แดดยามสายสาดลอดผ่านไผ่สูงริมชายคา กลิ่นดินชื้นแตะจมูกอ่อน ๆ ขณะที่ไอน้ำค้างยังเกาะอยู่บนปลายใบพืชผัก ซูเหยียนก้มตัวอยู่ในสวนเล็กหลังกระท่อม มือของนางเปื้อนดินเล็กน้อย แต่กลับดูคล่องแคล่วและสง่างาม แม้ชุดของนางจะเป็นเพียงผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีน้ำเงินเข้ม หากแต่ท่วงท่าการก้มถอนผัก วางตะกร้า หรือตรวจต้นใบล้วนบรรจงราวกับการร่ายรำของผู้ผ่านการฝึกศิลปะมาอย่างชำนาญ
สวนของนางไม่ใหญ่ เป็นเพียงแปลงดินแคบ ๆ เรียงชิดแนวไม้ไผ่ และมีรั้วไม้เตี้ย ๆ กั้นรอบ ในแปลงมีทั้งต้นผักชีฝรั่ง กวางตุ้งเขียว ขิงข่า ตะไคร้ และพืชสมุนไพรอีกหลายชนิดที่มักไม่พบในครัวเรือนทั่วไป
นางเอื้อมเด็ดใบโหระพาอย่างระวัง ตรวจดูรากว่านหางจระเข้ แล้วบรรจงใช้มีดปลายแหลมเล็ก ๆ ตัดส่วนที่ใช้ได้เก็บลงตะกร้า ขณะถอนต้นกุยช่าย นางหันไปมองกระท่อมหลังน้อย ริมหน้าต่างยังเปิดไว้ ทำให้นางพอรู้ว่าคนบาดเจ็บยังคงนอนนิ่งอยู่
“ต่อให้เป็นโจรหรือปีศาจก็ตาม.. คนที่เจ็บ ก็ยังต้องหายากินอยู่ดี...” ซูเหยียนถอนหายใจเบา ๆ แสงแดดกระทบใบหน้าด้านข้างของนาง ดวงตาดำขลับของหญิงสาวเปล่งประกายภายใต้ความเงียบ ยากที่ผู้ใดจะรู้ว่าในใจนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
จนกระทั่งในตะกร้าของนางเต็มไปด้วยผักสดและสมุนไพรพอสำหรับหนึ่งวันพอดี เมื่อแน่ใจว่าเก็บครบแล้ว นางก็ยกตะกร้ากลับเข้าในกระท่อมไม้หลังน้อยที่มีกลิ่นสมุนไพรอบอวลไปทั่ว
ซูเหยียนกลับเข้ามาจุดไฟที่เตาอีกครั้ง ควันจาง ๆ ลอยออกจากหม้อดินบนเตาไฟ ราวหมอกยามเช้าคลอเคลียอยู่ตามซอกผนัง นางคัดเลือกสมุนไพรที่ต้องการต้มลงไปในหม้อดิน ก่อยจะก้มหน้าใช้ครกตำรากไม้แห้งอย่างเป็นจังหวะ
เสียงตำดัง ตึก ตึก เป็นจังหวะดั่งท่วงทำนองเพลง แต่หนักแน่น แสดงถึงความชำนาญที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน บนโต๊ะข้างเตา เรียงรายด้วยเครื่องมือไม้ไผ่ ถุงผ้าใบยาสีหม่น และใบจดบันทึกอักษรจีนที่เขียนด้วยพู่กัน ทุกอย่างถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ แสดงถึงนิสัยเจ้าของที่ใส่ใจในรายละเอียด
ชายหนุ่มผู้ยังใช้ชื่อ “เจี่ยเถาอู่” นั่งพิงผนังเงียบ ๆ เขามองนางขณะปรุงยาอย่างตั้งใจ แม้จะดูเหมือนกำลังพักฟื้น ทว่าในใจกลับครุ่นคิดไม่หยุด ซูเหยียนเอียงหูฟังเสียงต้มยา แล้วหรี่ไฟลง นางหยิบสมุนไพรจากตะกร้าอีกชุดมาตัดแต่ง
“เจ้าทำยาเก่ง... เจ้าเป็นหมองั้นหรือ?” หลี่ซวนเอ่ยถาม แต่นางไม่ตอบในทันที กลับบรรจุสมุนไพรลงหม้อใหม่ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าก็เป็นหมอยาของที่นี่มาตลอด ห้าปีแล้ว”
“ชาวบ้านไม่ว่าอะไรงั้นหรือ? ข้าไม่ค่อยได้พบเห็นสตรีใดมีความรู้เช่นนี้”
“แรก ๆ ก็หวาดระแวงอยู่บ้าง แต่เมื่อพวกเขาป่วย แล้วข้ารักษาให้หาย... ก็เริ่มมีคนมาเคาะประตูเรื่อย ๆ” ซูเหยียนพูดพลางเทยาสีเข้มลงในขวดดินเผา มือของนางยังไม่หยุดขยับระหว่างตอบคำถาม “แม่เฒ่าที่เดินไม่ได้กลับมายืนได้ พ่อค้าที่เคยไอเป็นเลือดก็หาย เด็กน้อยที่มีไข้ไม่หยุดก็รอดชีวิต”
หลี่ซวนมองเงาของนางที่ทอดยาวข้างฝาไม้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม
“เจ้าดูไม่เหมือนคนชนบทธรรมดา...”
ซูเหยียนหันกลับมาช้า ๆ สบตาเขา
“เจ้าก็ไม่ใช่โจรธรรมดาเช่นกัน มิใช่หรือ...”
คำตอบของนางไม่ใช่คำตอบ แต่มันเฉียบคมราวกับกระบี่ที่แทงสวนเข้าหัวใจเขาทันที ทำเอาหลี่ซวนหลบตา นางเห็นก็ยิ้มจาง ๆ แล้วเดินไปวางขวดยาไว้บนชั้นไม้
“ยาในหม้อใบนี้ใช้บรรเทาอาการปวด ส่วนยาสมานบาดแผลข้าทำเสร็จแล้ว ข้าจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ กับให้ยาใหม่เจ้าหลังยาในหม้อเย็นแล้ว”
“ขอบใจ...” เขากล่าวเบา ๆ
“อย่าเพิ่งขอบใจ ยังอีกไกลกว่าอาการเจ้าจะหายดี” นางพูดจบก็หันไปเช็ดโต๊ะต่อ ส่วนเขาได้แต่นั่งนิ่ง มองหญิงสาวในแสงสลัว ขณะความสงสัยในใจเริ่มก่อตัวใหญ่ขึ้นทุกวัน
หญิงสาวที่ดูอ่อนโยนแต่กล้าสบตาเขาอย่างไม่หวาดหวั่น
หญิงสาวที่รู้วิชาสมุนไพรลึกซึ้ง และมีฝีมือประหนึ่งหมอจากราชสำนัก
หญิงสาวที่อาจมีอดีตซึ่งลึกเกินกว่าคำว่า “ชาวบ้าน”
ทว่าระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นหน้ากระท่อมไม้
“ท่านหมอหญิง! ท่านหมอหญิง! ได้โปรดช่วยด้วยเถิด!”
ซูเหยียนได้ยินก็วางยาในมือ ก่อนรีบเดินไปเปิดประตู พบว่ามีชายชาวบ้านวัยกลางคนคนหนึ่งแบกเด็กหญิงตัวน้อยอายุราวห้าขวบไว้บนหลัง เด็กมีอาการชัก แขนขาเกร็ง หน้าเขียว ปัสสาวะราด ตาลอย
“นางเริ่มชักเมื่อครู่นี้ ข้ากลัวจะไม่รอด...”
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะผายมือไปยังเสื่อผืนหนึ่งในกระท่อม
“เอาเข้ามาเถิด วางบนนี้”
หลี่ซวนในร่างโจร นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง เขาขยับตัวจะลุกช่วย แต่ก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น ดวงตาเขาจับจ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างนิ่งงัน...
ซูเหยียนจับชีพจรเด็กน้อยสักพัก ก่อนจะเปิดห่อผ้า หยิบเข็มเงินเล่มบางออกมา ขณะเดียวกันก็ใช้สมุนไพรบดกับน้ำร้อน นางจุ่มปลายเข็มลงในน้ำต้มสมุนไพร แล้วกดลงบนจุดลมปราณของเด็กน้อยที่หลังใบหูอย่างแม่นยำ ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ อาการชักของเด็กก็เริ่มทุเลา หายใจสม่ำเสมอขึ้น
“โรคเสียนเจิ้ง ปัจจัยก่อโรคคือธาตุไฟ อาจทำให้เสมหะ หรือเลือดคั่ง ไปส่งผลทำให้หัวใจ ตับ ม้าม ไตทำงานผิดปกติส่งผลไปถึงสมอง ทำให้ชัก แต่ข้าแก้ไขเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็นำสมุนไพรที่ข้าให้ไปรับประทาน อาจจะปรับสมดุลธาตุได้ดีขึ้น”
“ท่านหมอหญิง... ท่านเป็นผู้มีบุญจริง ๆ” ชายชาวบ้านน้ำตาคลอขณะประคองลูกไว้แน่น ก่อนรับถุงสมุนไพรที่ซูเหยียนไปจัด แต่แล้วสายตาของชายผู้นั้นพลันเหลือบไปเห็นหลี่ซวนที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ทำเอาเขาต้องขมวดคิ้วทันที
“ชายผู้นั้น...เป็นใครกัน?”
ซูเหยียนไม่ตอบในทันที นางวางสมุนไพรลงช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“คนเจ็บที่ข้าเก็บได้ข้างลำห้วยวันก่อน ยังไม่ฟื้นดีนัก”
“แต่เขาไม่ใช่ญาติท่านมิใช่หรือ? หรือว่า...” ชายผู้นั้นกล่าว ก่อนที่สายตาเริ่มเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เสียงของเขาสั่นด้วยความลังเล “หญิงสาวอยู่กับชายหนุ่มลำพังในบ้านหลังเดียว นั่นมิใช่เรื่องที่ควร... พวกเรามีกฎเกณฑ์ที่จะลงโทษทัณฑ์หญิงที่พักร่วมชายคาสองต่อสองกับชายที่มิใช่สามีของตน ท่านก็รู้”
ซูเหยียนยังคงนิ่ง ดวงตาของนางไม่หลบ ไม่อธิบาย
“ข้าเพียงทำในสิ่งที่ควรทำ ช่วยคนที่กำลังตาย”
“แต่ผู้คนในหมู่บ้าน... จะคิดอย่างไร?” ชายคนนั้นพูดเบา ๆ ราวกับคำเตือน “ท่านมีชื่อเสียงในฐานะหมอยามานาน ใครก็ต่างรู้จักท่าน ชาวบ้านก็รู้ว่าท่านไม่มีสามี ไม่มีญาติ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้ใหญ่บ้านจะต้องสอบถามแน่ ท่านจะรับบทลงโทษไหวงั้นหรือ?”
“ข้ายินดีตอบทุกคำถาม... แต่ชายคนนี้ ข้าต้องรักษาให้หายก่อน” ซูเหยียนบอก ทว่าชายผู้นำลูกมารักษาไม่ตอบอะไร เขาอุ้มลูกไว้แน่น พยักหน้ารับอย่างอึดอัด
“ข้า...หวังว่าท่านจะตอบคำถามชาวบ้านทุกคนได้” เขาพูด แต่สีหน้าเขายังมีความกังวลเหลืออยู่ขณะเดินออกจากกระท่อม และเมื่อประตูปิดลง ความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง หลี่ซวนมองนางด้วยสายตาใหม่ ไม่ใช่เพียงความชื่นชมในฝีมือเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มมีความรู้สึกผิดแทรกเข้ามา
“ข้า...เป็นต้นเหตุให้เจ้าถูกสงสัย” หลี่ซวนเอ่ยขึ้น ซูเหยียนเดินกลับไปเก็บเข็มในกล่อง นางพูดโดยไม่หันมา
“มิใช่ครั้งแรกที่ข้าถูกสงสัย ถูกครหา และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย...” นางกล่าวจบก็หันกลับมา ดวงตาของนางสงบแต่แข็งกล้า
“ข้าอยากตอบแทนน้ำใจเจ้าเสียจริง” หลี่ซวนกล่าวอย่างกริ่งเกรงหลายอย่างในตัวนาง
“หากวันหนึ่งเจ้าหายดี และออกจากที่นี่ได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ลืมว่ามีคนหนึ่งที่เลือกช่วยเจ้า แม้จะผิดธรรมเนียมของชุมชน และหากเจ้าเสียสละตนเองเพื่อช่วยผู้อื่นเช่นข้า ข้าก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
“น้ำใจของเจ้าช่างประเสริฐนัก ข้าไม่อยากให้เจ้าถูกลงทัณฑ์จากสังคมเพียงเพราะพยายามช่วยข้าเลย” หลี่ซวนบอกกับนางอย่างรู้สึกผิด “ข้าจะหาวิธีปกป้องเจ้าให้ได้เอง”
สองสามวันผ่านไป นับตั้งแต่งานแต่งงานที่เรียบง่ายและเปี่ยมด้วยนัยสำคัญ หลี่ซวนเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาก แม้บาดแผลยังไม่จางหาย แต่เรี่ยวแรงก็มากพอจะเดินเองได้ ซูเหยียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางกลับมาสวมชุดผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน คอเสื้อและแขนเสื้อลายสีแดงและทองเหมือนเดิม ยังนอนในห้องเก็บยาและปรุงสมุนไพร ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการปรุงยา ส่วนหนึ่งนำมาให้หลี่ซวนในคราบเถาอู่ที่กำลังบาดเจ็บ อีกส่วนบรรจุให้ห่อ เหมือนเตรียมไว้สำหรับสถานการณ์ข้างหน้า ราวกับชีวิตนี้ไม่มีเหตุการณ์แต่งงานใด ๆ เกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่ง หลังออกไปเก็บสมุนไพร ปรุงยาเรียบร้อย นางส่งถ้วยยาร้อนให้เขาเช่นเคย แต่แทนที่จะเงียบตามปกติ นางกลับเอ่ยขึ้นเบา ๆ"วันนี้มีประชุมหมู่บ้านที่ลานกลางหมู่บ้าน ข้าเห็นว่าเจ้าควรไปฟังด้วยตัวเอง...""ชาวบ้านยอมให้ข้าไปหรือ?" หลี่ซวนถาม ก่อนจะมองหน้านางอย่างแปลกใจ"ไม่มีใครห้ามเจ้า ตั้งแต่เจ้าเอ่ยว่าจะเป็นสามีของข้า" ซูเหยียนพูดเรียบ ๆ แล้วยิ้มให้ ไม่ใช่เชิงล้อเลียน ไม่ใช่หยอกล้อ"เจ้าจะไปด้วยไหม?" หลี่ซวนถามขึ้น"ไปสิ ข้าต้องนำสมุนไพรที่ปรุง ไปให้ชาวบ้านหลาย ๆ คน" ซูเหยียนบอกกับเขา ก่อนจะนำห่อยาสมุนไพรจำนวนหนึ่งใ
วันรุ่งขึ้นที่ผู้ใหญ่บ้านนัดหมายให้เป็นวันแต่งงานได้มาถึงเสียงฆ้องกลองจากปลายหมู่บ้านดังก้องมาแต่เช้า กลิ่นธูปหอมจาง ๆ ลอยอบอวลมากับลม ขณะที่แสงแดดอ่อนยามรุ่งสาดส่องลอดม่านไม้ไผ่ซูเหยียนยืนอยู่หน้ากระจกไม้เล็ก ๆ ภายในเรือนของตน สวมชุดคลุมผ้าฝ้ายสีแดง พร้อมทั้งผ้าคลุมหน้าที่แม่เฒ่าในหมู่บ้านนำมาให้ คลุมทับเสื้อและกระโปรงสีเขียวด้านใน เชือกคาดเอวถักจากเส้นไหมสีน้ำตาลแดงถูกมัดไว้หลวม ๆ ที่เอว แม้จะไม่ใช่ชุดเจ้าสาวตามธรรมเนียมชาววัง แต่เมื่ออยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวผู้นี้ กลับงามประหลาดจนมิอาจละสายตานางส่องกระจกโดยไม่แต่งเติมใบหน้ามากนัก ร่างกายของนางอบอวลด้วยกลิ่นยาหอมอ่อน ๆ จากตลับไม้เก่า ๆ ซึ่งเคยเป็นของมารดา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย นางก็เดินออกไปยังลานหน้ากระท่อม ที่ซึ่งมีโต๊ะไม้สองสามตัวเรียงกันง่าย ๆ รองรับพิธีแต่งงานที่มิได้ใหญ่โต หลี่ซวนยืนอยู่ที่นั่น ผมยาวถูกมัดไว้ลวก ๆ สวมชุดผ้าหยาบ ๆ ของชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ผู้ใหญ่บ้านนำมาให้ แทนชุดนักโทษที่สวมอยู่แต่แรก แม้จะไม่ได้สภาพดีเท่าไรนัก เพราะผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้เอ็นดูเขามากพอจะให้ของดี ๆ แต่ก็ดีกว่าชุดรุ่งริ่งเปื้อนดินโคลนที่เขาสวมตอ
แดดสายคล้อยเหนือหลังคาฟาง เสียงจั๊กจั่นครางระงมอยู่หลังแนวไม้ไผ่ในยามสายอันเงียบสงบ แต่ภายในกระท่อมหลังน้อย กลับมีคลื่นความกดดันอันมองไม่เห็นแผ่ซ่าน เมื่อเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังก้าวเดินเข้ามา ก่อนจะหยุดลงหน้าประตูไม้ตึง ตึง ตึง“หมอหญิงซูเหยียน เปิดประตูด้วยเถิด ข้า ผู้ใหญ่บ้าน หลินจู้เอง” เสียงผู้มาเยือนดังขึ้นหลังเคาะประตูหลายครั้ง ซูเหยียนเหลือบตามองหลี่ซวนเพียงแวบหนึ่ง ก่อนพับผ้าเช็ดมือ แล้วเดินไปเปิดประตู ทำให้นางพบกับชายสูงวัยร่างสูงใหญ่ ผมหงอกแซมขมับในชุดผ้าฝ้ายสีเขียวเนื้อหนา ยืนอยู่พร้อมชาวบ้านอีกเกือบสิบคนด้านหลัง“ข้าได้ยินว่ามีชายแปลกหน้าอยู่ในเรือนเจ้ามาหลายวันแล้ว” ผู้มาเยือนกล่าว “เจ้าไม่รายงานใคร ทั้งที่ธรรมเนียมของพวกเราระบุชัดว่า หญิงชายไม่ควรอยู่ร่วมเรือน หากมิใช่ญาติหรือสามีภรรยา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หญิงต้องเสียหาย”“เขาเป็นคนบาดเจ็บ ข้าไม่อาจปล่อยเขาให้ตาย” ซูเหยียนตอบโดยไม่หลบสายตา ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ แววตายังแข็งกร้าวราวกับจะเอาโทษให้ได้“แม้เจ้าจะเป็นหมอยา แต่เจ้าก็เป็นหญิงไม่มีสามี ชื่อเสียงของเจ้ามีผลต่อความเชื่อมั่นของหมู่บ้าน ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ ต่อไปชายใดก
แดดยามสายสาดลอดผ่านไผ่สูงริมชายคา กลิ่นดินชื้นแตะจมูกอ่อน ๆ ขณะที่ไอน้ำค้างยังเกาะอยู่บนปลายใบพืชผัก ซูเหยียนก้มตัวอยู่ในสวนเล็กหลังกระท่อม มือของนางเปื้อนดินเล็กน้อย แต่กลับดูคล่องแคล่วและสง่างาม แม้ชุดของนางจะเป็นเพียงผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีน้ำเงินเข้ม หากแต่ท่วงท่าการก้มถอนผัก วางตะกร้า หรือตรวจต้นใบล้วนบรรจงราวกับการร่ายรำของผู้ผ่านการฝึกศิลปะมาอย่างชำนาญสวนของนางไม่ใหญ่ เป็นเพียงแปลงดินแคบ ๆ เรียงชิดแนวไม้ไผ่ และมีรั้วไม้เตี้ย ๆ กั้นรอบ ในแปลงมีทั้งต้นผักชีฝรั่ง กวางตุ้งเขียว ขิงข่า ตะไคร้ และพืชสมุนไพรอีกหลายชนิดที่มักไม่พบในครัวเรือนทั่วไปนางเอื้อมเด็ดใบโหระพาอย่างระวัง ตรวจดูรากว่านหางจระเข้ แล้วบรรจงใช้มีดปลายแหลมเล็ก ๆ ตัดส่วนที่ใช้ได้เก็บลงตะกร้า ขณะถอนต้นกุยช่าย นางหันไปมองกระท่อมหลังน้อย ริมหน้าต่างยังเปิดไว้ ทำให้นางพอรู้ว่าคนบาดเจ็บยังคงนอนนิ่งอยู่“ต่อให้เป็นโจรหรือปีศาจก็ตาม.. คนที่เจ็บ ก็ยังต้องหายากินอยู่ดี...” ซูเหยียนถอนหายใจเบา ๆ แสงแดดกระทบใบหน้าด้านข้างของนาง ดวงตาดำขลับของหญิงสาวเปล่งประกายภายใต้ความเงียบ ยากที่ผู้ใดจะรู้ว่าในใจนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่จนกระทั่งในตะ
เสียงฝนยังคงโปรยปรายลงมาเบา ๆ บนหลังคาฟางอย่างไม่หยุดหย่อน แสงฟ้าแลบเป็นระลอกสว่างวาบผ่านช่องหน้าต่างไม้ ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเสื่อผืนเก่าในกระท่อม ขาหอบหายใจถี่ ร่างกายเปียกชุ่ม เลือดซึมออกจากบาดแผลกลางหลัง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งยังชุ่มน้ำจนแทบแนบติดผิวเสียงประตูไม้เก่าดังแอ๊ดเบา ๆ หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พร้อมตะเกียงน้ำมันในมือ แสงอุ่นนวลจากเปลวเทียนสะท้อนดวงหน้าของนางอย่างแผ่วเบานางคือหญิงสาวผู้ที่พบร่างเขานอนหมดสติอยู่ข้างลำห้วยริมทุ่งนา ท่ามกลางฝนที่กระหน่ำลงมาในยามค่ำ กระท่อมของนางตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางผืนนาอันเวิ้งว้าง ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีญาติพี่น้อง เป็นอาคารเล็ก ๆ ที่มีเพียงหญิงสาวนางเดียวใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบงันกระนั้น ความเงียบในวันนี้ กลับถูกทำลายโดยเสียงหายใจอันเหนื่อยอ่อนของเขาหญิงสาวนั่งลงข้างตัวชายแปลกหน้า เอื้อมมือบิดผ้าเช็ดร่างเขาอย่างระมัดระวัง น้ำจากผมของเขาหยดลงกับพื้น นางมองด้วยสายตาเรียบสงบ แต่เปี่ยมด้วยความระวังใบหน้าของนางงดงามประหนึ่งภาพเขียนจากฝีแปรงของจิตรกรวังหลวง ผิวเนียนผ่องราวหยกขาว ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย และเมื่อแสงตะเกียงสาดส่องต้อง พ
สายลมปลายฤดูหนาวพัดอย่างรุนแรง ปลิดใบไม้จากกิ่งก้านให้ปลิวว่อนบนผืนแผ่นดินอันเยียบเย็น หิมะโปรยปรายลงบนภูผาใหญ่ สะท้อนกับแสงจันทร์เพ็ญจนแวววาวประดุจอัญมณีทว่าผู้คนเบื้องล่างขุนเขานั้นไม่ได้ว่างพอจะรับชมความงามของมัน เสียงฝีเท้าหนักและ เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารม้าหลวงนับร้อยที่กำลังไล่ตามใครสักคน บอกให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเสพความงามของบรรยากาศ“องค์ชาย! มันหนีขึ้นหน้าผาพะย่ะค่ะ! ม้าของพวกเราตามไปไม่ได้”“ล้อมภูเขานี้เอาไว้! อย่าปล่อยให้มันลอยนวล! ข้าจะไปจัดการมันเอง!” ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าองค์ชาย จ้องมองเหล่าทหารด้วยสายตาอันเด็ดขาด ก่อนจะแหงนมองชายผู้หนึ่งที่ใช้วิชาตัวเบา วิ่งพลาง กระโดดพลาง จนไต่ขึ้นหน้าผาไปไกลองค์ชายผู้นี้มีผิวเนียนกระจ่างดั่งหิมะต้นฤดู ทว่าแฝงความเปล่งปลั่งของโลหิต ด้วยสุขภาพที่ดีจากการฝึกฝนขัดเกลาร่างกายมานาน เส้นผมของเขาดำสนิท เรียงเส้นอย่างมีวินัย เงางามประหนึ่งหมึกสดบนพู่กันของปราชญ์ เกล้าขึ้นครึ่งศีรษะอย่างเรียบง่าย คิ้วของเขาเรียวและเข้ม ใต้คิ้วนั้นคือดวงตาลุ่มลึกเยือกเย็น มีประกายเข้มแข็งแต่ไม่แข็งกร้าว คล้ายอ่านทุกสิ่งทุกอย่าง สันจมูกโด่งรับกับ