนมองไปอวิ๋นฉ่ายแวบหนึ่ง "แตงกวาตั้งเยอะ เจ้ากับยายหลี่ก็กินด้วยสิ กินเนื้อไปเยอะก็ต้องแก้เลี่ยนหน่อย"

อวิ๋นฉ่ายรีบส่ายหัว

"พระสนมชอบทานก็เก็บเอาไว้ให้พระสนมทานดีกว่าเพคะ"

"นี่ก็ไม่ใช่ของดีอะไรมากมาย ท่านเซียนยังมีอีกเยอะแยะ ไปกินเถอะ เอาไปให้ยายหลี่ลูกหนึ่งด้วย"

"เพคะ"

อวิ๋นฉ่ายดีใจและหยิบแตงกวาไปสองลูก เพียงครู่เดียวก็วิ่งกลับมา

เธอพูดเสียงเบา "พระสนม ยายหลี่กับองค์ชายน้อยทั้งคู่หลับแล้วเพคะ"

อินชิงเสวียนตอบรับ ยายหลี่คอยดูแลเจ้าหมาน้อยก็ลำบากจริงๆ เดี๋ยวก็อึเดี๋ยวก็ฉี่ เดี๋ยวก็กิน บวกกับยายหลี่อายุมากแล้ว เป็นธรรมดาที่ร่างกายจะทนไม่ไหว

"งั้นก็อย่ากวนนางเลย พวกเรากินกันเถอะ"

อวิ๋นฉ่ายพยักหน้า และนั่งลงข้างอินชิงเสวียนด้วยความดีใจ

อินชิงเสวียนอดที่จะถามไม่ได้ "อวิ๋นฉ่าย พระราชวังนี้ใหญ่มากเลยหรือ?"

อวิ๋นฉ่ายพยักหน้า "ใหญ่มากเพคะ"

อินชิงเสวียนมองฟ้า แล้วถามต่อ "แล้ว...พระราชวังมีวิวสวยๆ อะไรบ้าง?"

"อะไรคือวิวเพคะ" อวิ๋นฉ่ายไม่เข้าใจอย่างมาก

"อินชิงเสวียนอธิบายด้วยความอดทน "มันก็คือสถานที่ๆ สนุกและสวยอย่างไรล่ะ"

อวิ๋นฉ่ายเอียงคอครุ่นคิด

"ก็น่าจะเป็นสวนบุปผาหลวงเพคะ ตอนนี้เหล่าดอกไม้นานาชนิดคงกำลังบานสะพรั่ง ต้องสวยงามมากแน่ๆ เพคะ"

อินชิงเสวียนอัดอั้นอยู่ในวังเย็นมาสัปดาห์กว่าแล้ว ชีวิตที่มองเห็นท้องฟ้าขนาดใหญ่แค่ฝ่ามือ ทำให้เธออดหงุดหงิดไม่ได้

ถ้าเธออยู่ที่ตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่เธอหาเก็บเงินได้มากพอ ตัวเธอคงเป็นโรคซึมเศร้าเสียก่อน

เธออดถามไม่ได้ว่า "สวนบุปผาหลวงห่างจากวังเย็นของเราไกลแค่ไหน?"

อวิ๋นฉ่ายอ้าปากชะงัก พูดด้วยความตะลึง "พระสนม อย่าบอกนะเพคะว่าพระองค์จะออกไป?"

อินชิงเสวียนมองไปข้างในแวบหนึ่ง พูดด้วยเสียงเบา "ดึกขนาดนี้แล้ว พวกเราแอบออกไปเดินเล่นข้างนอก ก็น่าจะไม่ถูกจับได้นะ"

"เอ่อ..."

อวิ๋นฉ่ายลังเล ทว่าสายตากลับฉายแววความตื่นเต้นมากๆ

อินชิงเสวียนมีหรือจะมองความคิดนางไม่ออก จึงจับข้อมือของอวิ๋นฉ่ายไว้ แล้วดึงให้ลุกขึ้น

พูดเสียงเบาว่า "เจ้าไปเอาชุดขันทีมา เราเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเดินเล่นกัน ยายหลี่น่าจะไม่ตื่นมาหรอก"

อวิ๋นฉ่ายทั้งดีใจและตื่นเต้น

"พระสนม ทำเช่นนี้ได้แน่หรือเพคะ?"

"น่าจะไม่เป็นไร เราไม่ไปไกล ถือเสียว่าออกไปผ่อนคลาย"

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นายและบ่าวสองคนก็มุดออกจากรูกำแพงไป

หลังจากที่ทั้งคู่เดินอ้อมกำแพง ตรงหน้าก็ปรากฎถนนยาวๆ เส้นหนึ่ง

มองดูถนนกว้างๆ เส้นนี้ อินชิงเสวียนรู้สึกว่าหายใจหายคอคล่องขึ้นไม่น้อย

และเมื่อเห็นว่าถนนว่างเปล่า ไม่มีคนเลยสักคน ความกล้าก็เพิ่มขึ้น เธอดึงมืออวิ๋นฉ่ายค่อยๆ เดินไปข้างหน้า

นายและบ่าวเหมือนคนบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไรอย่างนั้น เดินมองซ้ายมองขวาตลอดทาง อวิ๋นฉ่ายรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เธอเดินไปตรงป่าเล็กข้างหน้า และพูดด้วยแก้มที่แดงว่า "พระสนม บ่าวอยากปลดทุกข์เบาเพคะ"

"ไปสิ ข้าจะช่วยดูต้นทางให้"

อวิ๋นฉ่ายกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงวิ่งเข้าไปในป่าเล็ก

อินชิงเสวียนเอามือเท้าเอว สูดอากาศกว้างๆ เข้าปอด เธอรู้สึกมีความสุขสุดๆ

แต่แล้วไม่นานนักความสุขก็แปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์

ในตอนที่เธอกำลังมองไปรอบๆ ทหารลาดตระเวณชุดหนึ่งก็เดินมาจากฝั่งตรงข้าม

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนยืนอยู่ตรงกลางถนน ก็ถามด้วยเสียงดังดุดันทันที "เจ้าเป็นคนของวังไหน? กำลังทำอะไรกลางดึกกลางดื่น?"

อินชิงเสวียนสะดุ้งตกใจ รีบก้มหัวลง และมีชื่อหนึ่งแวบเข้าในหัว

"บ่าวเป็นคนของวังลี่ซิ่วขอรับ"

"ถ้างั้นยังไม่รีบกลับไปอีก"

"ขอรับ"

อินชิงเสวียนเดินหันหลังกลับ หัวหน้าทหารก็ตะโกนเรียกเธอ

"วังลี่ซิ่วอยู่ทางนี้"

"ขอบคุณคุณพี่ทหาร พอมืดแล้วบ่าวก็แยกทิศทางไม่ค่อยจะถูกขอรับ"

อินชิงเสวียนยิ้มแห้งๆ แล้วเดินไปตามทางที่ทหารคนนั้นบอก

เดิมทีเธอตั้งใจจะเดินไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้ววกกลับมา แต่ใครจะไปรู้ว่าทหารชุดนั้นเดินตามเธอตลอด อินชิงเสวียนจึงจำใจกัดฟันเดินตามพวกเขาไป แต่เมื่อเดินเลี้ยวพ้นมาสองโค้งเธอก็ต้องตะลึงงันโดยสิ้นเชิง

เธออยากถามทหารเหล่านั้น แต่เพิ่งพบว่าพวกเขาเดินออกไปไกลแล้ว

อินชิงเสวียนมองดูถนนที่หน้าตาคล้ายๆ กันเหล่านี้ก็รู้สึกหมดคำจะบรรยาย เธอต้องรีบกลับไป เพราะถ้าอวิ๋นฉ่ายไม่เห็นเธอจะต้องกังวลมากแน่ๆ

ขณะที่กำลังจะหาคนถาม เธอก็เห็นวังข้างๆ มีผู้ชายถือกระบี่ยาวคนหนึ่งเดินออกมา เขาสวมชุดรบสีดำ ดูคล้ายๆ กับพวกทหารเมื่อกี้นี้

อินชิงเสวียนรีบวิ่งไปหาเขา แล้วยื่นมือตบทที่ไหล่ของชายคนนั้น

ทว่าเมื่อรู้สึกแน่นๆ ตรงข้อมือ เธอก็ถูกมือใหญ่แข็งแกร่งบีบกำเอาไว้ ไม่รอให้อินชิงเสวียนตั้งตัวได้ เธอก็ถูกทุ่มลงไปบนพื้นแล้ว

"โอ้ยยย"

อินชิงเสวียนล้มหงายตึ่งไปบนพื้น หมวกบนศรีษะก็เบี้ยวไปด้วย

เธอทนเจ็บไว้ รีบจัดทรงหมวกอย่างร้อนรน และพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด "เจ้าบ้าหรือเปล่าเนี่ย ข้าไม่ใช่มือสังหารเสียหน่อย ก็แค่จะถามทาง ต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้เชียวหรือ? โอยยย เอวของข้า"

ชายคนนั้นหันกลับมา เมื่อเห็นหน้าตาเขาชัดเจน อินชิงเสวียนก็อ้าปากเป็นรูปตัวโอ

ขุนพระ หล่อมว๊ากกก!

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ดูอายุราวๆ ยี่สิบปี ชุดรบสีดำส่งเสริมให้เขาดูไหล่กว้างเอวเล็ก ตัวสูงโปร่ง ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบัน มันก็คือหุ่นของนายแบบดีๆ นี่เอง

หน้าตาของเขาก็รูปโฉมหล่อเหลาเช่นกัน จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง เค้าหน้าเป็นมุมได้รูปราวกับรูปแกะสลัก

เขาหรี่ตาที่ฉายแววเยือกเย็นจ้องมองอินชิงเสวียน ท่วงท่าของเขาเต็มไปด้วยบรรยากาศการงดเว้นกิเลสที่กำลังเป็นฮอตฮิตในตอนนี้มากๆ

"สามหาว เจ้าเป็นคนของวังไหน?"

เสียงต่ำที่ดังออกมาจากริมฝีปาก ทำให้อินชิงเสวียนสะดุ้งตื่นจากภวังค์ในทันที

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status