“เข้าใจแล้วท่านอาเกา จากนี้ข้าจะระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้นขอรับ”
“ดีแล้ว ที่ข้ายังไม่ไปพร้อมกับเจ้าเวลานี้ก็เพราะ หากเจ้าพาเราข้ามไปได้สำเร็จ เราต้องปกปิดเอาไว้ให้มิดว่ามนุษย์คนอื่นสามารถไปถึงที่นั่นได้ เราจะแอบข้ามไปตอนที่ไม่มีคนเห็นและเรื่องนี้ควรเป็นความลับที่รู้กันแค่พวกเราหกครอบครัวเท่านั้น” ประโยคสุดท้ายเกาโหลวหันไปกล่าวกับสหายที่เขาไว้วางใจ
“วันนี้รอให้ฟ้ามืดอีกสักนิดข้าค่อยกลับก็แล้วกัน ท่านอาทั้งหกคนเตรียมเสื้อผ้าไปค้างคืนที่นั่นสักคืนเถิด ข้าคงไม่พายเรือกลับมาส่งท่านยามค่ำคืนเป็นแน่”
ปากว่ากล้า ว่าอยากลองเสี่ยง แต่เมื่อได้รับคำเชิญให้ไปค้างคืนบนเกาะลอยจากเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำกันอยู่หลายอึดใจเลยทีเดียว
พอฟ้ามืดเรือสองลำกับแพขนส่งผลไม้ก็เคลื่อนตัวออกไปจากเกาะจิงเหมินอย่างเงียบเชียบ โดยมีบุรุษห้าคนซ่อนตัวนอนราบไปกับพื้นเรือร่วมทางไปกับสองพี่น้องสกุลมู่ด้วย
“ถึงไหนแล้วหลานชายหลานสาว” เกาโหลวกับสหายร้องถามออกมาเป็นรอบที่สิบด้วยความตื่นเต้น
“ครึ่งทางแล้วขอรับท่านอา อีกไม่นานก็ถึงแล้ว”
“หา!! ครึ่งทางแล้วหรือ? ข้างหน้าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าดูให้ดีเริ่มมีคลื่นใหญ่มีอะไรผิดปกติหรือไม่”
“ท่านอา พวกท่านลุกขึ้นมาดูกันเองก็ได้ เราออกห่างจากเกาะมาไกลแล้วไม่มีใครมองเห็นพวกเราแล้วล่ะเจ้าค่ะ" มู่เหยาจีหัวเราะร่วนกับท่าทางหวาดวิตกของท่านอาทั้งหลาย
“เราจะอ้อมไปทางด้านนั้นกันขอรับ จะไม่ได้ขึ้นที่ชายหาดบริเวณที่เราใช้เป็นประจำอย่างที่พวกท่านเห็น” มู่สี่เสินชี้ไปยังชายฝั่งอีกด้านหนึ่ง ในส่วนที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
“ข้ามองไม่เห็นสิ่งใดเลย” เกาโหลวลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ชะเง้อมองตามมือของเด็กหนุ่มไป
“ดูเหมือนว่าเราเข้าใกล้เกาะลอยมากกว่าคราวก่อนแล้วนะ”
“ใช่ ใกล้มาก ใกล้กว่าเดิมเยอะเลย แต่เรายังปลอดภัยอยู่”
หัวใจที่แขวนเอาไว้สูงของชายฉกรรจ์ทั้งหกเริ่มลดลงมาเป็นปกติ พวกเขาไม่ได้เจอกับคลื่นลมแรง ไม่มีคลื่นใต้น้ำมาก่อกวนแม้แต่น้อย
การเดินทางของคนแปดคนบนเรือเล็กดูเหมือนจะราบรื่นและพวกเขายังรู้สึกอีกด้วยว่า มู่สี่เสินใช้แรงน้อยมากในการพายเรือ กระแสน้ำที่อยู่รอบเรือพัดพาเอาเรือและแพเข้าไปหาเกาะลอยได้อย่างง่ายดาย ต่างจากยามที่พวกตนพยายามเข้าใกล้เกาะลอยคนละเรื่อง
“ถึงแล้วเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีกระโดดลงจากเรือขึ้นฝั่งไปเป็นคนแรก นางตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้รับบทเจ้าบ้าน ไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่างมาบนถิ่นของนางสักคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นบนแดนสวรรค์หรือที่เกาะลอยแห่งนี้
พวกเกาโหลวยังรู้สึกระแวงอยู่บ้าง พวกเขาใช้ขาข้างหนึ่งแตะพื้นทรายโดยที่ขาอีกข้างยังคงเหยียบอยู่บนเรือ ทำเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายแน่แล้วจึงได้กลั้นใจกระโดดออกจากเรือมายืนบนพื้นทรายเนียนละเอียด
“สหายของเหยาจีอยู่ที่นี่หรือไม่ พวกเจ้าหลบกันไปก่อน ข้าอยากได้กุ้งกับปูมาเป็นอาหารเลี้ยงแขกสักหลายตัวหน่อย รีบหลบไปให้ไกลๆ” มู่สี่เสินไม่ได้สนใจท่าทางยักแย่ยักยันของท่านอาทั้งหกคน เขาเร่งร้องตะโกนเรียกหาสหายตามกฎของน้องสาว
ชาวบ้านหกคนรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันใด “เจ้าคุยกับใครหลานชาย!”
“ไม่มีอะไรขอรับท่านอา ข้าแค่จะจับกุ้งจับปู แต่ก่อนอื่นข้าต้องส่งสัญญาณบอกสหายของพวกเราก่อนก็เท่านั้น”
เด็กหนุ่มตอบคำถามเหมือนไม่ได้ตอบ เกาโหลวและพรรคพวกไม่เข้าใจอยู่ดี ผู้ใดคือสหาย? จะจับกุ้งจับปูก็ต้องส่งสัญญาณเช่นนั้นหรือ ดูเหมือนกฎของเกาะลอยน่าจะซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มากนัก
มู่สี่เสินเดินลุยน้ำไปข้างโขดหิน ครู่หนึ่งก็เหวี่ยงกุ้งตัวใหญ่ขึ้นฝั่งให้มู่เหยาจีรีบคว้าพวกมันเอาไปใส่ไว้ในตะกร้าผลไม้ได้สิบกว่าตัว เดินไปอีกมุมหนึ่งก็จับปูทะเลตัวเท่าต้นขาผู้ใหญ่อีก 5 ตัวมาขังไว้ในตะกร้า
“นี่!! นี่พวกเจ้าจับสัตว์น้ำกันด้วยวิธีนี้หรอกหรือ? ง่ายเช่นนี้เลยหรือ!” คนทั้งหกแทบอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้ พวกเขาเป็นชาวประมงมาครึ่งค่อนชีวิต มีหรือที่จะจับกุ้งจับปูตัวเป็นๆ ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
“ง่ายเช่นนี้ล่ะเจ้าค่ะท่านอา พวกท่านเชิญทางนี้ วันนี้เราต้องนอนกันที่ก้อนหินตรงนั้นเจ้าค่ะ พวกเราไม่มีเรือน บางวันเราก็นอนในถ้ำ หากเบื่อๆ อยากนอนดูดาวเราก็มักจะหอบผ้ามานอนกันบนก้อนหินนี่ล่ะ”
มู่สี่เสินเดินนำทางท่านอาทั้งหกลัดเลาะแนวโขดหินเข้ามาถึงบริเวณชายเขาด้านหลัง ความมืดทำให้พวกเขามองไม่เห็นบรรยากาศโดยรอบได้ชัดเจนเท่าใดนัก
สุดท้ายก็ปีนป่ายกันขึ้นมาก่อกองไฟย่างปูและกุ้งกัดกินกันอยู่บนลานหินก้อนใหญ่จนอิ่มหนำ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเลือกโขดหินนอนแยกกันคนละทาง
……….
“ไม่น่าเชื่อว่าเราจะตื่นนอนตอนเช้าบนเกาะลอยแล้วยังมีลมหายใจกับร่างกายครบสมบูรณ์!” เกาโหลวหัวเราะเสียงดังลั่นเกาะ
“มาเลยหลานชาย เจ้าคิดจะสร้างเรือนที่ใดพาพวกเราไปดูสถานที่ก่อน”
“เราคิดจะสร้างเรือนที่ตรงนี้เลยขอรับท่านอาเกา"
“เอ๋! ใช่ว่าบนเกาะมีลำธารน้ำตกจากภูเขาไม่ใช่หรือ? หากสร้างเรือนใกล้น้ำ พวกเจ้าจะสะดวกสบายกว่าการอยู่ทางฝั่งทุ่งหญ้าโล่งแห่งนี้นะ”
“ที่นั่นเรามีถ้ำเดิมไว้ใช้พักผ่อนแล้วขอรับ ส่วนทุ่งหญ้าแห่งนี้ ข้าวางแผนจะทำการเพาะปลูกเพิ่มขึ้นในอนาคต ก็เลยคิดว่าสร้างเรือนไว้ที่นี่เสียเลยจะเหมาะกว่า เรือนนี้ข้าตั้งใจจะให้น้องสาวอยู่ ส่วนข้าอาจจะแยกไปนอนที่ถ้ำดังเดิม”
เกาโหลวพยักหน้าเข้าใจเจตนาของเด็กหนุ่ม มู่เหยาจีเติบโตขึ้นทุกวัน แม้พวกเขาจะเป็นพี่น้อง แต่เรื่องส่วนตัวบางประการก็ยังสมควรแบ่งแยกชายหญิง ภายหน้าเมื่อเหยาจีโตกว่านี้นางอาจจะรู้สึกอึดอัด
เกาโหลวและสหายของเขาตัดสินใจใช้ไม้ที่มีอยู่บนเกาะในการก่อสร้างและอยู่ค้างคืนบนเกาะต่ออีกสามวันเพื่อตัดต้นไม้มาเตรียมรอไว้
หลบมาช่วยกันสร้างเรือนห้าวัน กลับไปที่หมู่บ้านสามวัน พร้อมกับสั่งซื้อเครื่องเรือนให้สองพี่น้องสกุลมู่ไปด้วย สลับวนเวียนไปเช่นนี้ ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนการสร้างเรือนก็แล้วเสร็จ
มู่สี่เสินยัดเยียดเงินก้อนใหญ่ให้กับท่านอาทั้งหกคนเป็นค่าแรงจำนวนมาก มากจนชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ทุกคนถึงกับร้องไห้คร่ำครวญด้วยความซาบซึ้งใจเลยทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้มู่สี่เสินก็เก็บผลไม้ชุดสุดท้ายบนเกาะไปฝากครอบครัวของพวกเขาโดยไม่คิดเงินไปไม่น้อย
“ข้ากับน้องสาวยังไม่รู้จะใช้เงินเพื่อทำสิ่งใดนอกจากการสร้างเรือนขอรับ เวลานี้เรามีเรือน มีเครื่องใช้ที่สะดวกสบายครบครัน ข้าสมควรตอบแทนพวกท่านให้สมกับที่พวกท่านทำเพื่อพวกเราเช่นกันขอรับ”
“ขอบใจนะหลานชาย แล้วจากนี้เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันต่อ” เกาโหลวลอบปาดน้ำตาทิ้ง แล้วหันมาถามมู่สี่เสินจริงจัง
“ผลไม้ถูกเก็บเกี่ยวไปจนหมดสิ้นแล้ว ข้าต้องการแลกเปลี่ยนเงินทั้งหมดที่เหลือกับเสบียงอาหาร เตรียมพร้อมสำหรับหยุดยาวในฤดูหนาวขอรับท่านอาเกา”
“เรื่องการซื้อเสบียงอาหารน่ะข้าเป็นธุระให้ได้อยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะให้ภรรยาข้าคัดเลือกให้เองว่าสมควรสั่งซื้อสิ่งใดไปเก็บไว้บ้าง อีกสองวันเจ้าก็มารับเอาของไปได้เลย”
มู่เหยาจีหันไปยิ้มให้กับภรรยาของเกาโหลวอย่างมีเลศนัย นอกจากเสบียงอาหารแล้ว นางยังมีความต้องการข้าวของอื่นอีก และนางก็ได้ฝากความไว้กับภรรยาของเกาโหลว
อีกสองวันต่อมา สองพี่น้องก็มารับเอาเสบียงอาหารจำนวนมากกลับไป และจะเป็นการเดินทางออกจากเกาะลอยเป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะหยุดการติดต่อกับคนภายนอกจนกว่าฤดูหนาวจะสิ้นสุด
พวกเขาใช้เงินทั้งหมดที่เหลือแลกเปลี่ยนเอาเสบียงอาหารทุกชนิดมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีตำราอีกกองใหญ่ตามคำขอร้องจากมู่เหยาจี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ นิทาน บันทึกการเดินทาง รวมทั้งตำราอาหาร มู่เหยาจีให้ภรรยาของท่านอาเกาโหลวกวาดเอาตำรามือสองมาจากชั้นวางสินค้าร้านหนังสือมาเกือบเกลี้ยงร้านเลยทีเดียว
“นี่พวกเจ้าไม่คิดจะทำสิ่งอื่นนอกจากเกี้ยวพาราสีกันทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้บ้างหรือไร!” เสียงหวานใสของซินหรูอี้ดังมาแต่ไกล“หรูอี้!! ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วให้พูดแต่คำหวานๆ รักษากิริยาให้สำรวมไว้หน่อยเถิด หากลูกในท้องติดนิสัยโผงผางเช่นเจ้ามาข้าคงต้องกลั้นใจตายสักวันเป็นแน่” เวยวั่งซูชักสีหน้าไม่พอใจแต่สองมือก็ประคองปกป้องร่างภรรยารักเอาไว้ราวกับไข่ในหิน“ท่านก็เลิกวุ่นวายกับชีวิตข้าเสียทีเวยวั่งซู!! ข้ามันคิดผิดจริงๆ ที่ยอมแต่งให้ท่าน ดูสิทุกวันนี้ข้าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในแดนเหนือที่หนาวเย็นจนถึงกระดูก คลอดลูกออกมาเมื่อใดข้าจะย้ายมาอยู่กับเหยาจีที่ทางใต้เสียให้รู้แล้วรู้รอด”“ก็ข้าเป็นผู้ฝึกตนสายน้ำแข็งนี่นา ไม่อยู่กับหิมะจะให้ข้าไปอยู่ในกองเพลิงหรือไร แล้วเมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? คลอดบุตรแล้วเจ้าจะมาอยู่ทางใต้ คิดจะทิ้งเราสองพ่อลูกไว้ทางเหนือเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ? ฝันไปเถิด!!" “เจ้าจะหงุดหงิดอันใดนักหนาเล่าวั่งซู นางยังไม่ทันคลอดด้วยซ้ำ ข้าแนะนำให้เอง!! กลับไปแดนเหนือคราวนี้ไม่สู้เจ้าแช่แข็งนางเอาไว้เป็นไร นางจะได้ไม่หนีไปเที่ยวเล่นที่ใดได้อีก”ซินหรูอี้ใช้สองมือประคองท้องกลมโตเดินอาดๆ ม
หญิงสาวก้าวออกมายืนด้านหน้าผู้คนแทนที่อ๋าวหลวนหลง“ชัยชนะของพวกเราในครั้งนี้จะไม่สำเร็จโดยง่ายหากปราศจากพวกเขาเช่นกัน” มู่เหยาจีผายมือไปด้านขวาของนาง สายตามองไปยังสัตว์เลี้ยง 12 ตัวที่ยังรอดชีวิตอยู่“สัตว์ปราณทั้ง 12 ตัว ได้รับผลท้อไปแล้ว 5 ตัว ข้าจะไม่ลังเลเลยที่จะมอบผลท้อสวรรค์อีก 7 ผลให้กับพวกมันอย่างยุติธรรม วันใดที่มนุษย์ไม่อาจไว้วางใจกันเอง พวกท่านโปรดจำเอาไว้ว่าสัตว์ทั้ง 12 จะเป็นผู้ที่ปกป้องท่านจากภยันตรายทั้งปวง”สิ้นคำกล่าวของหญิงสาว ผีเสื้อเกล็ดแก้ว 7 ตัวก็โบยบินออกไปส่งมอบผลท้อสวรรค์ให้วานรสองตัว สุนัขจิ้งจอกสองตัว หวางผาง เต่าและปลาหมึก“ท้อสวรรค์ 7 ผลที่เหลือข้าจะให้ผีเสื้อเกล็ดแก้วเป็นผู้คัดเลือกผู้โชคดีขึ้นมาตามแบบอย่างที่เคยทำในแดนสวรรค์ และจากนี้ไปผลท้อที่สุกออกมาทั้งหมดก็จะใช้วิธีเดียวกันนี้เช่นกัน”มู่เหยาจีวาดเรียวแขนงามออกมาโบกสะบัดชายแขนเสื้อยาวกรุยกรายสยายออกเป็นวงกว้างในอากาศพร้อมกับมีร่างของผีเสื้อเกล็ดแก้วลำตัวใสกระจ่างระยิบระยับเจ็ดตัวโบยบินไปวนเวียนอยู่เหนือศีรษะกลุ่มผู้ฝึกตนที่รวมกลุ่มกันอยู่ผู้โชคดีทั้งเจ็ดคนมีทั้งอดีตเซียนที่ลงมาจากแดนสวรรค์และผู้ฝึกต
“ยามนี้บนเกาะลอยที่เหลือเพียงครึ่งไม่มีผลท้อธรรมดาที่สามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเลยสักผล ทำอย่างไรดีพี่สี่เสิน หวางเซี่ยเจ้าต้องหยุดพักรักษาตัวก่อน เราจะหาทางกลับไปเอาผลท้อมาช่วยเจ้ากันเอง!!” หญิงสาวละล่ำละลัก หันพูดทางนั้นทีทางนี้ทีตัดสินใจทำสิ่งใดไม่ถูก“น้องสาว ผลท้อธรรมดาไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บของหวางเซี่ยได้หรอก ต่อให้เจ้าฝืนเด็ดผลท้อสวรรค์ที่ยังไม่สุกหยิบยื่นให้เขาก็ยังไม่อาจรักษาบาดแผลที่สาหัสนั้นได้ ปล่อยให้เขาทำสิ่งที่เขาต้องการต่อไปเถิด”“ผลท้อช่วยไม่ได้ เช่นนั้นลูกแก้วมังกรของพี่หลวนหลงก็ต้องช่วยได้สิเจ้าคะ ท่านลองส่งสารบอกผีเสื้อเกล็ดแก้วดู ให้พวกเขาพาคุณชายสี่กลับมาที่นี่ก่อน” น้ำตาสองสายไหลออกมาเต็มใบหน้างาม อ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา“เจ้าตั้งสติให้ดีๆ อวัยวะภายในของหวางเซี่ยเสียหายรุนแรงเกินไป หาใช่ขาดแล้วเชื่อมต่อใหม่ได้เหมือนอย่างเส้นเอ็นของหลวนหลง เจ้าดูดวงตาของฝูซีสิ สิ่งที่ขาดหายไปแล้วน้ำลายมังกรไม่อาจสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้”ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้มู่เหยาจีก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงอันหนักหน่วงบนร่างกายสหายรักใต้น้ำสองพี่น้องเดินลงไปที่ชายหาดจุดเดิมที
การเคลื่อนไหวอันทรงพลังของนกอินทรียักษ์รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด เพียงไม่นานมันก็พาอ๋าวหลวนหลงมาพบกับกลุ่มผีเสื้อเกล็ดแก้วที่กำลังรุมล้อมรอบเกาะลอยพุ่งโจมตีไส้เดือนปีศาจยี่สิบตัวกันไม่ยั้งมือ“นั่นมัน!!” ดวงตาคมกริบของอ๋าวหลวนหลงเบิกค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาก็พลันถูกกลืนลงคอไปด้วยความตื่นตะลึงชายหนุ่มขยี้ตาซ้ำๆ อีกหลายครั้งและสุดท้ายก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาตาไม่ฝาด ยามนี้บนต้นท้อสวรรค์มีผลท้อสีเขียวอมชมพูส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลล่องลอยไปทั่วบริเวณ“เป็นไปได้อย่างไรกัน! ท้อสวรรค์ออกผลอีกแล้ว! ฮ่าๆๆๆ ผลงานของเหยาจีนี่ดูท่าจะลูกดกดีแท้!!” กล่าวจบชายหนุ่มก็ต้องรีบจับขนหลังคอนกอินทรีตัวเขื่องเอาไว้แน่น เจ้านกยักษ์แกล้งบินลงต่ำกะทันหันด้วยความหมั่นไส้กับคำพูดที่กำกวมของมนุษย์ไร้ขนที่ขี่หลังมันอยู่“ข้าหมายถึงผลท้อ เจ้าจะขัดเคืองอันใดนักหนา!!” อ๋าวหลวนหลงเอื้อมมือไปตบหัวนกอินทรีทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่ใบหน้าคมกลับแดงก่ำที่ถูกจับได้ว่าแอบคิดนอกลู่นอกทางในยามคับขัน“พวกเขาจัดการเจ้าหนอนเหล่านี้ได้แน่นอน เราต้องไปช่วยทางนั้น” อ๋าวหลวนหลงชี้มือไปยังบริเวณชายหาดเพิกเฉยกับการต
“ข้ายังมีพลังอ่อนด้อยเกินไป ไม่สามารถติดต่อกับผีเสื้อเกล็ดแก้วที่อยู่ทางใต้ไม่ได้ แต่การที่หวางเซี่ยและคู่ของมันลุกขึ้นมาสู้สุดใจเช่นนี้อาจเกิดเรื่องกับทางหลวนหลง” ฝูซีเอ่ยปากอย่างร้อนรน“คุณชายสี่อยู่ทางนั้นเพียงลำพังหรือเจ้าคะ” มู่เหยาจีก็เพิ่งรู้ว่าอ๋าวหลวนหลงไม่ได้อยู่ร่วมการต่อสู้ทางชายหาดบริเวณนี้“ใช่ เขาต้องรีบผนึกรอยแยกใต้ทะเล ทางนี้พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะปล่อยให้พวกมันขึ้นมาบริเวณน้ำตื้นเพื่อจัดการมันได้ง่ายหน่อย แต่จะไม่ยอมปล่อยให้มันขึ้นฝั่ง การที่หวางเซี่ยพาเกาะลอยกลับลงทะเลลึกอยู่นอกเหนือจากที่เราตกลงกันไว้”“เช่นนั้นข้าจะส่งนกอินทรีออกไปสืบข่าว” ต้าโหวจื้อกระโดดลงจากหลังนกอินทรี แล้วปล่อยให้นกยักษ์บินกลับไปเพียงลำพังเพราะตัวเขายังมีประโยชน์ในการสู้รบกับกลุ่มปีศาจมากมายที่มารวมตัวกันบริเวณนี้ไม่มีเวลาให้ทุกคนได้ไตร่ตรองสิ่งใดต่อไป สัตว์ปีศาจที่เล็ดลอดออกจากรอยแยกใต้ทะเลรวมกับกลุ่มที่หลอกล่อให้มนุษย์หลงไปผิดทางก็มีไม่น้อย พวกเขายังไม่สามารถจัดการมันได้ทั้งหมดหากปราศจากความช่วยเหลือจากผีเสื้อเกล็ดแก้วที่แข็งแกร่งทั้งหกพันตัวอินทรียักษ์บินเลยผ่านหวางเซี่ยที่เคลื่อนตัวไปได้
เมื่อเห็นหวางเซี่ยพยายามชิงพื้นที่การควบคุมเกาะลอยใต้น้ำไว้อย่างยากลำบาก ผู้ฝึกตนระดับสูงทั้งหกคนก็มุ่งเข้ามาช่วยเหลือปูยักษ์สองสามีภรรยาโดยพร้อมเพรียงกัน“เหยาจี!! เป็นอย่างไรบ้าง” มู่สี่เสินทะยานขึ้นไปบนเกาะไปหาน้องสาวเป็นคนแรก“พี่สี่เสินข้าปลอดภัย พวกมันกำลังพยายามจะขึ้นไปบนฝั่งเจ้าค่ะ”“ฝูซีก็คาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน เราจะไม่ยอมให้พวกมันเอาต้นท้อสวรรค์กลับลงไปยังแดนปีศาจได้สำเร็จแน่นอน”“พวกเราต้องช่วยหวางเซี่ย ไส้เดือนปีศาจเหล่านั้นแข็งแกร่งมากอีกไม่นานหวางเซี่ยอาจจะทนต่อไปไม่ไหวเจ้าค่ะ”หญิงสาวสงสารและเป็นห่วงปูยักษ์จับใจ ขาทั้งแปดของหวางเซี่ยขยับเขยื้อนได้เพียงเล็กน้อย ความสามารถในการป้องกันตัวแทบจะเป็นศูนย์ แต่โชคดีที่มันมีร่างกายใหญ่โตกว่าไส้เดือนตาบอดเหล่านั้นจึงยังใช้กระดองดันไส้เดือนปีศาจให้อยู่รอบนอกโดยมันควบคุมพื้นที่ใต้เกาะลอยส่วนใหญ่เอาไว้ได้พอดิบพอดีมู่สี่เสินคว้ามือของน้องสาวย่อตัวลงเล็กน้อยและออกแรงกระโดดขึ้นไปอยู่บนร่างของวานรทั้งสองตัวเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับปีศาจไส้เดือนที่กำลังพยายามยึดเอาเกาะลอยกลับคืนมาจากหวางเซี่ย……….รอยแยกใต้ทะเลลึกผีเสื้อเกล็ดแก้