แสงจันทร์สีเงินนวลทอดผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาในห้องนอนกว้างขวางของเพนท์เฮาส์ยามวิกาล บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของ ซูหลิง ที่ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในความว่างเปล่า เธอพลิกตัวไปมาบนเตียงขนาดคิงไซส์ พยายามข่มตาหลับแต่ก็ไร้ผล ภาพใบหน้าของ หลงเฟย วนเวียนอยู่ในหัว ดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยอำนาจและรอยยิ้มเย้ยหยันยังคงตามหลอกหลอน
กว่าสองวันแล้วที่เธอถูกกักขังอยู่ในกรงทองแห่งนี้ ทุกนาทีคือความทรมานทางจิตใจ เธอรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องตลอดเวลา แม้จะไม่มีใครอยู่ในห้อง แต่ความรู้สึกไร้อิสรภาพนั้นหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก อาหารที่จัดเตรียมอย่างดีถูกแตะต้องเพียงเล็กน้อย เธอนอนไม่หลับอย่างรุนแรง ดวงตาคล้ำลง และผิวพรรณที่เคยสดใสก็ดูซีดเซียวลงไปบ้าง แต่กระนั้นความสวยก็ยังไม่จืดจาง ความมุ่งมั่นในการแก้แค้นยังคงอยู่ แต่ร่างกายของเธอกำลังส่งสัญญาณประท้วงถึงความอ่อนล้า
เสียงคลิกเบาๆ ที่ประตูห้องนอนทำให้ซูหลิงสะดุ้งสุดตัว เธอหันขวับไปมอง ประตูไม้เนื้อดีเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของหลงเฟยในกรอบประตู แสงไฟจากโถงทางเดินสาดเข้ามาจากด้านหลัง ทำให้ใบหน้าของเขาดูมืดมิดและน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก เขาก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ ประตูถูกปิดลงโดยไม่มีเสียงใดๆ ราวกับเขามีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่งในอาณาเขตแห่งนี้
หลงเฟย ยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง เขาสูงใหญ่กำยำราวกับเทพบุตรกรีก เส้นผมสีดำสนิทถูกเสยขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เผยให้เห็นใบหน้าคมคายที่หล่อเหลาราวเทพสลัก จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักลึกที่มักจะแย้มรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาของเขาเป็นสีรัตติกาลที่ลึกไร้ก้นบึ้ง มันทั้งคมกริบและเย็นชา แต่ยามจ้องมองกลับแฝงไว้ด้วยประกายความปรารถนาที่ยากจะอ่านออกได้ เขาสวมเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีดำที่เปิดกระดุมสองสามเม็ดด้านบน เผยให้เห็นแผงอกกว้างและมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผิวของเขาเป็นสีแทน บ่งบอกถึงการใช้ชีวิตกลางแจ้งหรือกิจกรรมที่ท้าทาย
ซูหลิงรู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเยียบลงทันที หัวใจเต้นระรัวระส่ำจนเจ็บซี่โครง สัญชาตญาณบอกให้เธอหนี แต่ร่างกายของเธอกลับแข็งทื่อราวกับถูกสาป เธอพยายามรวบรวมสติและปั้นสีหน้าให้ดูแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าริมฝีปากของเธอกลับสั่นระริกเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขา กลิ่นบุหรี่ซิการ์ชั้นดีที่ผสมผสานกับน้ำหอมผู้ชายราคาแพง กลิ่นที่บ่งบอกถึงอำนาจและความอันตราย
หลงเฟยไม่พูดอะไร เขาเดินตรงมาที่เตียงนอนที่ซูหลิงนั่งอยู่บนขอบเตียง เขาไม่ได้เข้ามาใกล้ในทันที แต่หยุดยืนอยู่ปลายเตียง จ้องมองเธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา เป็นสายตาที่ซูหลิงไม่เคยเห็นมาก่อน มันไม่ใช่สายตาที่เย้ยหยัน ไม่ใช่สายตาที่ดูถูก แต่เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความใคร่... และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกเปลื้องผ้าอีกครั้ง
"ไม่คิดว่าจะเจอเธอนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้" เสียงทุ้มต่ำของหลงเฟยแหบพร่าเล็กน้อย มันไม่ใช่เสียงที่ดุดันอย่างที่เธอเคยได้ยิน แต่กลับนุ่มลึกอย่างประหลาด มันทำให้ซูหลิงรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งร่างอย่างห้ามไม่ได้
"ฉันไม่ได้รอคุณ" ซูหลิงตอบเสียงห้าว พยายามใส่ความกล้าหาญเข้าไปในน้ำเสียงของตัวเอง "ฉันแค่นอนไม่หลับ"
หลงเฟยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาดูน่าอันตรายแต่ก็แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ร้ายกาจ "โกหกไม่เนียนเลยนะ ซูหลิง" เขาค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้เตียงทีละก้าว แต่ละย่างก้าวของเขาราวกับเสียงกลองที่กำลังบีบคั้นหัวใจของซูหลิงจนแทบหยุดเต้น "ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่... และฉันก็รู้ว่าเธอต้องการอะไร"
"ฉันไม่ต้องการอะไรจากคุณทั้งนั้น" ซูหลิงพูดเสียงแข็ง แต่เสียงกระซิบของหลงเฟยที่บอกว่า 'ตอนนี้เธอเป็นของฉันแล้ว' ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท มันคือคำประกาศสิทธิ์ที่เธอไม่มีทางปฏิเสธได้
หลงเฟยหยุดยืนอยู่ข้างเตียง มือหนาของเขาเอื้อมมาแตะที่ปลายคางของซูหลิงอย่างแผ่วเบา สัมผัสของเขาทำให้ซูหลิงสะดุ้ง แต่เธอก็ไม่กล้าปัดป้อง เขายกปลายคางของเธอขึ้นช้าๆ ให้ดวงตาของเธอสบกับดวงตาคมกริบของเขาโดยตรง
"คืนนี้... เธอจะเข้าใจว่าการเป็น 'ของฉัน' นั้นหมายถึงอะไร" เสียงของเขาเป็นคำประกาศิตที่ซูหลิงไม่อาจโต้แย้งได้เลย ราวกับเขาเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของเธอไว้ทั้งมวล
ก่อนที่ซูหลิงจะได้ทันตั้งตัว หลงเฟยก็โน้มตัวลงมา ริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาบดเบียดเข้ากับริมฝีปากอิ่มของเธออย่างรวดเร็วและเร่าร้อน ซูหลิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอดิ้นรนขัดขืน มือเรียวยกขึ้นพยายามจะผลักแผงอกแข็งแกร่งของเขาออกไป แต่กลับถูกโอบรัดไว้แน่นกว่าเดิม
จูบของเขาไม่ได้อ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความดุดัน ความต้องการครอบครอง และแรงปรารถนาที่รุ่มร้อนอย่างที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาบดขยี้ริมฝีปากเธออย่างดูดดื่ม ลิ้นร้อนของเขารุกล้ำเข้ามาในโพรงปาก กวาดต้อนสำรวจทุกซอกทุกมุมอย่างเร่าร้อน สัญชาตญาณภายในของซูหลิงกรีดร้องให้ต่อต้าน แต่ร่างกายของเธอกลับสวนทาง ความร้อนจากกายของเขาแผ่ซ่านเข้ามาในกายของเธอ ปลุกเร้าความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟเผาผลาญ ความหวานล้ำจากจูบของเขาคือยาพิษที่กำลังแพร่ซ่านเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้สติของเธอเลือนราง
มือหนาของหลงเฟยเลื่อนลงมาโอบรัดเอวคอดกิ่วของเธอ ดึงรั้งร่างบอบบางให้แนบชิดกับกายของเขามากขึ้น ซูหลิงสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของมัดกล้ามเนื้อใต้เสื้อเชิ้ตที่เขาเพิ่งสวมมา เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านมาจากร่างกายของเขา มันร้อนแรงจนเธอรู้สึกเหมือนกำลังจะหลอมละลาย เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าร่างกายของเธอกำลังตอบสนองต่อสัมผัสของเขาอย่างไม่เต็มใจนัก ลมหายใจของเธอเริ่มหอบถี่ขึ้น
เมื่อเขาผละจูบออก ใบหน้าของซูหลิงแดงก่ำ ดวงตาพร่าเลือนด้วยความสับสนและอารมณ์ที่ปั่นป่วน เธอหอบหายใจอย่างแรง หลงเฟยมองรอยจูบช้ำๆ บนริมฝีปากของเธอด้วยแววตาพึงพอใจ ก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วหยาบกร้านไปลูบไล้เบาๆ ที่พวงแก้มเนียนใส
"ร่างกายของเธอนี่ตอบสนองฉันหมดเลยนะ" เขาเอ่ยเสียงพร่า ดวงตาคมกริบไล่มองสำรวจไปทั่วใบหน้าสวยหวานที่กำลังแดงก่ำของเธอ ก่อนจะเลื่อนลงไปหยุดอยู่ที่ลำคอระหง และเนินอกอิ่มที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
มือของเขาเลื่อนลงมาปลดกระดุมชุดนอนผ้าซาตินของเธอออกอย่างช้าๆ ทีละเม็ด ซูหลิงพยายามปัดป้อง แต่มือของเขากลับรวดเร็วกว่า ผ้าซาตินเนื้อนุ่มค่อยๆ เผยให้เห็นผิวขาวเนียนละเอียดภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามา หลงเฟยจ้องมองร่างของเธอด้วยสายตาหิวโหยราวกับนักล่าที่เจอเหยื่ออันโอชะ และในที่สุด ชุดนอนก็ร่วงหล่นลงไปกองอยู่ที่ปลายเท้าของเธอ เผยให้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าที่งดงามภายใต้แสงจันทร์สลัวๆ ของห้องนอน
ซูหลิงรู้สึกเหมือนถูกกระชากลมหายใจ เธอพยายามยกมือขึ้นปิดบังเรือนร่าง แต่หลงเฟยกลับคว้าข้อมือของเธอไว้แล้วจับมันตรึงไว้เหนือศีรษะ ร่างของเขาโน้มลงมา ใบหน้าคมคายอยู่ห่างจากใบหน้าของเธอเพียงคืบ ดวงตาคมกริบของเขาทอประกายร้อนแรง
"ไม่ต้องอาย... ตอนนี้ทุกส่วนในร่างกายของเธอเป็นของฉันแล้ว" เสียงกระซิบของเขาแผ่วเบา แต่กลับก้องกังวานในโสตประสาทของซูหลิง ราวกับคำสาปที่ไม่มีวันคลาย
ก่อนที่ซูหลิงจะได้ทันได้พูดอะไร หลงเฟยก็ก้มลงมา จุมพิตไปทั่วลำคอระหงอย่างดูดดื่ม ไล่ลงมาตามซอกคอและไหปลาร้า ปากของเขาดูดเม้มสร้างรอยแดงช้ำไปทั่วอย่างจงใจ มือหนาของเขาบีบเคล้นสะโพกงอนงาม ก่อนจะเลื่อนต่ำลงไปอีก สัมผัสที่เร่าร้อนของเขาทำให้ซูหลิงรู้สึกราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่าง จนเธอเผลอร้องครางออกมา "อื้อ.." เธอรู้สึกอับอาย เจ็บปวด แต่ในเวลาเดียวกัน ร่างกายของเธอกลับร้อนรุ่มไปหมด เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ ใบหน้าของเธอเห่อร้อนผ่าว น้ำตาเม็ดเล็กๆ คลอรื้นอยู่ในดวงตาคมคู่สวย เธอพยายามกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงครางที่กำลังจะหลุดออกมา
"อ้า..." เสียงครางต่ำๆ หลุดออกจากลำคอของซูหลิงอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อริมฝีปากของหลงเฟยไล้ลงมาถึงเนินอกอิ่ม เขาดูดดึงเม้มยอดอกสีระเรื่ออย่างหิวกระหาย สัมผัสของเขาทำให้ซูหลิงบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน ทุกสัมผัสของเขาคือมีดที่กรีดแทงหัวใจเธอซ้ำๆ ยิ่งร่างกายตอบสนองมากเท่าไหร่ ความเกลียดชังในตัวเองก็ยิ่งเพิ่มพูน... เธอเกลียดที่ร่างกายของเธอทรยศต่อจิตใจที่มุ่งมั่นจะแก้แค้น เธอไม่อาจต้านทานแรงปรารถนาที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในร่างกายได้อีกต่อไป แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าต้องต่อต้าน ต้องเกลียดชังเขา แต่ร่างกายของเธอกลับทรยศ มันตอบสนองต่อสัมผัสของเขาอย่างตรงไปตรงมา
หลงเฟยคลอเคลียอยู่บนร่างของเธอ ปลุกเร้าอารมณ์ให้ซูหลิงรู้สึกร้อนรุ่มจนแทบจะทนไม่ไหว ความเร้าใจที่เขาปลุกปั่นขึ้นมาทำให้เธอรู้สึกทั้งร้อนรุ่มและหิวกระหายอย่างประหลาด ราวกับร่างของเธอต้องการการปลดปล่อยอย่างรุนแรง เขายกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินเสียงครางของเธอ ก่อนจะก้มลงจูบซับที่หน้าผาก ขมับ ปลายจมูก และริมฝีปากที่บวมเจ่อของเธออีกครั้ง อย่างดูดดื่มและเนิบนาบกว่าเดิม
“ยอมจำนนซะ...ซูหลิง” เสียงเขาต่ำพร่า แหบสั่นด้วยแรงอารมณ์ที่พยายามกักเก็บ
ในคืนนั้น... ภายใต้แสงจันทร์สีเงินยวงที่สาดส่องผ่านหน้าต่างและแสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียง บรรยากาศภายในห้องถูกปกคลุมด้วยความเร่าร้อนที่ไม่อาจยับยั้ง เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังระรัวประสานไปกับเสียงเสียดสีของผ้าปูที่นอนเนื้อดีที่ยับยู่ยี่ หลงเฟยคุกเข่าอยู่ระหว่างเรียวขาของซูหลิง จ้องมองดวงตาที่พร่าพรายไปด้วยหยาดน้ำตาและแรงปรารถนาของเธอ ร่างกายของเขาเป็นเสมือนเทพเจ้าที่ทรงอำนาจ ซูหลิงได้แต่นอนราบอยู่บนเตียง ยอมจำนนต่อแรงปรารถนาที่เขาเป็นผู้จุดไฟขึ้นมา มันคือความรู้สึกแปลกใหม่ที่เธอยอมรับว่าไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป
เมื่อหลงเฟยเริ่มขยับกายเข้าหา ความเจ็บปวดแรกที่แล่นปราดไปทั่วร่างของซูหลิงไม่ได้ทำให้เธอกรีดร้อง แต่กลับเป็นเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่พยายามกลั้นไว้ หลงเฟยยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อแท่งเนื้อใหญ่ได้สัมผัสถึงร่องรอยแห่งพรมจรรย์ที่เขาเป็นผู้ช่วงชิง มันคือชัยชนะอันหอมหวานที่ทำให้เขาพอใจอย่างที่สุด ซูหลิงขยุ้มผ้าปูที่นอนแน่นเพื่อระบายความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามา ทั้งความเจ็บปวด ความสับสน และความเร้าใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ
เมื่อหลงเฟยพาน้องชายดันไปจนสุด จนซูหลิงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด "อย่า....อ๊าาาาา....."
"ทนหน่อยนะซูหลิง เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว" หลงเฟยเอ่ยและเริ่มขยับตัวอย่างเชื่องช้า เพื่อให้ซูหลิงได้ปรับตัวเข้ากับความรู้สึกใหม่ที่เกินกว่าจะบรรยาย แม้จิตใจจะสั่งให้เกลียดชัง แต่ร่างกายกลับถูกควบคุมโดยเขาอย่างสมบูรณ์ ความรู้สึกนั้นเหมือนเธอกำลังจมดิ่งสู่ห้วงมหาสมุทรที่มืดมิด ไร้หนทางกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ มันทั้งน่ากลัวและน่าหลงใหลในเวลาเดียวกัน
หลงเฟยมองดูอาการตอบสนองของเธออย่างเพลิดเพลิน ใบหน้าของซูหลิงเหยเกด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเประหว่างความเจ็บปวดและความสุขสมที่เกินจะทานทน เขายิ่งเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นและลึกขึ้นเพื่อปลุกเร้าความรู้สึกที่ซ่อนเร้นของเธอให้ปะทุขึ้นมาอย่างเต็มที่ ซูหลิงร้องครางออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป "อ๊ะ...อ๊าาาาา"
"ร้องออกมาซูหลิง" หลงเฟยกระซิบชิดริมฝีปากของเธอด้วยเสียงแหบพร่า "ร้องดังๆ"
ในที่สุด...ร่างกายของซูหลิงก็กระตุกเกร็งอย่างแรง เธอร้องออกมาสุดเสียงก่อนที่ร่างจะอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว ร่างกายของเธอถึงขีดสุดของความสุขสมอย่างที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
หลงเฟยยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้เห็นการตอบสนองที่เกินความคาดหมายของซูหลิง เขากระแทกกายสวนขึ้นไปอีก 2-3 ครั้ง ก่อนที่ร่างกายของเขาจะแข็งเกร็ง และพ่นพิษรักเข้าไปในตัวเธอจนหมดสิ้น "อ๊าาาา" เสียงของหลงเฟยดังไม่แพ้กัน เขาค่อยๆโน้มตัวลงกอดร่างของซูหลิงไว้แนบอก พรึงพรมจูบไปที่เส้นผมของเธอ
ดวงตาของเธอฉ่ำไปด้วยน้ำตาแห่งความสุขสมที่มาพร้อมกับความเจ็บปวด เสียงของเธอนั้นคือบทเพลงที่เขาหลงใหลที่สุด มันคือเสียงแห่งการยอมจำนนที่เขาเฝ้ารอคอยมาตลอด
นี่ไม่ใช่จุดจบ... แต่มันคือจุดเริ่มต้นของพันธนาการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และซูหลิงไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ชีวิตของเธอจะถูกหลงเฟยบงการไปในทิศทางใดต่อไป เธอรู้เพียงว่าร่างกายของเธอได้ตกเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว
ซูหลิง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกของมหาสมุทรที่มืดมิด ไร้ทางกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ สายตาของ หลงเฟย ที่จ้องมองมาเมื่อครู่ยังคงตรึงติดอยู่ในความทรงจำ มันเป็นแววตาที่ทั้งน่ากลัวและน่าเย้ายวนใจไปพร้อมกัน คำพูดของเขาที่ว่า "คืนนี้เธอต้องใส่ชุดที่ฉันเลือกไว้ให้" ยังคงก้องอยู่ในหูของเธอราวกับคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เธอใช้ความคิดอย่างหนักในขณะที่เดินไปยังห้องแต่งตัวอย่างเชื่องช้า ซูหลิงรู้ดีว่าเธอไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของหลงเฟยได้ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ เธอจึงเลือกที่จะเปลี่ยนชุดด้วยตัวเองเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ถูกบังคับให้ทำอะไรตามที่เขาต้องการทั้งหมด เธอก้าวเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างเงียบเชียบและใช้เวลาในการพิจารณาเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ภายในตู้ในตู้เสื้อผ้ามีชุดราตรีมากมายหลายแบบ ทั้งชุดที่เรียบร้อยและชุดที่เซ็กซี่เกินกว่าที่เธอจะกล้าใส่ เธอจ้องมองไปที่ชุดเดรสที่หลงเฟยเลือกไว้ให้ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ชุดอื่นเพื่อค้นหาชุดที่เหมาะสมกว่าสุดท้าย เธอก็พบชุดที่ถูกใจ เป็นชุดเดรสผ้าไหมสีชมพูอ่อนที่ดูเรียบง่ายแต่กลับให้ความรู้สึกหรูหรา ซูหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
รุ่งเช้าของอีกวัน ซูหลิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความอ่อนล้าทั้งทางกายและใจ แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศในห้องสดใสขึ้นเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเธอยังคงระบมจากค่ำคืนที่ผ่านมา รอยจูบและรอยแดงช้ำปรากฏอยู่ทั่วผิวเนื้อขาวเนียนราวกับหลักฐานการถูกครอบครองที่ไม่อาจลบเลือนได้หลงเฟยจากไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขามักจะหายตัวไปอย่างเงียบเชียบเสมอ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกายและรอยประทับที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำและบนร่างกายของเธอ แม้จะรู้สึกขยะแขยงตัวเองที่อ่อนไหวต่อสัมผัสของเขา แต่ลึกๆ แล้ว ซูหลิงก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไปก่อตัวขึ้นในใจ มันทั้งน่ากลัวและน่าสับสนหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย ซูหลิงเดินไปที่ห้องครัว อาหารเช้าถูกจัดเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพเหมือนเช่นเคย เธอพยายามฝืนกินเข้าไปเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังชีวิต สมองของเธอสั่งการให้คิดหาทางออกตลอดเวลา เธอไม่อาจปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่ในความสิ้นหวังได้นานกว่านี้ ความแค้นคือเชื้อเพลิงเดียวที่ทำให้เธอยังคงหายใจอยู่ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปไม่กี่ไมล์ ณ อาคารสำนักงานใจกลางเมือง หลงเฟยกำลังนั่งอ
รุ่งเช้ามาเยือนพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กายของ ซูหลิง แสงแดดอ่อน ๆ เล็ดรอดผ้าม่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย ทำให้ห้องนอนยังคงอยู่ในบรรยากาศสลัว ๆ ซูหลิงขยับตัวช้า ๆ ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่างกาย บ่งบอกถึงค่ำคืนอันยาวนานที่ผ่านมา เธอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเป็นห้วงเวลาที่ร่างกายของเธอถูกครอบครองอย่างสมบูรณ์เธอหันมองไปยังที่ว่างข้างกาย หลงเฟย หายไปแล้ว ไม่มีร่องรอยของการมีอยู่ของเขา ยกเว้นความรู้สึกราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ในกายของเธอ และรอยแดงช้ำจาง ๆ ตามผิวเนื้อที่บอบบาง ความรู้สึกโล่งใจเพียงชั่วครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยความอ้างว้างและเคว้งคว้างอย่างประหลาด เธอเกลียดที่ร่างกายของตัวเองตอบสนองต่อเขา แต่ลึก ๆ แล้ว เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสัมผัสของเขา... เร้าใจอย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ซูหลิงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก เธอเดินโซซัดโซเซไปยังห้องน้ำขนาดใหญ่ สายตาจับจ้องไปที่ภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ ดวงตาคู่สวยยังคงฉายแวววาวของความดื้อรั้น แต่รอบดวงตานั้นคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อจากการจูบอย่างเร่าร้อนเมื่อคืน รอยแดงช้ำบนผิวขาวเนียนคือหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึ
แสงจันทร์สีเงินนวลทอดผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาในห้องนอนกว้างขวางของเพนท์เฮาส์ยามวิกาล บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของ ซูหลิง ที่ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในความว่างเปล่า เธอพลิกตัวไปมาบนเตียงขนาดคิงไซส์ พยายามข่มตาหลับแต่ก็ไร้ผล ภาพใบหน้าของ หลงเฟย วนเวียนอยู่ในหัว ดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยอำนาจและรอยยิ้มเย้ยหยันยังคงตามหลอกหลอนกว่าสองวันแล้วที่เธอถูกกักขังอยู่ในกรงทองแห่งนี้ ทุกนาทีคือความทรมานทางจิตใจ เธอรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องตลอดเวลา แม้จะไม่มีใครอยู่ในห้อง แต่ความรู้สึกไร้อิสรภาพนั้นหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก อาหารที่จัดเตรียมอย่างดีถูกแตะต้องเพียงเล็กน้อย เธอนอนไม่หลับอย่างรุนแรง ดวงตาคล้ำลง และผิวพรรณที่เคยสดใสก็ดูซีดเซียวลงไปบ้าง แต่กระนั้นความสวยก็ยังไม่จืดจาง ความมุ่งมั่นในการแก้แค้นยังคงอยู่ แต่ร่างกายของเธอกำลังส่งสัญญาณประท้วงถึงความอ่อนล้าเสียงคลิกเบาๆ ที่ประตูห้องนอนทำให้ซูหลิงสะดุ้งสุดตัว เธอหันขวับไปมอง ประตูไม้เนื้อดีเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของหลงเฟยในกรอบประตู แสงไฟจากโถงทางเดินสาดเข้ามาจากด้านหลัง ทำให้ใบหน้าของเขาดูมืดมิดและน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก เขาก้าว
หลังจากค่ำคืนที่แสนเลวร้ายในงานประมูล ซูหลิง ถูกพาตัวมายังเพนท์เฮาส์สุดหรูใจกลางมหานคร สิ่งปลูกสร้างระฟ้าที่ทิ่มแทงท้องฟ้าเบื้องบนราวกับจะเสียดทะลุเมฆหมอก ตัวตึกสูงเสียดฟ้าถูกตกแต่งด้วยกระจกสีดำทมิฬสะท้อนแสงไฟระยิบระยับของเมืองยามราตรี มันเป็นเพนท์เฮาส์ที่กว้างขวางโออ่าจนน่าตกใจ ทุกตารางนิ้วถูกประดับประดาด้วยงานศิลปะล้ำค่า ของตกแต่งราคาแพงระยับ และเฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษจากต่างประเทศ พื้นหินอ่อนมันวาวสะท้อนเงาของโคมไฟคริสตัลระยิบระยับ ฝาผนังประดับด้วยภาพวาดของจิตรกรชื่อดังระดับโลก หน้าต่างบานใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานเผยให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองทั้งเมืองที่สว่างไสวราวกับดวงดาวบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำแต่ความงดงามเหล่านี้กลับไม่สามารถบดบังความรู้สึกอึดอัดและโดดเดี่ยวที่กัดกินหัวใจซูหลิงได้เลย นี่ไม่ใช่บ้าน แต่มันคือกรงทองที่งดงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น เธอถูกกักขังอยู่ในนั้นโดยไร้อิสรภาพใดๆ ซูหลิงไม่เห็นหน้าของ หลงเฟย อีกเลยหลังจากที่เขาประมูลเธอได้เมื่อคืน เขาสั่งให้คนของเขาพาเธอมาที่นี่ และทิ้งเธอไว้เพียงลำพัง เหมือนเธอเป็นเพียงสมบัติชิ้นใหม่ที่เขาสามารถโยนทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ทันทีที่เข้ามาในเพ
ความมืดมิดในห้องขังชั่วคราวถูกแทนที่ด้วยแสงไฟสลัวสีแดงจากโคมระย้าคริสตัลเมื่อบานประตูเหล็กเปิดออก เสียงเสียดสีของบานพับโลหะดังเอี๊ยดอ๊าดบาดแก้วหู พลันปรากฏร่างสูงใหญ่ของ หลงเฟย ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ซูหลิง ใบหน้าคมคายของเขาฉาบด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ซูหลิงรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ แม้ว่าในห้องจะเย็นเฉียบอยู่แล้ว"ตื่นแล้วหรือ...แม่หนูน้อยนักสืบ" เสียงทุ้มต่ำของหลงเฟยเอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย เขาก้าวเข้ามาใกล้ ร่างของซูหลิงถอยร่นไปติดผนังเย็นเฉียบ เธอพยายามรวบรวมสติและปั้นสีหน้าให้ดูแข็งกร้าวที่สุด"คุณต้องการอะไร?" ซูหลิงถามเสียงห้าว พยายามซ่อนความกลัวที่กำลังบีบรัดหัวใจ เธอกัดฟันแน่นจนกรามเป็นสัน เธอรู้ว่าการแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขาจะนำมาซึ่งหายนะ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เขาได้ใจและขยี้เธอให้จมดินได้ง่ายขึ้นหลงเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนการคำรามของสัตว์ร้ายจากส่วนลึกของป่าอันตราย"สิ่งที่ฉันต้องการ... เธอจะรู้เองในไม่ช้า และรับรองว่ามันจะทำให้เธอจดจำไปชั่วชีวิต" เขาไม่รอให้ซูหลิงตอบกลับเขาสะบัดมือเล็กน้อย พลันลูกน้องสองคนก็ก้าวเข้ามาในห้อง แต่ละคนร่างใหญ่เท่าหมีป่า ดว