แสงแรกของอรุณเพิ่งสาดส่องบนนภา เจินเจินที่ปรากฏตัวเข้ามาในเรือนไม้ก็ค้อมตัวพลางรายงานว่า "เมื่อครู่คนของพระชายากู่มาเชิญพระชายาให้ไปหาเพคะ เห็นว่าให้ไปรอพบกันที่ศาลาเหลียนฮวา""ยามใด""ตอนนี้เลยเพคะ""เช้าขนาดนี้?" เจียงเยี่ยนฟางเลิกคิ้วมองคนด้านหลังผ่านกระจก มือก็ยกขึ้นสวมผ้าปิดหน้าไปด้วย "หรือจะให้ข้าไปดูนางกับท่านอ๋องพลอดรักกันอีก"เจินเจินรีบส่ายหน้าพลางขยับเข้าไปช่วยอีกฝ่ายหวีผม "เวลานี้ท่านอ๋องทรงเล่นหมากล้อมอยู่กับท่านหงเปาเพคะ""น่าแปลกยิ่งนัก นึกว่าจะขาดกันไม่ได้เสียอีก..." กล่าวมาถึงตรงนี้เจียงเยี่ยนฟางก็เงียบไป เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "ธรรมเนียมปฏิบัติของวังหลวง เหล่าสนมต่างมีตำหนักเป็นของตนเอง ในส่วนของข้าก็พอเข้าใจได้ แต่ข่าวลือเกี่ยวกับท่านอ๋องของเจ้าที่ข้าเคยได้ยินชาวบ้านเล่ามา ต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกับวังหลวงแล้ว ถึงได้มาตั้งจวนแห่งนี้... เหตุใดถึงยังต้องแยกเรือนนอนกับกู่เยว่ชิงอีก" เท่าที่เจียงเยี่ยนฟางสังเกตมา คล้ายว่ากู่เยว่ชิงจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่เรือนอี้ เพราะเมื่อวานของตกแต่งในเรือนอี้ที่นางเห็นออกจะดูสุขุมเย็นชาสมกับเป็นห้องของเซียวลี่หยางไม่มีผิด ดูไม่เหมือนมีสตรีอาศั
"มิใช่เพคะ เพียงแต่ เพียงแต่... น้ำแกงเค็มไปหน่อยก็เท่านั้น" กู่เยว่ชิงเอ่ยเบาแสนเบา คล้ายว่ากลัวจะทำให้เจียงเยี่ยนฟางเสียใจ เอ่ยจบแล้วก็รับน้ำชาจากจูหลิงมาดื่มกลบรสเค็มในปากเซียวลี่หยางได้ฟังก็รีบหันมองเจียงเยี่ยนฟางด้วยสายตาไม่พอใจ "เจ้าจงใจ?""...ขออภัยเพคะ หม่อมฉันคงหนักเกลือไปหน่อย" เจียงเยี่ยนฟางกลับเอ่ยเสียงเรียบ หลงลืมดัดเสียงไปเสียแล้ว เพราะกำลังนึกทวนอะไรบางอย่างอยู่"เรื่องแค่นี้เจ้าก็ยังทำไม่ได้ ตระกูลฟู่ดูแลเจ้าได้ดียิ่งนัก เรื่องงานครัวคงไม่เคยให้เจ้าต้องนำมาใส่ใจ" เซียวลี่หยางเพียงกล่าวไปตามเนื้อผ้า ในเมื่อคนด้านนอกรู้เพียงว่าเจียงเยี่ยนฟางถูกส่งไปอยู่ตระกูลฟู่ เขาก็จะไม่พูดความจริงเรื่องที่ได้รู้มา"พี่ลี่หยาง ไม่เป็นไรเพคะ เรื่องนี้น้องหญิงเจียงคงไม่ถนัด ไว้วันหลังค่อย ๆ เรียนรู้ไปก็ยังไม่สาย" กู่เยว่ชิงยื่นมือออกไปในคราแรก ดูคล้ายลังเลที่จะจับเซียวลี่หยาง แต่สุดท้ายก็ใช้สองมือเรียวเล็กอันอ่อนนุ่มเกาะแขนอีกฝ่ายไว้ให้เขาใจเย็นลง"เช่นนั้นก็ไปทำจนกว่าจะกินได้ นางขาดตกเรื่องมารยาทหลังเข้าจวนมา ก็ต้องให้ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง" เซียวลี่หยางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับริมฝีปากให้
หลังจากวันนั้นที่เจียงเยี่ยนฟางสลบไปในเรือนตง นางก็ไม่ได้ถูกกักบริเวณอย่างเดิมอีก เจินเจินกล่าวว่านางสามารถออกไปด้านนอกได้ แต่ต้องพาเจินเจินไปด้วย และออกได้แค่ทางประตูหลังเท่านั้น แถมยังไม่ลืมย้ำว่าห้ามให้คนภายนอกรู้ว่านางเป็นใครอีกด้วยดังนั้นหลายวันที่ผ่านมา เจียงเยี่ยนฟางก็ไม่เคยอยู่ติดจวนอีกเลย เพราะทุกครั้งที่ออกไปเดินเล่นที่สวน ไม่ก็ตอนจะเดินไปนั่งเล่นที่ศาลากลางสระบัวทีไร นางก็มักจะเจอเซียวลี่หยางกับกู่เยว่ชิงมาแสดงความรักอันหวานชื่นให้เห็นอยู่ทุกคราไป แล้วใครจะอยู่ให้ตนถูกความรักของพวกเขาทิ่มตาบอดกันล่ะ นางคนหนึ่งล่ะที่ไม่ขอทนดูแต่ครั้นเมื่อยิ่งไม่อยากเจอ ก็ยิ่งประสบ! เซียวลี่หยางที่เคยต่างคนต่างอยู่มานาน จู่ ๆ มาวันนี้ก็นึกอยากรังแกนางขึ้นมา เรียกนางให้ไปต้มน้ำแกงรากบัวตุ๋นกระดูกหมูและสมุนไพรจีนให้เขา มิหนำซ้ำยังบอกให้ทำด้วยตนเอง ห้ามให้ใครช่วยอีกด้วย แถมยังใช้ให้ยกไปให้ที่ศาลากลางสระบัวซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากห้องครัวถึงขนาดนั้นอีก!ครั้นพอทำมาส่งแล้ว ผู้ที่ได้กินกลับมิใช่ผู้ที่สั่งทิวทัศน์ของสระบัวที่ถูกดูแลอย่างดีช่างงดงามเกินพรรณนา ทว่าภาพคู่รักนกยวนยาง [1] ที่นั่งข้างกัน
บทที่ 6.1คราแรกยังพอทน"พระชายา ตื่นแล้วหรือเพคะ" หม่าเจินเข้ามาในเรือนไม้หลังเก่าก็พบว่าพระชายารองพระนางใหม่ที่ตนต้องมาดูแลนั้น ได้ตื่นขึ้นมาก่อนแล้ว แถมยังแต่งตัวเรียบร้อยแล้วด้วย"..." เจียงเยี่ยนฟางที่เพิ่งจะสวมผ้าปิดหน้าเสร็จก็หันไปพยักหน้าทักทายสาวใช้ของตนเอง"บ่าวมีนามว่าหม่าเจินเพคะ" หม่าเจินเป็นสตรีตัวสูงเช่นกัน แต่ก็นับว่ายังเตี้ยกว่าเจียงเยี่ยนฟางครึ่งฝ่ามือ รูปร่างของนางดูแข็งแรงกว่าสาวใช้ในบ้านทั่วไปอยู่บ้าง"เช่นนั้นเรียกเจินเจินได้หรือไม่""พระชายาทรงเกรงใจบ่าวแล้ว ไม่ว่าพระชายาจะเรียกอะไรบ่าวก็ยินดีเพคะ""..." เจียงเยี่ยนฟางรู้สึกว่าบ่าวนางนี้สุภาพกับนางเกินไป "เจินเจิน เจ้าคงได้ยินเรื่องที่คนในจวนพูดเกี่ยวกับข้ามาบ้างแล้ว""เพคะ" เจินเจินก้าวเดินมาข้างหน้าอีกนิดเพื่อให้พูดคุยกับอีกฝ่ายได้ถนัดขึ้น"รู้แล้ว..." เจียงเยี่ยนฟางพูดเสียงเบาคล้ายพูดกับตนเอง คิ้วก็เลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดเต็มเสียงกับเจินเจินว่า "รู้แล้ว รู้แล้วแต่ก็ยังเลือกที่จะมารับใช้ข้า หรือเป็นเพราะเจ้าเลี่ยงไม่ได้กันแน่""เป็นบ่าวเลือกมาเองเพคะ"เจียงเยี่ยนฟางพินิจมองใบหน้าที่ก้มต่ำของนาง มือที่บีบแน่
แต่เติ้งอู๋กลับไวยิ่งกว่า เขารวบเอวเจียงเยี่ยนฟางไว้แล้วจับนางมาพิงกาย ครั้นตรวจสอบดูก็พบว่านางสลบจริงไม่ได้แกล้งเล่น จึงหันไปมองหน้าเจ้านาย และพยักหน้าให้หนึ่งที"..." หงเปาแทบไม่อยากเชื่อ สตรีผู้นี้ไม่ใช่หรือไรที่ขู่จะตัดลิ้นผู้อื่นไปให้เป็ดกิน นางจะมากลัวเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร รึก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงแค่การป้องกันตัวของคุณหนูใหญ่เจียงที่หัวเดียวกระเทียมลีบในดงเสือด้วยเติ้งอู๋ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสังหารคน รวมถึงการสืบข่าว แถมยังมองออกว่าใครตายจริงหรือแกล้งตาย ยามนี้หากบอกว่าคุณหนูใหญ่เจียงแกล้งสลบไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่เติ้งอู๋จะโดนตบตาได้"พานางกลับไปส่งที่เรือนของนาง อย่าให้ใครเห็น" เซียวลี่หยางกดตาลงต่ำ ไม่มองนางอีก"พ่ะย่ะค่ะ" เติ้งอู๋รับคำ เขาเก็บดาบเข้าที่ปลอกดาบบนหลัง ก่อนจะช้อนตัวอุ้มสตรีในแขนขึ้นมาบนอกและเดินจากไป รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ยังไม่ทันได้ตัดหัวนักโทษให้คุณหนูใหญ่เจียงดูเพราะตอนแรกท่านอ๋องกับเขานัดแนะกันไว้ว่า จะให้เขาทรมานนักโทษต่อหน้านางให้นางหวาดกลัว หากคุณหนูใหญ่เจียงยังคงปากแข็ง ไม่ยอมปริปากพูดความจริงอีก ก็จะตัดหัวนักโทษเพื่อข่มขู่นางอีกรอบสุดท้ายก็ไม่ท
"ข้าเตรียมบ่าวรับใช้ให้เจ้าแล้ว ต่อไปก็ให้นางดูแลเรื่องทั่วไปให้เจ้า เตรียมอาหารให้เจ้า สิ่งของใดที่จำเป็นก็สั่งให้นางไปจัดหามาให้ จะได้ไม่ต้องลำบากเจ้าออกไปวิ่งวุ่นอยู่นอกจวนด้วยตนเองอีก แต่การลงโทษอย่างไรก็คงต้องทำเหมือนเดิม" เซียวลี่หยางไม่เอ่ยเรื่องที่ต้องการจริง ๆ ก่อน หากแต่กำลังรอดูท่าทางของนาง "เรื่องที่ไม่มีคนนำข้าวไปให้เจ้าเป็นความผิดของทางจวนที่ไม่ทันดูแลเจ้าให้ดี แต่จวนอ๋องของข้าก็ไม่ได้ขัดสนเงินทองถึงขั้นเลี้ยงคนผู้หนึ่งไม่ได้"แม้นในใจของเจียงเยี่ยนฟางจะมองออกถึงความหมายแฝงที่ถูกส่งมา แต่นางก็แสร้งทำทีเป็นตั้งใจฟังอย่างว่าง่าย ไม่ได้แสดงอารมณ์อย่างที่กำลังก่อเกิดภายในใจออกไป เพียงพยักหน้ารับแผ่วเบา ประหนึ่งคำสอนที่ว่า อยู่ในบ้านเชื่อมารดา เมื่อออกเรือนเชื่อสามี เมื่อมีบุตรชาย เชื่อบุตรชายถึงคนพิการผู้นี้จะพูดราวกับนางเป็นคนนอก และไม่คิดจะมอบเรือนทั่วไปให้นางอยู่ให้สมกับตำแหน่งพระชายาพึงมีก็ตามเถอะ แต่เวลานี้นางก็ยังอาศัยอยู่ในเรือนของเขา ใช้ปีกเขาปกป้องตนเอง จึงได้แต่กดข่มอารมณ์ลงไป'จงอยู่ห่างไกลหูไกลตาของเขา' นี่ต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องการจะบอกแต่ขอโทษด้วย นางเองก็คิ