แดดสายคล้อยเหนือหลังคาฟาง เสียงจั๊กจั่นครางระงมอยู่หลังแนวไม้ไผ่ในยามสายอันเงียบสงบ แต่ภายในกระท่อมหลังน้อย กลับมีคลื่นความกดดันอันมองไม่เห็นแผ่ซ่าน เมื่อเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังก้าวเดินเข้ามา ก่อนจะหยุดลงหน้าประตูไม้
ตึง ตึง ตึง
“หมอหญิงซูเหยียน เปิดประตูด้วยเถิด ข้า ผู้ใหญ่บ้าน หลินจู้เอง” เสียงผู้มาเยือนดังขึ้นหลังเคาะประตูหลายครั้ง ซูเหยียนเหลือบตามองหลี่ซวนเพียงแวบหนึ่ง ก่อนพับผ้าเช็ดมือ แล้วเดินไปเปิดประตู ทำให้นางพบกับชายสูงวัยร่างสูงใหญ่ ผมหงอกแซมขมับในชุดผ้าฝ้ายสีเขียวเนื้อหนา ยืนอยู่พร้อมชาวบ้านอีกเกือบสิบคนด้านหลัง
“ข้าได้ยินว่ามีชายแปลกหน้าอยู่ในเรือนเจ้ามาหลายวันแล้ว” ผู้มาเยือนกล่าว “เจ้าไม่รายงานใคร ทั้งที่ธรรมเนียมของพวกเราระบุชัดว่า หญิงชายไม่ควรอยู่ร่วมเรือน หากมิใช่ญาติหรือสามีภรรยา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หญิงต้องเสียหาย”
“เขาเป็นคนบาดเจ็บ ข้าไม่อาจปล่อยเขาให้ตาย” ซูเหยียนตอบโดยไม่หลบสายตา ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ แววตายังแข็งกร้าวราวกับจะเอาโทษให้ได้
“แม้เจ้าจะเป็นหมอยา แต่เจ้าก็เป็นหญิงไม่มีสามี ชื่อเสียงของเจ้ามีผลต่อความเชื่อมั่นของหมู่บ้าน ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ ต่อไปชายใดก็อาจบังคับฝืนใจเจ้าให้รักษาเป็นการส่วนตัว และเข้ามาอยู่ร่วมชายคากับเจ้า มากระทำย่ำยีเจ้าได้” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว แม้จะดุดัน แต่ก็แฝงด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทำเอาความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณไปครู่ใหญ่ ก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นจากด้านหนึ่งของห้อง
“นางมิได้ทำสิ่งใดผิด นางเพียงแต่พยายามช่วยคนด้วยความรู้ที่นางมี...” เสียงของหลี่ซวนในร่างเถาอู่ดังขึ้น ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินออกมาจากมุมที่ใช้พักรักษาตัว แม้ร่างกายจะยังยังเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตากลับนิ่ง เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมั่น
“เจ้าเองงั้นรึ คนที่มาอาศัยร่วมกับนาง” ผู้ใหญ่บ้านถามพลางมองหน้าของหลี่ซวน “เจ้าเป็นผู้ใดกันล่ะ?”
“ข้าชื่อเจี่ย เถาอู่... ผู้ที่นางช่วยจากความตาย” หลี่ซวนเอ่ยขื่อของเจ้าของใบหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากใช้ชื่อนี้เลยก็ตาม แต่เมื่อซูเหยียนเรียกเขาด้วยชื่อนี้ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย
“เจ้าเป็นคนนอกชุมชนของเรางั้นสินะ” ผู้ใหญ่บ้านสูงวัยบอก พลางจ้องเขม็ง “ดูท่าทางก็ไม่น่าจะมีการศึกษามากนัก ไม่แปลกที่จะไม่รู้กฎรู้ธรรมเนียมอะไร”
“เช่นนั้นท่านช่วยอธิบาย” หลี่ซวนพยายามตอบอย่างใจเย็น อดทนต่อคำดูถูกของผู้ใหญ่บ้าน
“หญิงด้องครองตนให้เหมาะสม รักนวลสงวนตัว ประพฤติตนให้มีคุณค่า จะได้คู่ควรแก่สามีที่ดี” ผู้ใหญ่บ้านพยายามอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “
“เช่นนั้นการช่วยเหลือข้าก็เป็นน้ำใจอันประเสริฐ ควรค่าที่นางจะมีสามีที่ดี” หลี่ซวนย้อนกลับไป
“แต่นั่นทำให้นางไม่บริสุทธิ์ เพราะชายหญิงที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ภรรยา มาพักอาศัยร่วมชายคาลำพัง ค้างคืนด้วยกัน เป็นเรื่องไม่สมควรยิ่ง” ผู้ใหญ่บ้านพยายามเถียงกลับ “ แม้จะบอกว่านางเป็นหมอหญิงของชุมชน แต่ต่อไปหากนางยังรับคนเจ็บไข้ผู้ชายมาดูแลลำพังในเรือน หากพวกนั้นไม่ใช่คนดี นางอาจถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีก็เป็นได้”
“แต่ชุมชนของเรายังมิมีสถานพยาบาลจริงจัง หากข้าพบผู้ป่วยไข้ยามค่ำคืนเป็นชาย ข้าจะทำอย่างไรเล่า จะปล่อยให้เขาตายงั้นหรือ?”ซูเหยียนพยายามแย้ง แต่ยังคงรักษาความสงบนิ่งในกิริยา
“เรื่องนั้น...” ผู้ใหญ่บ้านพูดพลางกัดฟันกรอด “ถ้าภาษีไม่ถูกเก็บมากขึ้นเป็นสามเท่า โดยไม่ได้กลับมาพัฒนาชุมชนอะไร มันก็ควรมีของแบบนั้นอยู่!”
“แต่เพราะมันไม่มี ข้าจึงต้องลำบากนำเขามารักษาในเรือนของตนมิใช่หรือ?” ซูเหยียนถามกลับพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้
“แล้วเจ้าจะลำบากเสี่ยงเช่นนี้ทุกครั้งหรือ? เจ้าเป็นกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ดูแล ข้าก็มองเจ้าเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง แต่ครั้นจะให้เจ้าไปอยู่อาศัยกับบ้านข้า เจ้าก็มิยอมไป ยืนกรานจะใช้ความรู้รักษาผู้คนที่นี่ ต้องเสี่ยงชีวิตมาอยู่ลำพัง” ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับ น้ำเสียงเหมือนจะดุ ทว่าเจือด้วยความห่วงใย
“แล้วท่านจะลงโทษชายที่ข้าเพิ่งช่วยชีวิตงั้นหรือ? หรือจะลงโทษข้า?” ซูเหยียนถามกลับ ดวงตาของนางสงบนิ่งและทรงอำนาจผิดวิสัยหญิงชาวบ้านมากนัก ทำเอาหลี่ซวนต้องอดคิดประหลาดใจไม่ได้
“เจ้าควรออกเรือน มีสามีดูแลได้แล้ว...” ผู้ใหญ่บ้านตอบเสียงอ่อน “ชายหลายคนก็หมายปองเจ้า หากเจ้าละทิ้งอดีตแล้วสมัครใจเริ่มต้นใหม่กับชายสักคน ก็คงจะทำให้เจ้าปลอดภัยกับการเป็นหมอยามากขึ้น”
“ผู้ชายเหล่านั้นหาได้เข้าใจข้า รักข้าที่เป็นข้าไม่ จะรักก็แต่เพียงรูปโฉมเท่านั้น หากครองคู่กับพวกเขา ข้าก็คงไม่ได้มาเป็นหมอยาของหมู่บ้านเช่นนี้” นางตอบกลับ ทำเอาบริเวณนั้นต้องเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าโต้แย้งแม้เพียงคนเดียว “อีกประการ ข้าก็เคยบอกเหตุผลของข้าแล้วว่าทำไมข้าจึงออกเรือนไม่ได้”
“ไม่ยอมออกเรือน แต่ให้ชายที่ไม่ใช่สามีมานอนร่วมชายคาเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง” ผู้ใหญ่บ้านพยายามเถียง ทว่าหลี่ซวนกลับกล่าวขึ้นมา เพื่อจบบทสนทนาโต้เถียงของทั้งคู่
“เช่นนั้นให้ข้าเป็นภรรยาเขาเลยไหม? ท่านจะได้ไม่ต้องมาพะวงว่าข้าจะไปรับใครมารักษาเช่นนี้” ซูเหยียนกล่าวพลางมองไปยังหลี่ซวนในคราบเถาอู่ “เจ้าเต็มใจหรือไม่ หากจะมาเป็นสามีของข้า”
หลี่ซวนนิ่งไปครู่ใหญ่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้มีพระคุณของเขาจึงหาทางออกด้วยวิธีนี้ แต่จากการพยักหน้าส่งสัญญาณของนาง เขาก็รู้ว่าคงต้องเออออไปตามน้ำเพื่อให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
“หากสิ่งที่ผิดคือนางอยู่กับข้า ที่ไม่ใช่สามี ข้าก็ยินดีรับเป็นสามีของนางเอง”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้าแล้ว... วันหน้าหากเปลี่ยนใจ เจ้าจะต้องรับผิดตามประเพณี” ผู้ใหญ่บ้านพูดเสียงแข็ง ดูเขาจะไม่พอใจเท่ากับการตัดสินใจของเขา
“ข้ารู้” หลี่ซวนตอบ พลางหันไปมองซูเหยียนตรง ๆ
“นางช่วยชีวิตข้า... และข้ารู้ดีว่า วันหน้า นางอาจจะต้องช่วยชีวิตใครอีก และเมื่อนั้นธรรมเนียมนี้ ก็อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายนางอีก” เขากลั้นใจพูดต่อ “หากการที่ข้ายอมแบกรับฐานะสามีของนาง อาศัยอยู่ร่วมกับนาง จะปกป้องไม่ให้นางถูกตัดสินเพียงเพราะช่วยคนอื่นต่อไป เช่นนั้นข้าก็ยินดี”
ซูเหยียนได้ยินคำตอบก็ยิ้มมุมปาก ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ส่วนผู้ใหญ่บ้านก็จ้องมองนาง ก่อนหันกลับมามองชายหนุ่ม
“ข้าจะถือว่าพวกเจ้าประสงค์จะอยู่กินในฐานะสามีภรรยาโดยสมัครใจก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะจัดงานแต่งให้” ชายสูงวัยโบกมือส่งสัญญาณ เหล่าชาวบ้านผู้ติดตามมานับสิบคนก็เดินตามเขาออกจากเรือนไป ปล่อยให้ความเงียบกลับเข้าปกคลุมอีกครั้ง
“เจ้ารู้หรือไม่... ว่าคำพูดนั้นผูกพันมากกว่าที่เจ้าอาจตั้งใจไว้” หลี่ซวนถามขึ้น ซูเหยียนหันกลับมาช้า ๆ แววตานางสงบนิ่ง ดั่งน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
“รู้สิ” ซูเหยียนตอบกลับ
“ข้าไม่แน่ใจว่าคำว่าสามี ควรแปลอย่างไรในชีวิตที่ข้ากำลังอยู่... แต่ข้าแน่ใจว่าข้าไม่อยากเห็นเจ้าต้องรับบาปของสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่อง” หลี่ซวนบอกกับนาง ทว่าซูเหยียนไม่ได้ตอบในทันที นางเดินกลับไปยังเตาไฟที่ยังอุ่นอยู่ หยิบสมุนไพรในถ้วยเล็กออกมา แล้วกล่าวเบา ๆ ขณะหันหลังให้เขา
“ได้เวลากินยาแล้ว ดื่มยาขมถ้วยนี้ก่อนก็แล้วกันนะ สามี”
สองสามวันผ่านไป นับตั้งแต่งานแต่งงานที่เรียบง่ายและเปี่ยมด้วยนัยสำคัญ หลี่ซวนเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาก แม้บาดแผลยังไม่จางหาย แต่เรี่ยวแรงก็มากพอจะเดินเองได้ ซูเหยียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางกลับมาสวมชุดผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน คอเสื้อและแขนเสื้อลายสีแดงและทองเหมือนเดิม ยังนอนในห้องเก็บยาและปรุงสมุนไพร ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการปรุงยา ส่วนหนึ่งนำมาให้หลี่ซวนในคราบเถาอู่ที่กำลังบาดเจ็บ อีกส่วนบรรจุให้ห่อ เหมือนเตรียมไว้สำหรับสถานการณ์ข้างหน้า ราวกับชีวิตนี้ไม่มีเหตุการณ์แต่งงานใด ๆ เกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่ง หลังออกไปเก็บสมุนไพร ปรุงยาเรียบร้อย นางส่งถ้วยยาร้อนให้เขาเช่นเคย แต่แทนที่จะเงียบตามปกติ นางกลับเอ่ยขึ้นเบา ๆ"วันนี้มีประชุมหมู่บ้านที่ลานกลางหมู่บ้าน ข้าเห็นว่าเจ้าควรไปฟังด้วยตัวเอง...""ชาวบ้านยอมให้ข้าไปหรือ?" หลี่ซวนถาม ก่อนจะมองหน้านางอย่างแปลกใจ"ไม่มีใครห้ามเจ้า ตั้งแต่เจ้าเอ่ยว่าจะเป็นสามีของข้า" ซูเหยียนพูดเรียบ ๆ แล้วยิ้มให้ ไม่ใช่เชิงล้อเลียน ไม่ใช่หยอกล้อ"เจ้าจะไปด้วยไหม?" หลี่ซวนถามขึ้น"ไปสิ ข้าต้องนำสมุนไพรที่ปรุง ไปให้ชาวบ้านหลาย ๆ คน" ซูเหยียนบอกกับเขา ก่อนจะนำห่อยาสมุนไพรจำนวนหนึ่งใ
วันรุ่งขึ้นที่ผู้ใหญ่บ้านนัดหมายให้เป็นวันแต่งงานได้มาถึงเสียงฆ้องกลองจากปลายหมู่บ้านดังก้องมาแต่เช้า กลิ่นธูปหอมจาง ๆ ลอยอบอวลมากับลม ขณะที่แสงแดดอ่อนยามรุ่งสาดส่องลอดม่านไม้ไผ่ซูเหยียนยืนอยู่หน้ากระจกไม้เล็ก ๆ ภายในเรือนของตน สวมชุดคลุมผ้าฝ้ายสีแดง พร้อมทั้งผ้าคลุมหน้าที่แม่เฒ่าในหมู่บ้านนำมาให้ คลุมทับเสื้อและกระโปรงสีเขียวด้านใน เชือกคาดเอวถักจากเส้นไหมสีน้ำตาลแดงถูกมัดไว้หลวม ๆ ที่เอว แม้จะไม่ใช่ชุดเจ้าสาวตามธรรมเนียมชาววัง แต่เมื่ออยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวผู้นี้ กลับงามประหลาดจนมิอาจละสายตานางส่องกระจกโดยไม่แต่งเติมใบหน้ามากนัก ร่างกายของนางอบอวลด้วยกลิ่นยาหอมอ่อน ๆ จากตลับไม้เก่า ๆ ซึ่งเคยเป็นของมารดา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย นางก็เดินออกไปยังลานหน้ากระท่อม ที่ซึ่งมีโต๊ะไม้สองสามตัวเรียงกันง่าย ๆ รองรับพิธีแต่งงานที่มิได้ใหญ่โต หลี่ซวนยืนอยู่ที่นั่น ผมยาวถูกมัดไว้ลวก ๆ สวมชุดผ้าหยาบ ๆ ของชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ผู้ใหญ่บ้านนำมาให้ แทนชุดนักโทษที่สวมอยู่แต่แรก แม้จะไม่ได้สภาพดีเท่าไรนัก เพราะผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้เอ็นดูเขามากพอจะให้ของดี ๆ แต่ก็ดีกว่าชุดรุ่งริ่งเปื้อนดินโคลนที่เขาสวมตอ
แดดสายคล้อยเหนือหลังคาฟาง เสียงจั๊กจั่นครางระงมอยู่หลังแนวไม้ไผ่ในยามสายอันเงียบสงบ แต่ภายในกระท่อมหลังน้อย กลับมีคลื่นความกดดันอันมองไม่เห็นแผ่ซ่าน เมื่อเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังก้าวเดินเข้ามา ก่อนจะหยุดลงหน้าประตูไม้ตึง ตึง ตึง“หมอหญิงซูเหยียน เปิดประตูด้วยเถิด ข้า ผู้ใหญ่บ้าน หลินจู้เอง” เสียงผู้มาเยือนดังขึ้นหลังเคาะประตูหลายครั้ง ซูเหยียนเหลือบตามองหลี่ซวนเพียงแวบหนึ่ง ก่อนพับผ้าเช็ดมือ แล้วเดินไปเปิดประตู ทำให้นางพบกับชายสูงวัยร่างสูงใหญ่ ผมหงอกแซมขมับในชุดผ้าฝ้ายสีเขียวเนื้อหนา ยืนอยู่พร้อมชาวบ้านอีกเกือบสิบคนด้านหลัง“ข้าได้ยินว่ามีชายแปลกหน้าอยู่ในเรือนเจ้ามาหลายวันแล้ว” ผู้มาเยือนกล่าว “เจ้าไม่รายงานใคร ทั้งที่ธรรมเนียมของพวกเราระบุชัดว่า หญิงชายไม่ควรอยู่ร่วมเรือน หากมิใช่ญาติหรือสามีภรรยา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หญิงต้องเสียหาย”“เขาเป็นคนบาดเจ็บ ข้าไม่อาจปล่อยเขาให้ตาย” ซูเหยียนตอบโดยไม่หลบสายตา ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ แววตายังแข็งกร้าวราวกับจะเอาโทษให้ได้“แม้เจ้าจะเป็นหมอยา แต่เจ้าก็เป็นหญิงไม่มีสามี ชื่อเสียงของเจ้ามีผลต่อความเชื่อมั่นของหมู่บ้าน ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ ต่อไปชายใดก
แดดยามสายสาดลอดผ่านไผ่สูงริมชายคา กลิ่นดินชื้นแตะจมูกอ่อน ๆ ขณะที่ไอน้ำค้างยังเกาะอยู่บนปลายใบพืชผัก ซูเหยียนก้มตัวอยู่ในสวนเล็กหลังกระท่อม มือของนางเปื้อนดินเล็กน้อย แต่กลับดูคล่องแคล่วและสง่างาม แม้ชุดของนางจะเป็นเพียงผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีน้ำเงินเข้ม หากแต่ท่วงท่าการก้มถอนผัก วางตะกร้า หรือตรวจต้นใบล้วนบรรจงราวกับการร่ายรำของผู้ผ่านการฝึกศิลปะมาอย่างชำนาญสวนของนางไม่ใหญ่ เป็นเพียงแปลงดินแคบ ๆ เรียงชิดแนวไม้ไผ่ และมีรั้วไม้เตี้ย ๆ กั้นรอบ ในแปลงมีทั้งต้นผักชีฝรั่ง กวางตุ้งเขียว ขิงข่า ตะไคร้ และพืชสมุนไพรอีกหลายชนิดที่มักไม่พบในครัวเรือนทั่วไปนางเอื้อมเด็ดใบโหระพาอย่างระวัง ตรวจดูรากว่านหางจระเข้ แล้วบรรจงใช้มีดปลายแหลมเล็ก ๆ ตัดส่วนที่ใช้ได้เก็บลงตะกร้า ขณะถอนต้นกุยช่าย นางหันไปมองกระท่อมหลังน้อย ริมหน้าต่างยังเปิดไว้ ทำให้นางพอรู้ว่าคนบาดเจ็บยังคงนอนนิ่งอยู่“ต่อให้เป็นโจรหรือปีศาจก็ตาม.. คนที่เจ็บ ก็ยังต้องหายากินอยู่ดี...” ซูเหยียนถอนหายใจเบา ๆ แสงแดดกระทบใบหน้าด้านข้างของนาง ดวงตาดำขลับของหญิงสาวเปล่งประกายภายใต้ความเงียบ ยากที่ผู้ใดจะรู้ว่าในใจนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่จนกระทั่งในตะ
เสียงฝนยังคงโปรยปรายลงมาเบา ๆ บนหลังคาฟางอย่างไม่หยุดหย่อน แสงฟ้าแลบเป็นระลอกสว่างวาบผ่านช่องหน้าต่างไม้ ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเสื่อผืนเก่าในกระท่อม ขาหอบหายใจถี่ ร่างกายเปียกชุ่ม เลือดซึมออกจากบาดแผลกลางหลัง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งยังชุ่มน้ำจนแทบแนบติดผิวเสียงประตูไม้เก่าดังแอ๊ดเบา ๆ หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พร้อมตะเกียงน้ำมันในมือ แสงอุ่นนวลจากเปลวเทียนสะท้อนดวงหน้าของนางอย่างแผ่วเบานางคือหญิงสาวผู้ที่พบร่างเขานอนหมดสติอยู่ข้างลำห้วยริมทุ่งนา ท่ามกลางฝนที่กระหน่ำลงมาในยามค่ำ กระท่อมของนางตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางผืนนาอันเวิ้งว้าง ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีญาติพี่น้อง เป็นอาคารเล็ก ๆ ที่มีเพียงหญิงสาวนางเดียวใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบงันกระนั้น ความเงียบในวันนี้ กลับถูกทำลายโดยเสียงหายใจอันเหนื่อยอ่อนของเขาหญิงสาวนั่งลงข้างตัวชายแปลกหน้า เอื้อมมือบิดผ้าเช็ดร่างเขาอย่างระมัดระวัง น้ำจากผมของเขาหยดลงกับพื้น นางมองด้วยสายตาเรียบสงบ แต่เปี่ยมด้วยความระวังใบหน้าของนางงดงามประหนึ่งภาพเขียนจากฝีแปรงของจิตรกรวังหลวง ผิวเนียนผ่องราวหยกขาว ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย และเมื่อแสงตะเกียงสาดส่องต้อง พ
สายลมปลายฤดูหนาวพัดอย่างรุนแรง ปลิดใบไม้จากกิ่งก้านให้ปลิวว่อนบนผืนแผ่นดินอันเยียบเย็น หิมะโปรยปรายลงบนภูผาใหญ่ สะท้อนกับแสงจันทร์เพ็ญจนแวววาวประดุจอัญมณีทว่าผู้คนเบื้องล่างขุนเขานั้นไม่ได้ว่างพอจะรับชมความงามของมัน เสียงฝีเท้าหนักและ เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารม้าหลวงนับร้อยที่กำลังไล่ตามใครสักคน บอกให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเสพความงามของบรรยากาศ“องค์ชาย! มันหนีขึ้นหน้าผาพะย่ะค่ะ! ม้าของพวกเราตามไปไม่ได้”“ล้อมภูเขานี้เอาไว้! อย่าปล่อยให้มันลอยนวล! ข้าจะไปจัดการมันเอง!” ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าองค์ชาย จ้องมองเหล่าทหารด้วยสายตาอันเด็ดขาด ก่อนจะแหงนมองชายผู้หนึ่งที่ใช้วิชาตัวเบา วิ่งพลาง กระโดดพลาง จนไต่ขึ้นหน้าผาไปไกลองค์ชายผู้นี้มีผิวเนียนกระจ่างดั่งหิมะต้นฤดู ทว่าแฝงความเปล่งปลั่งของโลหิต ด้วยสุขภาพที่ดีจากการฝึกฝนขัดเกลาร่างกายมานาน เส้นผมของเขาดำสนิท เรียงเส้นอย่างมีวินัย เงางามประหนึ่งหมึกสดบนพู่กันของปราชญ์ เกล้าขึ้นครึ่งศีรษะอย่างเรียบง่าย คิ้วของเขาเรียวและเข้ม ใต้คิ้วนั้นคือดวงตาลุ่มลึกเยือกเย็น มีประกายเข้มแข็งแต่ไม่แข็งกร้าว คล้ายอ่านทุกสิ่งทุกอย่าง สันจมูกโด่งรับกับ