วันรุ่งขึ้นที่ผู้ใหญ่บ้านนัดหมายให้เป็นวันแต่งงานได้มาถึง
เสียงฆ้องกลองจากปลายหมู่บ้านดังก้องมาแต่เช้า กลิ่นธูปหอมจาง ๆ ลอยอบอวลมากับลม ขณะที่แสงแดดอ่อนยามรุ่งสาดส่องลอดม่านไม้ไผ่
ซูเหยียนยืนอยู่หน้ากระจกไม้เล็ก ๆ ภายในเรือนของตน สวมชุดคลุมผ้าฝ้ายสีแดง พร้อมทั้งผ้าคลุมหน้าที่แม่เฒ่าในหมู่บ้านนำมาให้ คลุมทับเสื้อและกระโปรงสีเขียวด้านใน เชือกคาดเอวถักจากเส้นไหมสีน้ำตาลแดงถูกมัดไว้หลวม ๆ ที่เอว แม้จะไม่ใช่ชุดเจ้าสาวตามธรรมเนียมชาววัง แต่เมื่ออยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวผู้นี้ กลับงามประหลาดจนมิอาจละสายตา
นางส่องกระจกโดยไม่แต่งเติมใบหน้ามากนัก ร่างกายของนางอบอวลด้วยกลิ่นยาหอมอ่อน ๆ จากตลับไม้เก่า ๆ ซึ่งเคยเป็นของมารดา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย นางก็เดินออกไปยังลานหน้ากระท่อม ที่ซึ่งมีโต๊ะไม้สองสามตัวเรียงกันง่าย ๆ รองรับพิธีแต่งงานที่มิได้ใหญ่โต
หลี่ซวนยืนอยู่ที่นั่น ผมยาวถูกมัดไว้ลวก ๆ สวมชุดผ้าหยาบ ๆ ของชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ผู้ใหญ่บ้านนำมาให้ แทนชุดนักโทษที่สวมอยู่แต่แรก แม้จะไม่ได้สภาพดีเท่าไรนัก เพราะผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้เอ็นดูเขามากพอจะให้ของดี ๆ แต่ก็ดีกว่าชุดรุ่งริ่งเปื้อนดินโคลนที่เขาสวมตอนแรก
ผู้ใหญ่บ้านหลินจู้เป็นผู้นำพิธี เขาเริ่มกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง
"วันนี้เป็นวันมงดลของหมู่บ้านเรา หมอยาซูเหยียน ที่คอยช่วยเหลือพวกเรามานาน ในที่สุดนางก็จะได้มีผู้มาดูแลความปลอดภัย เป็นคู่ชีวิตของนางต่อไปสักที" ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยพลางมองไปทางจ้าวหลี่ซวน
"ชายคนนี้ พวกเราอาจไม่เคยเจอมาก่อน แต่ก็คงคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง พวกทางการเอาประกาศจับมาติดไว้ในศาลาตอนมาเก็บภาษีครั้งก่อน จอมโจรที่ชื่อว่าเจี่ยเถาอู่"
หลี่ซวนว่าจะค้านอะไรบางอย่าง เพราะกังวลว่าผู้ใหญ่บ้านกำลังจะแจ้งเบาะแสให้คนในชุมชนมาจับเขาเอาไปขึ้นค่าหัว ทว่า หลี่ซวนก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ เมื่อคนในชุมชนไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด พวกเขาเพียงหัวเราะ ซุบซิบกันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่มีอาชญากรหนีเข้ามาอยู่ในชุมชนแห่งนี้
"หมู่บ้านนี้ไม่ค่อยถูกชะตากับทางการเท่าไร อยู่ไปสักพักเจ้าจะเข้าใจเอง" เขานึกถึงที่ซูเหยียนบอกกับเขาก่อนวันพิธีจะเริ่ม
"โดยธรรมเนียมแล้ว หญิงสาวจะออกเรือนไปกับชายหนุ่ม ทว่าในกรณีนี้ ฝ่ายชายเป็นคนพเนจร พวกเราจึงเห็นสมควรหากเจ้าบ่าวจะเข้าไปอยู่กับเจ้าสาว คอยดูแลปกป้องนางจากนี้ต่อไป"
หลังผู้ใหญ่บ้านกล่าวแนะนำสักพัก ก็ได้เข้าสู่ขั้นตอนที่เขาเตรียมไว้ให้เจ้าบ่าว เป็นการให้เจ้าบ่าวคุกเข่าลงยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงที่เป็นกำพร้า ส่วนสินสอดทองหมั้นหรือของขวัญแต่งงานนั้นไม่ได้มีอะไร ด้วยความที่ทุกคนเข้าใจว่าเจ้าบ่าวก็เป็นโจรหลบหนี ไม่มีสมบัติใดติดตัวมา
หลังพิธีกรรมยกน้ำชาเสร็จสิ้น ผู้ใหญ่บ้านก็เอ่ยถ้อยคำประกาศให้ชายหญิงอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาโดยสมัครใจ หลี่ซวนในคราบเถาอู่ ยืนอยู่ข้างนางอย่างสงบ และแม้ใบหน้าจะยังมีรอยแผลฟกช้ำเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขากลับนิ่งสงบ น้อมรับชะตาที่ตัวเองเลือกด้วยใจมั่นคง
ความจริงพิธีกรรมแต่งงานทั่วไปอาจมีอะไรซับซ้อนมากกว่านี้ แต่ซูเหยียนขอผู้ใหญ่บ้านให้ลดขั้นตอนและเวลามากที่สุด เพื่อนางจะได้ไม่เสียเวลาปรุงยาไว้ให้ชาวบ้านต่อ ผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่อยากขัดอะไรนางเท่าไรนัก
เมื่อทั้งสองคำนับฟ้า คำนับดิน และคำนับกันและกันจนครบพิธี เจ่าบ่าวก็เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ชาวบ้านพากับปรบมือแสดงความยินดี เสียงไชโยโห่ร้องจากชาวบ้านที่ได้เห็นหมอยาที่รักของพวกเขาได้มีสามีเป็นฝั่งเป็นฝาก็ดังไปทั่ว ซูเหยียนยิ้มให้ชาวบ้านอย่างอบอุ่น ทว่าความอบอุ่นนั้นเป็นเพียงฉากหน้า คล้ายม่านบางที่กั้นความจริงที่เงียบงันอยู่ภายใน
ซูเหยียนไม่ได้มีแววเขินอายที่จะได้ร่วมเรือนหอแบบเจ้าสาวทั่วไป หลี่ซวนเองก็ไม่ใช่เจ้าบ่าวที่กำลังปลื้มปริ่มที่ได้ครองรักกับสาวงาม หากแต่ในสายตาทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอื่น ๆ ที่สามารถเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องเอ่ยคำ
งานเลี้ยงเล็ก ๆ จัดขึ้นใต้ต้นไผ่หน้าเรือน หญิงชราหลายคนที่เคยเป็นคนไข้ที่ซูเหยียนไม่คิดค่ารักษา ร่วมลงมือหุงข้าว ต้มแกง ตักอาหารใส่ถาดไม้ไผ่เดินแจกจ่าย เสียงหัวเราะและเสียงล้อเล่นระหว่างเด็ก ๆ กับชายหนุ่มของหมู่บ้านเป็นฉากหลังที่งดงาม
แต่ภายในใจของเจ้าสาว กลับมีเพียงความเงียบ...
เมื่อพิธีสิ้นสุดลงในช่วงบ่าย ซูเหยียนก็กล่าวขอบคุณแขกเหรื่อทีละคนอย่างอ่อนน้อมตามธรรมเนียม หลังจากแขกแยกย้าย แล้วจึงกลับเข้าเรือน หลี่ซวนเดินตามไปเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งประตูไม้ของเรือนปิดลง
ภายในห้อง มีเพียงตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวงวางอยู่บนหิ้ง กลิ่นสมุนไพรยังอวลอยู่จากห้องข้างเคียง หลี่ซวนยืนมองรอบตัวอย่างเก้อเขิน ด้วยไม่แน่ใจว่าสถานะใหม่ของตนควรทำเช่นไร
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำใด ซูเหยียนก็หันกลับมามองเขาด้วยดวงตาที่สงบนิ่ง ก่อนจะกล่าวเบา ๆ
"เจ้าคงเข้าใจอยู่แล้วใช่หรือไม่ ว่านี่เป็นเพียงงานแต่งในนามเท่านั้น"
หลี่ซวนพยักหน้าเบา ๆ เขาไม่แปลกใจ และก็ไม่ผิดหวัง เขาไม่เคยคาดหวังสิ่งใดจากนางอยู่แล้ว มีเพียงความนับถือ และคำสัญญาที่ตนให้ไว้เท่านั้นที่ยึดเขาไว้
"เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าถูกครหาหรือถูกลงโทษเพียงเพราะข้าพักอยู่ในเรือนของเจ้า" เขาตอบอย่างสุภาพ
ซูเหยียนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงแผ่วเบา แต่มั่นคง
"ข้ามีคนคนหนึ่ง... ที่ข้าตั้งใจจะรักษาร่างกายนี้ไว้ให้เขา" คำพูดนั้นราวกับลมเย็นผ่านใจหลี่ซวน เขาไม่รู้สึกเศร้า แต่กลับยิ่งเข้าใจหญิงตรงหน้าลึกซึ้งกว่าเดิม "แม้วันนี้ข้าไม่มีโอกาสได้พบกับเขา หรืออาจไม่มีวันได้พบกันอีกเลย แต่ร่างกายนี้ ข้าก็ยังยืนยันว่าจะไม่มอบให้ผู้ใดนอกจากเขา โปรดเข้าใจข้าด้วย"
หลี่ซวนยืนนิ่ง มองแววตานางอย่างสงบ ก่อนจะกล่าวเบา ๆ
"ข้าเข้าใจดี... และข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องอึดอัดใจ เช่นนั้นเราอยู่ด้วยกันเสมือนมิตรสหายเท่านั้นก็พอ"
"ข้าจะนอนในห้องเก็บยา มันเงียบและมีทุกอย่างที่ข้าต้องการ ส่วนห้องนี้ เจ้าจะใช้พักฟื้นได้เต็มที่" ซูเหยียนบอก หลี่ซวนในคราบเถาอู่ไม่เถียง ไม่โต้แย้งอันใด เขายกมือคารวะเล็กน้อยแล้วกล่าว
"ขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่ง... แม้ข้าไม่คู่ควรจะได้รับเลยแม้แต่น้อย"
หญิงสาวไม่ตอบ หากแต่หยิบตะเกียงขึ้นแล้วเดินหายเข้าไปในห้องเก็บยาทางซ้าย เสียงประตูเล็ก ๆ ปิดลงอย่างเงียบงัน ทิ้งให้หลี่ซวนยืนนิ่งอยู่ลำพังกับความคิดของตน
เขามองไปที่ห้องนั้นเนิ่นนาน คำว่า "สามี" ที่ถูกกล่าวเมื่อวันวานยังแว่วอยู่ในใจ แต่ยิ่งนาน ยิ่งรู้ชัดว่า คำคำนี้ สำหรับหญิงผู้นั้น มิได้มีไว้เพื่อความรัก แต่เพื่อความอยู่รอด ซึ่งเขาก็ตงต้องเคารพในเกียรติแห่งการตัดสินใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาไว้
ทว่าแม้เป็นเพียงสามีในนาม เขาก็จะขอเป็นสามีที่ปกป้องเกียรติของเธอได้อย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะมีสิทธิ์ในร่างกายหรือหัวใจหรือไม่ก็ตาม...
สองสามวันผ่านไป นับตั้งแต่งานแต่งงานที่เรียบง่ายและเปี่ยมด้วยนัยสำคัญ หลี่ซวนเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาก แม้บาดแผลยังไม่จางหาย แต่เรี่ยวแรงก็มากพอจะเดินเองได้ ซูเหยียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางกลับมาสวมชุดผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน คอเสื้อและแขนเสื้อลายสีแดงและทองเหมือนเดิม ยังนอนในห้องเก็บยาและปรุงสมุนไพร ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการปรุงยา ส่วนหนึ่งนำมาให้หลี่ซวนในคราบเถาอู่ที่กำลังบาดเจ็บ อีกส่วนบรรจุให้ห่อ เหมือนเตรียมไว้สำหรับสถานการณ์ข้างหน้า ราวกับชีวิตนี้ไม่มีเหตุการณ์แต่งงานใด ๆ เกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่ง หลังออกไปเก็บสมุนไพร ปรุงยาเรียบร้อย นางส่งถ้วยยาร้อนให้เขาเช่นเคย แต่แทนที่จะเงียบตามปกติ นางกลับเอ่ยขึ้นเบา ๆ"วันนี้มีประชุมหมู่บ้านที่ลานกลางหมู่บ้าน ข้าเห็นว่าเจ้าควรไปฟังด้วยตัวเอง...""ชาวบ้านยอมให้ข้าไปหรือ?" หลี่ซวนถาม ก่อนจะมองหน้านางอย่างแปลกใจ"ไม่มีใครห้ามเจ้า ตั้งแต่เจ้าเอ่ยว่าจะเป็นสามีของข้า" ซูเหยียนพูดเรียบ ๆ แล้วยิ้มให้ ไม่ใช่เชิงล้อเลียน ไม่ใช่หยอกล้อ"เจ้าจะไปด้วยไหม?" หลี่ซวนถามขึ้น"ไปสิ ข้าต้องนำสมุนไพรที่ปรุง ไปให้ชาวบ้านหลาย ๆ คน" ซูเหยียนบอกกับเขา ก่อนจะนำห่อยาสมุนไพรจำนวนหนึ่งใ
วันรุ่งขึ้นที่ผู้ใหญ่บ้านนัดหมายให้เป็นวันแต่งงานได้มาถึงเสียงฆ้องกลองจากปลายหมู่บ้านดังก้องมาแต่เช้า กลิ่นธูปหอมจาง ๆ ลอยอบอวลมากับลม ขณะที่แสงแดดอ่อนยามรุ่งสาดส่องลอดม่านไม้ไผ่ซูเหยียนยืนอยู่หน้ากระจกไม้เล็ก ๆ ภายในเรือนของตน สวมชุดคลุมผ้าฝ้ายสีแดง พร้อมทั้งผ้าคลุมหน้าที่แม่เฒ่าในหมู่บ้านนำมาให้ คลุมทับเสื้อและกระโปรงสีเขียวด้านใน เชือกคาดเอวถักจากเส้นไหมสีน้ำตาลแดงถูกมัดไว้หลวม ๆ ที่เอว แม้จะไม่ใช่ชุดเจ้าสาวตามธรรมเนียมชาววัง แต่เมื่ออยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวผู้นี้ กลับงามประหลาดจนมิอาจละสายตานางส่องกระจกโดยไม่แต่งเติมใบหน้ามากนัก ร่างกายของนางอบอวลด้วยกลิ่นยาหอมอ่อน ๆ จากตลับไม้เก่า ๆ ซึ่งเคยเป็นของมารดา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย นางก็เดินออกไปยังลานหน้ากระท่อม ที่ซึ่งมีโต๊ะไม้สองสามตัวเรียงกันง่าย ๆ รองรับพิธีแต่งงานที่มิได้ใหญ่โต หลี่ซวนยืนอยู่ที่นั่น ผมยาวถูกมัดไว้ลวก ๆ สวมชุดผ้าหยาบ ๆ ของชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ผู้ใหญ่บ้านนำมาให้ แทนชุดนักโทษที่สวมอยู่แต่แรก แม้จะไม่ได้สภาพดีเท่าไรนัก เพราะผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้เอ็นดูเขามากพอจะให้ของดี ๆ แต่ก็ดีกว่าชุดรุ่งริ่งเปื้อนดินโคลนที่เขาสวมตอ
แดดสายคล้อยเหนือหลังคาฟาง เสียงจั๊กจั่นครางระงมอยู่หลังแนวไม้ไผ่ในยามสายอันเงียบสงบ แต่ภายในกระท่อมหลังน้อย กลับมีคลื่นความกดดันอันมองไม่เห็นแผ่ซ่าน เมื่อเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังก้าวเดินเข้ามา ก่อนจะหยุดลงหน้าประตูไม้ตึง ตึง ตึง“หมอหญิงซูเหยียน เปิดประตูด้วยเถิด ข้า ผู้ใหญ่บ้าน หลินจู้เอง” เสียงผู้มาเยือนดังขึ้นหลังเคาะประตูหลายครั้ง ซูเหยียนเหลือบตามองหลี่ซวนเพียงแวบหนึ่ง ก่อนพับผ้าเช็ดมือ แล้วเดินไปเปิดประตู ทำให้นางพบกับชายสูงวัยร่างสูงใหญ่ ผมหงอกแซมขมับในชุดผ้าฝ้ายสีเขียวเนื้อหนา ยืนอยู่พร้อมชาวบ้านอีกเกือบสิบคนด้านหลัง“ข้าได้ยินว่ามีชายแปลกหน้าอยู่ในเรือนเจ้ามาหลายวันแล้ว” ผู้มาเยือนกล่าว “เจ้าไม่รายงานใคร ทั้งที่ธรรมเนียมของพวกเราระบุชัดว่า หญิงชายไม่ควรอยู่ร่วมเรือน หากมิใช่ญาติหรือสามีภรรยา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หญิงต้องเสียหาย”“เขาเป็นคนบาดเจ็บ ข้าไม่อาจปล่อยเขาให้ตาย” ซูเหยียนตอบโดยไม่หลบสายตา ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ แววตายังแข็งกร้าวราวกับจะเอาโทษให้ได้“แม้เจ้าจะเป็นหมอยา แต่เจ้าก็เป็นหญิงไม่มีสามี ชื่อเสียงของเจ้ามีผลต่อความเชื่อมั่นของหมู่บ้าน ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ ต่อไปชายใดก
แดดยามสายสาดลอดผ่านไผ่สูงริมชายคา กลิ่นดินชื้นแตะจมูกอ่อน ๆ ขณะที่ไอน้ำค้างยังเกาะอยู่บนปลายใบพืชผัก ซูเหยียนก้มตัวอยู่ในสวนเล็กหลังกระท่อม มือของนางเปื้อนดินเล็กน้อย แต่กลับดูคล่องแคล่วและสง่างาม แม้ชุดของนางจะเป็นเพียงผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีน้ำเงินเข้ม หากแต่ท่วงท่าการก้มถอนผัก วางตะกร้า หรือตรวจต้นใบล้วนบรรจงราวกับการร่ายรำของผู้ผ่านการฝึกศิลปะมาอย่างชำนาญสวนของนางไม่ใหญ่ เป็นเพียงแปลงดินแคบ ๆ เรียงชิดแนวไม้ไผ่ และมีรั้วไม้เตี้ย ๆ กั้นรอบ ในแปลงมีทั้งต้นผักชีฝรั่ง กวางตุ้งเขียว ขิงข่า ตะไคร้ และพืชสมุนไพรอีกหลายชนิดที่มักไม่พบในครัวเรือนทั่วไปนางเอื้อมเด็ดใบโหระพาอย่างระวัง ตรวจดูรากว่านหางจระเข้ แล้วบรรจงใช้มีดปลายแหลมเล็ก ๆ ตัดส่วนที่ใช้ได้เก็บลงตะกร้า ขณะถอนต้นกุยช่าย นางหันไปมองกระท่อมหลังน้อย ริมหน้าต่างยังเปิดไว้ ทำให้นางพอรู้ว่าคนบาดเจ็บยังคงนอนนิ่งอยู่“ต่อให้เป็นโจรหรือปีศาจก็ตาม.. คนที่เจ็บ ก็ยังต้องหายากินอยู่ดี...” ซูเหยียนถอนหายใจเบา ๆ แสงแดดกระทบใบหน้าด้านข้างของนาง ดวงตาดำขลับของหญิงสาวเปล่งประกายภายใต้ความเงียบ ยากที่ผู้ใดจะรู้ว่าในใจนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่จนกระทั่งในตะ
เสียงฝนยังคงโปรยปรายลงมาเบา ๆ บนหลังคาฟางอย่างไม่หยุดหย่อน แสงฟ้าแลบเป็นระลอกสว่างวาบผ่านช่องหน้าต่างไม้ ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเสื่อผืนเก่าในกระท่อม ขาหอบหายใจถี่ ร่างกายเปียกชุ่ม เลือดซึมออกจากบาดแผลกลางหลัง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งยังชุ่มน้ำจนแทบแนบติดผิวเสียงประตูไม้เก่าดังแอ๊ดเบา ๆ หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พร้อมตะเกียงน้ำมันในมือ แสงอุ่นนวลจากเปลวเทียนสะท้อนดวงหน้าของนางอย่างแผ่วเบานางคือหญิงสาวผู้ที่พบร่างเขานอนหมดสติอยู่ข้างลำห้วยริมทุ่งนา ท่ามกลางฝนที่กระหน่ำลงมาในยามค่ำ กระท่อมของนางตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางผืนนาอันเวิ้งว้าง ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีญาติพี่น้อง เป็นอาคารเล็ก ๆ ที่มีเพียงหญิงสาวนางเดียวใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบงันกระนั้น ความเงียบในวันนี้ กลับถูกทำลายโดยเสียงหายใจอันเหนื่อยอ่อนของเขาหญิงสาวนั่งลงข้างตัวชายแปลกหน้า เอื้อมมือบิดผ้าเช็ดร่างเขาอย่างระมัดระวัง น้ำจากผมของเขาหยดลงกับพื้น นางมองด้วยสายตาเรียบสงบ แต่เปี่ยมด้วยความระวังใบหน้าของนางงดงามประหนึ่งภาพเขียนจากฝีแปรงของจิตรกรวังหลวง ผิวเนียนผ่องราวหยกขาว ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย และเมื่อแสงตะเกียงสาดส่องต้อง พ
สายลมปลายฤดูหนาวพัดอย่างรุนแรง ปลิดใบไม้จากกิ่งก้านให้ปลิวว่อนบนผืนแผ่นดินอันเยียบเย็น หิมะโปรยปรายลงบนภูผาใหญ่ สะท้อนกับแสงจันทร์เพ็ญจนแวววาวประดุจอัญมณีทว่าผู้คนเบื้องล่างขุนเขานั้นไม่ได้ว่างพอจะรับชมความงามของมัน เสียงฝีเท้าหนักและ เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารม้าหลวงนับร้อยที่กำลังไล่ตามใครสักคน บอกให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเสพความงามของบรรยากาศ“องค์ชาย! มันหนีขึ้นหน้าผาพะย่ะค่ะ! ม้าของพวกเราตามไปไม่ได้”“ล้อมภูเขานี้เอาไว้! อย่าปล่อยให้มันลอยนวล! ข้าจะไปจัดการมันเอง!” ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าองค์ชาย จ้องมองเหล่าทหารด้วยสายตาอันเด็ดขาด ก่อนจะแหงนมองชายผู้หนึ่งที่ใช้วิชาตัวเบา วิ่งพลาง กระโดดพลาง จนไต่ขึ้นหน้าผาไปไกลองค์ชายผู้นี้มีผิวเนียนกระจ่างดั่งหิมะต้นฤดู ทว่าแฝงความเปล่งปลั่งของโลหิต ด้วยสุขภาพที่ดีจากการฝึกฝนขัดเกลาร่างกายมานาน เส้นผมของเขาดำสนิท เรียงเส้นอย่างมีวินัย เงางามประหนึ่งหมึกสดบนพู่กันของปราชญ์ เกล้าขึ้นครึ่งศีรษะอย่างเรียบง่าย คิ้วของเขาเรียวและเข้ม ใต้คิ้วนั้นคือดวงตาลุ่มลึกเยือกเย็น มีประกายเข้มแข็งแต่ไม่แข็งกร้าว คล้ายอ่านทุกสิ่งทุกอย่าง สันจมูกโด่งรับกับ