บทที่ 5
“วันมะรืนนี้คุณช่วยพาสองคนนั้นไปหุบกะพงหน่อยนะ แล้วก็ดูมาด้วยว่าที่ดินของพวกเขาอยู่ติดกับย่านที่เรากำลังกว้านซื้อหรือเปล่า ถ้าใกล้ก็จัดการตามเห็นสมควรได้เลย” เมื่อนั่งอยู่ในรถกับคนสนิทเขาก็เริ่มถ่ายทอดคำสั่งออกไป “ผมบอกพวกเขาไปว่าคุณต้องไปทำธุระแถวนั้นพอดี วางฟอร์มให้ดีล่ะ ดูแลพวกเขาให้ดีด้วยเพราะผมรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องนี้เลย” เขาย้ำเพราะสังหรณ์ใจพิกล และลางสังหรณ์ที่เกิดจากความรู้สึกของเขาก็ไม่เคยพลาด
“ครับ” ไซม่อนรับคำ ถึงแม้แปลกใจกับการกระทำของเจ้านาย แต่ก็ปิดปากเงียบสนิทอย่างคนรู้นิสัยใจคอ
สองวันต่อมา
เลกซัสแอลเอ็มสีขาวคันหนึ่งก็มาจอดอยู่ที่หน้าห้องเช่าเก่า ๆ ห้องหนึ่ง คนในรถที่สวมแว่นกันแดดฉาบปรอทสีทองเปิดประตูลงมา แล้วถอดแว่นส่งยิ้มทักทายให้ปู่กับหลานที่มองมาด้วยความสนใจใคร่รู้ แต่ก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
ปันหยีเห็นหนุ่มใหญ่วัยน่าจะประมาณรุ่นพ่อถอดแว่นแล้วส่งยิ้มมาให้ก็จำได้ จึงรีบลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ หนูนึกว่ารถของคนอื่นซะอีก ก็เลยไม่ได้เดินออกมา”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ขึ้นรถเถอะ” ไซม่อนบอกกับเด็กสาว
“ค่ะ” เด็กสาวรับคำแล้วเดินกลับไปจูงปู่ขึ้นรถ
“คุณ.. หนูเรียกคุณว่าคุณอาได้ไหมคะ” เด็กสาวเอ่ยปากถามเมื่อนั่งอยู่ในรถด้วยกันแล้ว
“ได้สิ หนูจะเรียกฉันว่าคุณอา คุณลุง หรือไซม่อนก็ได้ทั้งนั้น” ไซม่อนตอบกลับอย่างใจดีและมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาที่พูด
“ค่ะ” เห็นการแสดงออกอย่างเป็นมิตรของเขาเธอก็หายอึดอัดไปได้มาก “คุณอาทานข้าวหรือยังคะ”
“ยังเลย แล้วหนูกับคุณปู่ล่ะทานหรือยัง” เขาตอบแล้วสตาร์ทรถ
“หนูกับปู่ทานแล้วค่ะ” เด็กสาวเปิดกระเป๋าผ้ากลางเก่ากลางใหม่ ที่ครูประจำชั้นเอาของลูกสาวที่ไม่ใช้แล้วมาให้ หยิบห่อกระดาษห่อหนึ่งยื่นให้เขา “หนูซื้อข้าวเหนียวหมูฝอยมาเผื่อไว้ให้คุณอาค่ะ” เธอไม่รู้หรอกว่าเขาจะกินข้าวมาแล้วหรือยังในตอนแรก แต่ก็ตั้งใจซื้อข้าวเหนียวหน้าหมูห่อนี้ไว้ให้เขาด้วย
ไซม่อนมองหน้าเด็กสาวผ่านแว่นกันแดด เห็นแววตาที่มองมาอย่างใสซื่อของเธอก็เกิดความรู้สึกอ่อนไหวประหลาด.. คนอื่นที่ไม่รู้นิสัยใจคออาจจะมองว่าเขาเป็นคนจิตใจดี เหมือนการแสดงออกที่เป็นมิตร.. แต่จริง ๆ แล้วเขานั้นเฉียบขาดมาก คำว่าเมตตาไม่เคยมีในพจนานุกรม ไม่มีการประนีประนอมใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นสตรีหรือคนชรา
นิสัยเหล่านี้เขาเรียนรู้มาจากเจ้านายที่เป็นรุ่นน้อง ที่มุ่งมั่นสร้างรากฐานให้ตัวเองมาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ บุรุษที่ถูกขนานนามว่านักธุรกิจสมองอัจฉริยะ ผู้ที่เริ่มต้นเล่นหุ้นเพราะเห็นหมายศาลประกาศยึดทรัพย์ของครอบครัว เขาเริ่มศึกษาการเล่นหุ้นและแนวทางการตลาด บริหารบริษัทที่กำลังจะตกไปเป็นของคนอื่นอย่างจริงจัง เพียงแค่หนึ่งปีเศษ ๆ ก็สามารถกอบกู้ชื่อเสียงของครอบครัวกลับมาได้
หลังจากนั้นก็เริ่มขยับขยายบริษัท จับทิศทางการลงทุนได้อย่างแม่นยำเหมือนมีญาณวิเศษ เพียงแค่สิบปีก็ก้าวมาเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามของเกาะฮ่องกง และยังเป็นหุ้นส่วนของบริษัทต่าง ๆ อีกมากมาย
ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในตัวของฟิลลิป หยาง จึงทำให้เขาถอดแบบการทำงานของฝ่ายนั้นมาไม่ผิดเพี้ยน
แต่คนที่ถูกขนานนามว่าเย็นชาไร้หัวใจ ก็มีสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือเรื่องของปู่กับหลานสาวคู่นี้ เขามองเห็นเค้าลางความสวยของเด็กสาวก็จริง แต่เธอก็ยังเด็กเกินไปนักถ้าเทียบกับคนอายุสามสิบสอง
ที่สำคัญไปกว่านั้น... เธอเทียบกับสาว ๆ ที่เจ้านายเขาผลัดกันควงไม่ได้สักคน สาว ๆ พวกนั้นระดับเซเลบทั้งนั้น เรื่องรูปร่าง หน้าตา ไม่ต้องพูดถึง เพราะล้วนผ่านมีดหมอมาแล้วทั้งสิ้น ความสวยจึงจัดอยู่ในระดับนางงามกันเลยทีเดียว...
เจ้านายมองเห็นอะไรในตัวเธอคนนี้กันนะ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องเดียวที่เขาเดาใจเจ้านายไม่ถูก แต่เธอต้องเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกดีแน่ ๆ เขาถึงได้สนใจเธอขนาดนี้
“คุณอาไม่ชอบทานข้าวเหนียวเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นคุณอาจะทานอะไรคะ เดี๋ยวหนูจะไปซื้อให้” เห็นเขาไม่ยอมรับของจากตน แต่ก็รู้ว่าถูกมองผ่านแว่นสีทองที่ปิดดวงตาเอาไว้จึงเอ่ยถาม
“ฉันกินได้ แต่ห่อแค่นี้คงไม่อิ่ม เอาไว้เราแวะกินกลางทางกันดีกว่านะ” เขารับห่อข้าวเหนียวมาจากเธอ “ขอบใจหนูมากนะ” ภาษาไทยที่เกือบชัดถ้อยชัดคำพอ ๆ กับเจ้านายของเขาหลุดออกจากปากอย่างอ่อนโยน
“เห็นห่อแค่นี้แต่มันเยอะมากเลยนะคะ หนูซื้อมาจากป้าข้างห้อง ป้าเขาใส่ให้เยอะเลยค่ะ” เธอล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบข้าวเหนียวที่เก็บเอาไว้อีกสองห่อออกมาหนึ่งห่อ “แต่ถ้าคุณอาไม่อิ่ม หนูยกของหนูให้อีกห่อหนึ่งก็ได้”
“หนูเก็บไว้เถอะ ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้น” เพราะความใสซื่อ ตรงไปตรงมาอย่างไร้จริตแบบนี้หรือเปล่านะ ที่ทำให้เจ้านายของเขาแปลกไป
ไซม่อนเคลื่อนรถออกไปช้า ๆ วิ่งผ่านซอยเล็ก ๆ จนออกไปสู่เส้นทางหลักที่วิ่งไปยังจังหวัดเพชรบุรี ระหว่างทางเขาได้แวะตามปั๊มน้ำมันใหญ่ ๆ คอยดูแลปู่กับหลานสาวอย่างดีตามคำสั่งของเจ้านายอย่างไม่บกพร่อง ถึงแม้เด็กสาวมักจะปฏิเสธเวลาที่เขาชวนไปซื้อของอร่อย ๆ กิน แต่เขาก็มักจะมีข้ออ้างทำให้เธอยอมคล้อยตาม
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงทำให้พวกเขาทั้งสามคนสนิทกันได้เร็วขึ้น การเดินทางเพียงระยะเวลาสั้น ๆ นั้นจึงมีเรื่องคุยและเสียงหัวเราะไปตลอดเส้นทางจนถึงหุบกะพง
“บ้านปู่อยู่แถวนี้เหรอครับ” ไซม่อนเอ่ยถามเมื่อขับรถเข้าไปตามเส้นทางที่ชายชราบอก
“ครับเดี๋ยวพอถึงแยกข้างหน้าแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปก็ถึงแล้ว”
“ใกล้นิดเดียวเองนะครับ เข้าซอยมาไม่ลึกมาก แต่ก็ลำบากถ้าไม่มีรถ” ชายหนุ่มวัยสามสิบเจ็ดปีชวนคุยไปเรื่อย ๆ ขณะที่เลี้ยวขวาเข้าไปตามซอยเล็ก ๆ ที่มีหญ้าขึ้นปกคลุมไปหมด มีเพียงเส้นดินแดงเล็ก ๆ สองเส้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าน่าจะมีรถวิ่งเข้าออกอยู่บ้าง
เห็นสายตาที่เขม่นมองอย่างคาดโทษของภรรยาก็ยักไหล่ใส่อย่างยียวน “ไม่เห็นต้องอายเลย เอดิสันเขาชินแล้ว จริงไหมเอดิสัน”“ครับบอส” คนพูดน้อยตอบรับ“หนูไม่คุยกับคุณแล้ว”“เป็นแม่คนแล้วนะ ถ้างอนเก่งแบบนี้ระวังลูกจะขี้แยนะ” เห็นเธองอนก็ยิ่งเย้าแหย่คนถูกแกล้งค้อนใส่สามีก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งในรถตู้คันหรู เมื่อเขาก้าวตามขึ้นมาก็ซบลงกับต้นแขนแกร่งทันที“หนูง่วงจังเลยค่ะ ขอนอนพักสักหน่อยนะคะ” ตั้งแต่เธอท้องเธอก็กลายเป็นคนนอนง่ายหลับง่าย จนแม่สามียังแซวว่าหลานของท่านคนนี้น่าจะเป็นเด็กเลี้ยงง่าย“ง่วงก็นอนซะ” หยางอี้บอกกับภรรยาขณะขยับตัวรับร่างของเธอให้นอนพิงในท่าที่สบายที่สุด ใช่ว่ารถคันนี้จะคับแคบ เบาะที่เธอนั่งก็สามารถปรับเอนนอนได้เกือบจะร้อยแปดสิบองศา แต่เธอกลับไม่ชอบทำแบบนั้น บอกว่านอนไม่หลับ สู้นอนซุกอกอุ่น ๆ ของเขาไม่ได้“ขอบคุณค่ะ” ใบหน้าอิ่มเอิบเหลือบมองสามี แล้วจุ๊บที่ปลายคางของเขา “หยินรักคุณอี้ที่สุดเลยค่ะ”คำกระซิบบอกเบา ๆ ที่เธออยากให้
เมื่อได้ฟังเหตุผลของลูกชาย ฝ่ายมารดาก็เริ่มเข้าใจและคล้อยตาม “ที่แกพูดก็มีเหตุผล แม่ก็คงต้องรอไปอีกสองสามปีสินะ” แล้วมองว่าที่ลูกสะใภ้ “จะเรียนไปทำไมก็ไม่รู้ไอ้ด็อกเตอร์เนี่ย เรียนไปสามีเธอก็ไม่ให้ไปทำงานหรอก เพราะเธอมีหน้าที่ผลิตลูกให้เขาอย่างเดียวเท่านั้นแหละ” แม่ลูกนิสัยไม่ต่างกันเลยจริง ๆ อยากพูดอะไรก็พูด ไม่รู้จักใช้คำพูดอ้อมค้อมกันบ้างเลย มันทำให้เธอร้อนวูบวาบด้วยความอับอายไปทั้งใบหน้าแล้วตอนนี้ “หนูอยากเรียนเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งลูกสะใภ้ของคุณแม่ ภรรยาที่เพียบพร้อมของคุณหยางอี้ และให้ลูกของหนูได้ภูมิใจในตัวแม่ของเขา เหตุผลเท่านี้พอไหมคะคุณแม่” “แล้วไม่คิดถึงตัวเองบ้างเหรอ” แม้จะพอใจมากกับคำตอบของเธอ แต่เบคกี้หยางก็ยังอยากรู้ หญิงสาวหันไปมองคนข้าง ๆ ที่มองอยู่ก่อนแล้ว “ก่อนหน้า
“ฉันก็แค่หยอกเล่นเท่านั้น แยกแยะไม่ออกหรือไง” หยางอี้คลี่ยิ้มละมุน เข้าประชิดด้านหลังแฟนสาวแล้วจับบ่าของเธอ “ได้ยินแล้วใช่ไหม ท่านก็แค่อยากหยอกว่าที่ลูกสะใภ้เล่นเท่านั้น” เขาจงใจพูดเสียงดังให้มารดาได้ยิน แล้วลดเป็นเสียงกระซิบเบา ๆ ในประโยคต่อมา “แต่ท่านคงจะเขินถ้าทำตัวเป็นกันเองกับหนูง่าย ๆ เพราะเคยเขม่นเอาไว้เยอะ หน้าตาท่านก็เลยดูจริงจังไปหน่อย” “กระซิบกระซาบอะไรกัน” ผู้เป็นมารดาเขม่นลูกชายที่คลี่ยิ้มกว้างส่งสายตาล้อเลียนมาให้“ก็แค่บอกรักเมีย ไม่อยากให้คุณแม่ได้ยินเพราะกลัวจะถูกหมั่นไส้ครับ” “ไม่ใช่นะคะมาดาม” ปันหยีรีบปฏิเสธแล้วหันไปค้อนใส่คนรักอย่างไม่พอใจ “อย่าพูดแบบนี้สิคะ เดี๋ยวมาดามก็โกรธหนูอีก” “ถ้าคิดจะเป็นลูกสะใภ้ฉันก็ควรเรียกฉันว่าแม
หยางอี้สลัดศีรษะไล่ความสะลึมสะลือก่อนกรอกเสียงลงไป “ว่าไงอลัน” (ขอโทษที่โทรมารบกวนนะครับน้าอี้ แต่น้าอี้รู้ไหมครับว่าบีเขาอยู่ไหน) ชายหนุ่มไม่แปลกใจที่ถูกถามแบบนี้ เพราะเด็กหนุ่มก็คงรู้อะไรมาไม่น้อยเหมือนกัน แต่เขาก็รับปากหญิงสาวที่ถูกถามถึงเอาไว้แล้วเหมือนกัน “ไม่รู้สิ ทำไมถึงมาถามหากับฉันล่ะ” (ผมขอร้องนะครับน้าอี้ ได้โปรดบอกความจริงกับผมเถอะครับ ขอแค่บอกว่าเธอไปอยู่ที่ไหน ผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง) “..เอาเป็นว่านายไม่ต้องเป็นห่วงเธอหรอก เพราะเธอกลับบ้านเธอไปแล้ว ฉันรู้เพราะวันนี้เธอมาบอกลากับฉัน และเธอก็ขอร้องฉันว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับนายด้วย” (เธอบอกอย่างนั้นจริง ๆ เหรอครับ)
“มีความสุขดีไหมบี” หยางอี้ถามหญิงสาวที่ยืนตะลึงตาค้างอยู่ในห้อง ส่วนตัว เขาไม่ได้เดินเข้าไป เพราะวันนี้ที่มาก็เพื่อให้เธอรู้ว่าเธอหนีเขาไม่พ้นก็เท่านั้น “คิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอบี” “พี่อี้รู้ได้ยังไง” เธอถามเสียงสั่น แววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เพราะสิ่งที่เธอทำกับเขาก่อนจะขนของออกมามันไม่ธรรมดาเลย “เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระขณะที่ยังอยู่ในฮ่องกงอย่างนั้นเหรอบี” เขาย้อนถามเสียงเย็นพอ ๆ กับแววตา “เธอเซ็นสัญญาทำงานกับฉัน และเวลานี้เธอควรไปเริ่มงานที่สาขาในประเทศไทยได้แล้ว แต่เธอก็ยังเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ ฉันควรจะทำอย่างไรกับเธอดี แจ้งความดำเนินคดีตามกฎของบริษัท หรือว่าแจ้งความเรื่องที่เธอทำลายข้าวของในคอนโดฉันดีล่ะ ค่าซ่อมแซมไม่เท่าไหร่หรอกนะ แค่ล้านกว่า ๆ เอง ถ้าไม่มีเงินจ่ายก็ไปติดคุกซะ” หญิงสาวกลัวจนน้ำตาแทบไหล ทั้งหมดที่เธอทำในคืนนั
ปันหยีเขินอายกับคำพูดของตัวเองเหลือเกิน แต่ก็อยากจะออดอ้อนเอาใจเขาให้ถึงที่สุด เขาจะได้หายโกรธ เธอขยับตัวไปทางด้านหน้าของเขา มองใบหน้าคมเข้มที่มองเธอด้วยแววตาปรารถนาอย่างไม่ปิดบังโกรธให้ตายเขาก็คงปฏิเสธเรือนร่างขาวอมชมพูที่ใส่พานมาให้ถึงที่แบบนี้ไม่ได้ มือใหญ่จึงเอื้อมไปรวบร่างนุ่มนิ่มมาแนบอก ให้เธอได้รู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขากำลังเกิดการตื่นตัว“คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะหายโกรธเหรอ”“ถ้าไม่หายโกรธก็ไม่ต้องมองด้วยสายตาแบบนี้สิคะ” เธอคลี่ยิ้มกว้าง กล้าโต้ตอบใส่เขาเมื่อมือแกร่งนั้นรวบรัดเธอเอาไว้แน่นจนเรือนร่างได้สัมผัสกับของแข็ง ๆ บางสิ่งที่ใต้น้ำชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก มองเธอด้วยสายตาคาดโทษก่อนจะโน้มหน้าไปหาเรียวปากอวบอิ่ม มอบจูบหอมหวานสะท้านทรวงแด่เธอหญิงสาวหลับตาพริ้มรับจูบ โอบกอดรอบลำคอแกร่ง โต้ตอบเรียวลิ้นที่ล่วงล้ำเข้ามาในปากอย่างช่ำชองมากขึ้น หลังจากได้รับการสั่งสอนมาบ่อยครั้ง สองขาเรียวเกี่ยวกอดสะโพกสอบอย่างรู้หน้าที่เมื่อถูกมือใหญ่เกี่ยวขึ้นมา“เรียกฉันเพราะ ๆ แล้วฉันจะมอบความสุขให้เป็นรางวัล”