ในท้องพระโรง บรรยากาศเคร่งขรึมและตึงเครียด แม้สถานการณ์โรคระบาดจะสงบลงแล้ว แต่การสอบสวนถึงต้นตอของเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง ฝ่าบาทประทับเหนือบัลลังก์ หน้าตาเคร่งขรึม ขุนนางฝ่ายโยธา แพทย์หลวง และแม่ทัพฝ่ายตรวจการผลัดกันยื่นรายงาน
เสียงฝีเท้าหนักแน่นของแม่ทัพเวยกังดังขึ้นก่อนเขาจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์ ทหารคนสนิทนำม้วนรายงานเข้าถวาย
“กระหม่อม เวยกัง ขอกราบทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมได้ตามสืบตามแนวทางที่ทรงรับสั่งเกี่ยวกับผู้แพร่เชื้อรายแรกในตุนโจว ผลจากการสอบถามชาวบ้านและติดตามร่องรอย พบว่ามีชายแซ่หลิวผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านท้ายเมืองเป็นบุคคลต้องสงสัย”
เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“แต่พบว่าชายผู้นั้นไม่ใช่คนท้องถิ่น และได้ฆ่าตัวตายแล้วก่อนหน้านี้ ทิ้งไว้เพียงจดหมายหนึ่งฉบับ”
เสียงในท้องพระโรงเงียบสนิท ทหารถวายจดหมายนั้นให้แก่ขันทีหลวง ก่อนจะส่งต่อขึ้นไปจนถึงพระหัตถ์ของฮ่องเต้ พระองค์ทอดพระเนตรครู่หนึ่งแล้วให้ขันทีอ่านออกเสียงอย่างช้าๆ
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าเพียงน้อยใจในโชคชะตา ที่ไร้คน
เมื่อจดหมายจากตุนโจวมาถึงเรือนสกุลโจวในเมืองหลวง โจวเสวี่ยรับมาอ่านเองโดยตรง มิได้ผ่านมือใครอื่น ด้วยรู้ดีว่าอักษรจากบุตรีนั้นย่อมไม่ใช่ถ้อยความทั่วไป เขาเปิดผนึกด้วยมือของตน พลันสายตาก็ทอดมองเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและแรงแค้นของโจวจิงหยูเขาอ่านซ้ำสองรอบ ช้าๆ ทบทวนถ้อยคำแต่ละบรรทัด และเมื่อปิดจดหมายลง สีหน้าเดิมอันสงบนิ่งกลับเต็มไปด้วยรอยครุ่นคิดแน่นขรึมในห้องหนังสืออันเงียบสงัด โจวเสวี่ยนั่งนิ่งนานครู่ใหญ่ เขาหยิบพู่กันขึ้นแต่ไม่ลงมือเขียน กลับเอียงหน้าไปมองนอกหน้าต่างแทน“เจ้าเด็กเผิงเหยียนเฉิงผู้นั้น แม้จะมีสายเลือดต่ำต้อย แต่กลับเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท จะให้ลงมือในตอนนี้ ก็เหมือนโยนหัวสกุลโจวลงกองเพลิง” เขากัดฟันเบาๆ แล้ววางพู่กันกลับลง“หยูเอ๋อร์เอ๋ย…เจ้ากระหายชัยชนะเกินไป แต่กลับลืมว่าพื้นนี้มิใช่สนามเด็กเล่น”เขาลุกขึ้น เดินไปยังชั้นตู้หนังสือ ล้วงหยิบลิ้นชักลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสมุดตำราออกมา ด้านในเป็นบันทึกเก่าของบิดาเขาเอง บันทึกของอดีตเสนาบดีฝ่ายบุ๋นผู้มีประสบการณ์เชิงกลยุทธ์ทางการเมือง
ยามเย็นในเมืองหลวงอันสงบ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ฉายแสงสีทองสาดลอดร่มไม้เหนือกำแพงจวนโหว บรรยากาศในเรือนของเผิงโหวอบอวลด้วยความเงียบสงบและอุ่นใจหลังวันอันเหน็ดเหนื่อยเผิงเหยียนเฉิงเดินกลับจวนด้วยก้าวเร่งรีบ ฝุ่นบนชายชุดขุนนางของเขายังไม่ทันสลัดหมดดี เมื่อมาถึงเรือนในก็เห็นภรรยานั่งรออยู่ที่ศาลาพักกลางสวน มือเรียวถือเข็มปักผ้าสะสมลวดลายอย่างใจเย็น แต่เพียงนางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา รอยยิ้มของเจ้ากรมพิธีการก็ปรากฏในทันที“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ลู่ซือหนานเอ่ยเสียงอ่อน พลางวางของในมือ “วันนี้ดูท่านดูเหน็ดเหนื่อยกว่าทุกวัน”เผิงเหยียนเฉิงทรุดนั่งข้างนาง ถอนหายใจเบาๆ พลางลูบศีรษะภรรยาอย่างเอ็นดู“ช่วงนี้ข้าวุ่นกับการปรับปรุงโครงสร้างสำนักศึกษาใหม่ รวบรวมตำรา แบ่งหมวดหมู่วิชา รวมถึงฝึกครูอาจารย์รุ่นใหม่ ทุกอย่างต้องดำเนินตามพระราชดำริของฝ่าบาท”นางเอียงคอถาม “เหนื่อยมากไหมเจ้าคะ”“เหนื่อย แต่ข้าพอใจ มันคือสิ่งที่ควรทำ” เขาตอบจริงใจ นางจึงยิ้มออกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเก็บความลังเลไว้ไม่ไหว
ยามสายของวันที่อากาศอึมครึม รถม้าสีเข้มของสกุลซ่งจอดรอหน้าจวนสกุลโจวอย่างเงียบงัน โจวจิงหยูในชุดเดินทาง ประดับเครื่องประดับอันหรูหราเช่นเคย ดวงหน้าเย็นชานิ่งสงบจนยากอ่านความรู้สึก แต่ในใจกลับปั่นป่วนราวพายุที่ก่อตัวในอกนางภายในจวน สองสามีภรรยาเผชิญหน้ากันโดยไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาอยู่ชั่วขณะ บรรยากาศระหว่างทั้งสองเย็นเยียบ“สกุลลู่ ได้รับการเชิดชูจากฮ่องเต้ แม้แต่ภรรยาและแม่ยายของเผิงเหยียนเฉิงก็ยังได้รับการเกียรติคุณ ในขณะที่ท่านถูกตัดเบี้ยหวัดเพราะความล่าช้าและไร้ประสิทธิภาพ แล้วท่านจะเรียกตัวเองว่า ‘เสาหลัก’ ได้อย่างไร” เสียงของโจวจิงหยูฟังดูราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ความอับอายที่ต้องรับรู้ว่าทั้งสกุลลู่ที่นางดูแคลน และคนที่นางเคยเหยียดหยาม บัดนี้กลับได้รับเกียรติยศเกินตน ทำให้นางรู้สึกเสียหน้าอย่างที่สุดสามีของนาง สีหน้าดำมืด ดวงตาขุ่นเคือง“เจ้าพูดราวกับว่าเจ้ามิได้มีส่วนในแผนการนั้นเลย โจวจิงหยู ผู้ที่ผลักดันให้ข้าลงมือ ผู้ที่วางกลลึกถึงขั้นเลือกคนแพร่เชื้อ เจ้าก็ร่วมรับผิดมิใช่หรือ”“
ภายในห้องอาบน้ำ ไอน้ำอุ่นลอยอบอวลคล้ายม่านบางคลุมทั่วห้อง โจวจิงหยูนั่งพิงขอบอ่างหินอุ่น ผมยาวดำขลับถูกรวบขึ้นหลวมๆ ปล่อยให้ลำคอระหงและไหล่ขาวเนียนเผยออกมาเหนือผิวน้ำอุ่นที่ลึกถึงอก ดวงหน้าซีดขาวเงยเล็กน้อยหลับตาลงอย่างอ่อนล้าสาวใช้สองคนยืนอยู่ด้านหลัง บรรจงขัดผิวให้ช้าๆ ทะนุถนอม ผิวขาวเนียนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดั่งหยกเผยให้เห็นร่องรอยจางๆ ของแผลเป็นซึ่งเพิ่งตกสะเก็ดไปไม่นานบริเวณแผ่นหลัง ช่วงต้นแขน และสะโพกบางส่วนมีรอยแผลสีอ่อนเป็นด่างดวง เห็นได้ชัดแม้จะผ่านการบำรุงมาอย่างดีโจวจิงหยูค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองดูแขนและขาของตนเอง แล้วเบือนหน้าไปอีกทาง“รอยเหล่านี้.. น่าเกลียดนัก” นางพึมพำเสียงเบาๆ นั้นไม่ได้ตั้งใจให้ใครได้ยิน แต่สาวใช้คนหนึ่งแอบชำเลืองสบตาอีกคน แล้วรีบหลุบตาต่ำไม่กล้าพูดสิ่งใดโจวจิงหยูหรี่ตาลง แววตาค่อยๆ เปลี่ยนจากความสิ้นหวังกลายเป็นเกลียดชัง“ทั้งหมดนี้...เป็นเพราะนังเสี่ยวหนิว” นางกัดฟันแน่น น้ำเสียงขบเคี้ยวความแค้น“ข้ารับมันเข้ามาตั้งแต่เด็ก เลี้ยงดูมันอย่างดี กลับตอบแทนข้าด้วยการน
ขบวนรถม้าของเผิงเหยียนเฉิงลู่ซือหนานมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงอย่างสงบตลอดเส้นทาง สายลมเอื่อยๆ พัดพาไอเย็นคลอเคลียรถม้าคันหน้า ทำให้การเดินทางในครั้งนี้มิได้เหน็ดเหนื่อยนักภายในรถม้าคันประจำของสกุลเผิงโหว ลู่ซือหนานนั่งเอนกายพิงเบาะอย่างผ่อนคลาย หลังจากร่ำลาและออกจากเจียงเฉินได้ไม่นาน บรรยากาศเงียบสงบภายในรถมีเพียงเสียงล้อไม้บดถนนกรวด และเสียงลมหายใจของทั้งสองเผิงเหยียนเฉิงเบือนหน้ามองภรรยาของตนที่กำลังจิบชาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ แต่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า“ข้าว่าข้าคงต้องเร่งแล้วล่ะ”ลู่ซือหนานวางถ้วยชา พลางหันมามองเขาอย่างงุนงง “เร่งอะไรหรือเจ้าคะ”เขาหัวเราะเบาๆ สายตายังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า ก่อนจะหันกลับมา กระซิบเสียงต่ำใกล้หูนาง“ก็เร่งมีลูกอย่างไรเล่า มารดาเจ้าตั้งครรภ์ในวัยสี่สิบ ข้าเป็นถึงเจ้ากรมพิธีการ หน้าจะบางมิใช่น้อย หากแม่ยายกับพ่อตาแซงหน้าลูกเขยเช่นข้าไปได้”ลู่ซือหนานถึงกับหน้าแดงระเรื่อ รีบยกมือขึ้นตีไหล่เขาเบาๆ ด้วยความเขินอาย“พูดอะไรออกมาน่ะ ท่านพ่อท่
ในท้องพระโรง บรรยากาศเคร่งขรึมและตึงเครียด แม้สถานการณ์โรคระบาดจะสงบลงแล้ว แต่การสอบสวนถึงต้นตอของเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง ฝ่าบาทประทับเหนือบัลลังก์ หน้าตาเคร่งขรึม ขุนนางฝ่ายโยธา แพทย์หลวง และแม่ทัพฝ่ายตรวจการผลัดกันยื่นรายงานเสียงฝีเท้าหนักแน่นของแม่ทัพเวยกังดังขึ้นก่อนเขาจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์ ทหารคนสนิทนำม้วนรายงานเข้าถวาย“กระหม่อม เวยกัง ขอกราบทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมได้ตามสืบตามแนวทางที่ทรงรับสั่งเกี่ยวกับผู้แพร่เชื้อรายแรกในตุนโจว ผลจากการสอบถามชาวบ้านและติดตามร่องรอย พบว่ามีชายแซ่หลิวผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านท้ายเมืองเป็นบุคคลต้องสงสัย”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“แต่พบว่าชายผู้นั้นไม่ใช่คนท้องถิ่น และได้ฆ่าตัวตายแล้วก่อนหน้านี้ ทิ้งไว้เพียงจดหมายหนึ่งฉบับ”เสียงในท้องพระโรงเงียบสนิท ทหารถวายจดหมายนั้นให้แก่ขันทีหลวง ก่อนจะส่งต่อขึ้นไปจนถึงพระหัตถ์ของฮ่องเต้ พระองค์ทอดพระเนตรครู่หนึ่งแล้วให้ขันทีอ่านออกเสียงอย่างช้าๆ“ข้าผิดไปแล้ว ข้าเพียงน้อยใจในโชคชะตา ที่ไร้คน