บทที่ 4
หยางอี้มองเด็กสาวและปู่ของเธอ ที่นั่งตัวตรงก้มหน้ามองแต่มือที่วางไว้บนตัก และใช้เวลานี้พิจารณาคนที่ทำให้จิตใจของเขาอยู่ไม่เป็นสุขมาตลอดสิบวัน เด็กสาววัยแค่ประมาณสิบห้าปี หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณสะอาดหมดจด เพียงแค่นั้นที่เขามองเห็นในตอนนี้
ทรวดทรงแทบจะไม่มี ตัวก็เล็ก ๆ แกน ๆ ถ้าให้พูดตรง ๆ เธอคือผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในบรรดาผู้หญิงที่เขาเคยคบ แต่แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ และคิดถึงเธอได้ขนาดนี้
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ต้องบ้าแน่ ๆ
“ทำไมถึงเอาแต่นั่งนิ่งล่ะ ถ้าไม่มีอะไรจะพูดฉันจะไปทำงานก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาคุยกัน” ตอนที่ญาติสนิทโทรมาถามไถ่เรื่องนี้ เขาเพิ่งจะลงจากเครื่องได้ไม่ถึงสามชั่วโมง และยอมให้ฝ่ายนั้นบอกที่อยู่แก่พวกเขา โดยอ้างไปว่าพวกเขาคงจะเอาเงินมาคืน เมื่อถูกซักว่าทำไมพวกเขาถึงอยากเจอตนนัก
ปันหยีเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วหันไปมองปู่ พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกใบ้ให้ท่านพูด ในสิ่งที่ได้ปรึกษากันมาก่อนหน้านี้อย่างดีแล้ว
อุดมหันไปหาผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ “กระผมกับหลานอยากจะมากราบขอบพระคุณคุณท่านครับ” เขาพูดพร้อมกับยกมือท่วมหัว
ชายหนุ่มยกมือรับไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทางเคร่งขรึมตามสไตล์ “ผมไม่ใช่คนใจดี แต่ก็ทนเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นไม่ต้องคิดมากหรอก ช่วยได้ผมก็ช่วยทุกคนแหละ”
“ขอบพระคุณท่านมากนะครับ”
“ไม่เป็นไร หมดธุระแล้วใช่ไหม”
“คือปู่ของหนูอยากรู้ค่ารักษาทั้งหมดค่ะ” ปันหยีเห็นปู่รู้สึกเหนื่อยกับการพูด จึงตัดสินใจพูดแทนเสียเอง
“อยากรู้ทำไม จะเอาเงินมาคืนฉันเหรอ”
“ค่ะ เราอยากรู้ยอด เราจะได้หาเงินมาใช้คุณ”
“ถ้าเธออยากจะคืนจริง ๆ ฉันคิดแค่ห้าแสนก็พอ เศษอีกแปดหมื่นกว่าบาทฉันลดให้ เธอจะคืนฉันเมื่อไหร่ล่ะ ฉันจะได้บอกให้ผู้ช่วยเตรียมเอกสารค่ารักษาทั้งหมดมาให้” เขาตั้งใจพูดประชดเท่านั้น และต้องแปลกใจเมื่อเห็นอาการตกใจของเธอสงบลงได้อย่างรวดเร็ว
อุดมอยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อได้ยินยอดค่ารักษา มิน่าล่ะ อาการของเขาถึงได้ดีขึ้นผิดหูผิดตาได้เร็วขนาดนี้ เพราะได้ยาดีหมอดีนี่เอง แต่มันก็แพงเหลือเกิน แพงกว่าที่คิดเอาไว้มาก
“ตอนนี้เรายังไม่มีเงินหรอกครับคุณท่าน แต่ผมจะรีบหามาคืนให้เร็วที่สุด”
“ปู่จะหาจากไหนมาคืนผมล่ะ”
คำถามของเขาถึงแม้จะฟังดูเย็นชา แต่อุดมก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม ออกจะให้เกียรติด้วยซ้ำไป
“ภรรยาผมมีที่ดินอยู่แปลงหนึ่งที่เพชรบุรีครับ ผมตั้งใจว่าจะเก็บไว้ให้หลาน” ผู้เป็นปู่มองไปที่หลานสาว ลูบศีรษะของเธออย่างรักใคร่และเสียใจในทีเดียวกัน “แต่เขาบอกให้ผมขายที่ดินผืนนั้นเพื่อเอาเงินมาใช้ให้คุณท่านครับ”
ที่ดินในจังหวัดเพชรบุรีทำให้เขาหูผึ่งเล็กน้อย เพราะตอนนี้บริษัทของเขาก็กำลังกว้านซื้อที่ดินในจังหวัดนั้นเพื่อทำเป็นโครงการที่ดินจัดสรร
“อยู่แถวไหนของเพชรบุรีล่ะ”
“หุบกะพงครับ”
“ก็ไม่ไกลนี่” นอกจากไม่ไกลแล้ว ยังเป็นละแวกเดียวกับที่เขากำลังกว้านซื้อด้วยสิ “แล้วปู่คิดว่าจะขายได้สักเท่าไหร่ล่ะ”
“ผมไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้หรอกครับ ขายได้เท่าไหร่ก็คงเท่านั้น แต่คงต้องไปคุยกับหลานของเมียก่อน เพราะเขาขอใช้ที่ของเราปลูกมะนาวขาย ก็ต้องไปบอกให้รับรู้เอาไว้ เขาจะได้ขยับขยายไปที่อื่น”
“ปล่อยเช่าให้เขาปลูกมะนาวเหรอ”
“ไม่ได้ปล่อยเช่าอะไรหรอกครับท่าน เมียผมคิดว่าดีกว่าปล่อยให้เป็นที่รกร้าง เลยปล่อยให้เขาปลูกฟรี ๆ ตั้งหลายปีแล้ว แทบไม่เคยได้กลับไปดูเลย”
ได้ฟังถึงตรงนี้คิ้วเข้มของหยางอี้ก็ไหวเข้าหากันเล็กน้อย รู้สึกกังวลใจแทนปู่กับหลานคู่นี้ขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา
“จริง ๆ ปู่ไม่ต้องเอาเงินมาคืนผมก็ได้นะ เงินแค่นั้นสำหรับผมไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย”
“ไม่ได้หรอกครับคุณท่าน จะมากจะน้อยผมก็ต้องหามาใช้เท่าที่ผมทำได้ ผมอาจจะตายก่อนที่จะใช้หนี้คุณท่านหมด แต่หลานสาวผมคนนี้จะใช้หนี้ส่วนที่เหลือแทนผมจนครบแน่นอนครับ”
“ผมเพิ่งพาปู่ไปรักษาเองนะ ปู่ก็มาพูดเรื่องตายแล้วเหรอ เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยนะ แล้วปู่จะไปเพชรบุรีเมื่อไหร่ล่ะ” เขาเปลี่ยนเรื่องคุยพร้อมกับมองนาฬิกาที่ข้อมือ เมื่อเห็นผู้ช่วยส่งสัญญาณบอกใบ้ “ผมมีเวลาคุยด้วยอีกห้านาทีเท่านั้นนะ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่กวนคุณท่านแล้วครับ”
หยางอี้มองชายชราที่ร่างกายดูทรุดโทรมเกินกว่าวัย ค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก แม้มีหลานสาวช่วยประคอง
“มะรืนนี้ผู้ช่วยของผมต้องไปทำธุระแถวตำบลเขาใหญ่ ปู่จะไปด้วยไหม” เขาทนให้เด็กสาวต้องลำบากเดินทาง พาปู่ที่ไม่แข็งแรงขึ้นรถโดยสารสาธารณะไม่ได้หรอก
“จริงเหรอคะ!” เด็กสาวเผลอแสดงอาการดีใจออกมาทันที
“ไม่เป็นไรครับคุณท่าน เดี๋ยวผมกับหลานนั่งรถตู้ไปก็ได้ครับ” อุดมปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเพราะแค่นี้ก็เกรงใจเขาจะแย่แล้ว.. ที่สำคัญไปกว่านั้น เมื่อกี้เขาเห็นสายตาของบุรุษผู้นี้มองหลานสาวเขาแปลก ๆ ถึงแม้จะแค่เสี้ยววินาทีแต่เขาก็เห็น
“ไปรถทัวร์ก็ต้องเสียค่ารถ แต่ถ้าไปกับคนของผมก็ไม่ต้องเสียสักบาท สะดวกสบายกว่าด้วย ปู่ลองคิดดูสิ ปู่ก็ไม่ค่อยแข็งแรง หลานสาวก็ตัวเท่านี้ ถ้าเกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาอย่างคราวก่อนจะทำยังไง”
“จริงด้วยจ้ะปู่ ไหน ๆ มันก็เป็นทางผ่านของเขาอยู่แล้ว เราติดรถเขาไปดีกว่านะ แทนที่จะเสียค่ารถสองเที่ยว เราก็เสียแค่เที่ยวกลับเที่ยวเดียวเท่านั้น” เด็กสาวขยับปากไปใกล้ ๆ หูของปู่แล้วกระซิบเบา ๆ “เราจะได้มีเงินเหลือใช้หนี้เพิ่มขึ้นอีกหน่อยไงจ๊ะปู่”
“แต่ปู่เกรงใจคุณท่านเขา”
“ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก เพราะผมไม่ได้ไปด้วย คนที่ไปคือคนนั้นต่างหาก” เขาชี้ไปที่ผู้ช่วยส่วนตัว ที่ทำทุกหน้าที่ได้อย่างดีไม่มีขาดตก “เขาชื่อไซม่อน เป็นมือขวาของผมเอง”
เด็กสาวหันไปมองตามคำแนะนำ เมื่อเห็นเขาคนนั้นโค้งศีรษะทักทายมาให้พร้อมรอยยิ้ม ก็ยกมือไหว้กลับไปพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร
การกระทำของเธอ ตกอยู่ในสายตาคมดุจเหยี่ยวของหยางอี้ตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่เธอแจกรอยยิ้มให้คนของเขาไปทั่วแบบนี้ เพราะเขาอยากให้เธอยิ้มให้เขาคนเดียวเท่านั้น ถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
“ผมต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะให้เอดิสันไปส่งก็แล้วกันนะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ เรากลับเองได้”
“ไม่เป็นไร นั่งรอก่อนนะ” สั้น ๆ ง่าย ๆ แค่ไม่กี่คำ ทำให้ปู่กับหลานต้องนั่งลงที่เดิม ได้แต่ส่งสายตามองตามร่างสูงสมส่วน หน้าตาหล่อราวเทพบุตรเดินจากไป
เห็นสายตาที่เขม่นมองอย่างคาดโทษของภรรยาก็ยักไหล่ใส่อย่างยียวน “ไม่เห็นต้องอายเลย เอดิสันเขาชินแล้ว จริงไหมเอดิสัน”“ครับบอส” คนพูดน้อยตอบรับ“หนูไม่คุยกับคุณแล้ว”“เป็นแม่คนแล้วนะ ถ้างอนเก่งแบบนี้ระวังลูกจะขี้แยนะ” เห็นเธองอนก็ยิ่งเย้าแหย่คนถูกแกล้งค้อนใส่สามีก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งในรถตู้คันหรู เมื่อเขาก้าวตามขึ้นมาก็ซบลงกับต้นแขนแกร่งทันที“หนูง่วงจังเลยค่ะ ขอนอนพักสักหน่อยนะคะ” ตั้งแต่เธอท้องเธอก็กลายเป็นคนนอนง่ายหลับง่าย จนแม่สามียังแซวว่าหลานของท่านคนนี้น่าจะเป็นเด็กเลี้ยงง่าย“ง่วงก็นอนซะ” หยางอี้บอกกับภรรยาขณะขยับตัวรับร่างของเธอให้นอนพิงในท่าที่สบายที่สุด ใช่ว่ารถคันนี้จะคับแคบ เบาะที่เธอนั่งก็สามารถปรับเอนนอนได้เกือบจะร้อยแปดสิบองศา แต่เธอกลับไม่ชอบทำแบบนั้น บอกว่านอนไม่หลับ สู้นอนซุกอกอุ่น ๆ ของเขาไม่ได้“ขอบคุณค่ะ” ใบหน้าอิ่มเอิบเหลือบมองสามี แล้วจุ๊บที่ปลายคางของเขา “หยินรักคุณอี้ที่สุดเลยค่ะ”คำกระซิบบอกเบา ๆ ที่เธออยากให้
เมื่อได้ฟังเหตุผลของลูกชาย ฝ่ายมารดาก็เริ่มเข้าใจและคล้อยตาม “ที่แกพูดก็มีเหตุผล แม่ก็คงต้องรอไปอีกสองสามปีสินะ” แล้วมองว่าที่ลูกสะใภ้ “จะเรียนไปทำไมก็ไม่รู้ไอ้ด็อกเตอร์เนี่ย เรียนไปสามีเธอก็ไม่ให้ไปทำงานหรอก เพราะเธอมีหน้าที่ผลิตลูกให้เขาอย่างเดียวเท่านั้นแหละ” แม่ลูกนิสัยไม่ต่างกันเลยจริง ๆ อยากพูดอะไรก็พูด ไม่รู้จักใช้คำพูดอ้อมค้อมกันบ้างเลย มันทำให้เธอร้อนวูบวาบด้วยความอับอายไปทั้งใบหน้าแล้วตอนนี้ “หนูอยากเรียนเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งลูกสะใภ้ของคุณแม่ ภรรยาที่เพียบพร้อมของคุณหยางอี้ และให้ลูกของหนูได้ภูมิใจในตัวแม่ของเขา เหตุผลเท่านี้พอไหมคะคุณแม่” “แล้วไม่คิดถึงตัวเองบ้างเหรอ” แม้จะพอใจมากกับคำตอบของเธอ แต่เบคกี้หยางก็ยังอยากรู้ หญิงสาวหันไปมองคนข้าง ๆ ที่มองอยู่ก่อนแล้ว “ก่อนหน้า
“ฉันก็แค่หยอกเล่นเท่านั้น แยกแยะไม่ออกหรือไง” หยางอี้คลี่ยิ้มละมุน เข้าประชิดด้านหลังแฟนสาวแล้วจับบ่าของเธอ “ได้ยินแล้วใช่ไหม ท่านก็แค่อยากหยอกว่าที่ลูกสะใภ้เล่นเท่านั้น” เขาจงใจพูดเสียงดังให้มารดาได้ยิน แล้วลดเป็นเสียงกระซิบเบา ๆ ในประโยคต่อมา “แต่ท่านคงจะเขินถ้าทำตัวเป็นกันเองกับหนูง่าย ๆ เพราะเคยเขม่นเอาไว้เยอะ หน้าตาท่านก็เลยดูจริงจังไปหน่อย” “กระซิบกระซาบอะไรกัน” ผู้เป็นมารดาเขม่นลูกชายที่คลี่ยิ้มกว้างส่งสายตาล้อเลียนมาให้“ก็แค่บอกรักเมีย ไม่อยากให้คุณแม่ได้ยินเพราะกลัวจะถูกหมั่นไส้ครับ” “ไม่ใช่นะคะมาดาม” ปันหยีรีบปฏิเสธแล้วหันไปค้อนใส่คนรักอย่างไม่พอใจ “อย่าพูดแบบนี้สิคะ เดี๋ยวมาดามก็โกรธหนูอีก” “ถ้าคิดจะเป็นลูกสะใภ้ฉันก็ควรเรียกฉันว่าแม
หยางอี้สลัดศีรษะไล่ความสะลึมสะลือก่อนกรอกเสียงลงไป “ว่าไงอลัน” (ขอโทษที่โทรมารบกวนนะครับน้าอี้ แต่น้าอี้รู้ไหมครับว่าบีเขาอยู่ไหน) ชายหนุ่มไม่แปลกใจที่ถูกถามแบบนี้ เพราะเด็กหนุ่มก็คงรู้อะไรมาไม่น้อยเหมือนกัน แต่เขาก็รับปากหญิงสาวที่ถูกถามถึงเอาไว้แล้วเหมือนกัน “ไม่รู้สิ ทำไมถึงมาถามหากับฉันล่ะ” (ผมขอร้องนะครับน้าอี้ ได้โปรดบอกความจริงกับผมเถอะครับ ขอแค่บอกว่าเธอไปอยู่ที่ไหน ผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง) “..เอาเป็นว่านายไม่ต้องเป็นห่วงเธอหรอก เพราะเธอกลับบ้านเธอไปแล้ว ฉันรู้เพราะวันนี้เธอมาบอกลากับฉัน และเธอก็ขอร้องฉันว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับนายด้วย” (เธอบอกอย่างนั้นจริง ๆ เหรอครับ)
“มีความสุขดีไหมบี” หยางอี้ถามหญิงสาวที่ยืนตะลึงตาค้างอยู่ในห้อง ส่วนตัว เขาไม่ได้เดินเข้าไป เพราะวันนี้ที่มาก็เพื่อให้เธอรู้ว่าเธอหนีเขาไม่พ้นก็เท่านั้น “คิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอบี” “พี่อี้รู้ได้ยังไง” เธอถามเสียงสั่น แววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เพราะสิ่งที่เธอทำกับเขาก่อนจะขนของออกมามันไม่ธรรมดาเลย “เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระขณะที่ยังอยู่ในฮ่องกงอย่างนั้นเหรอบี” เขาย้อนถามเสียงเย็นพอ ๆ กับแววตา “เธอเซ็นสัญญาทำงานกับฉัน และเวลานี้เธอควรไปเริ่มงานที่สาขาในประเทศไทยได้แล้ว แต่เธอก็ยังเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ ฉันควรจะทำอย่างไรกับเธอดี แจ้งความดำเนินคดีตามกฎของบริษัท หรือว่าแจ้งความเรื่องที่เธอทำลายข้าวของในคอนโดฉันดีล่ะ ค่าซ่อมแซมไม่เท่าไหร่หรอกนะ แค่ล้านกว่า ๆ เอง ถ้าไม่มีเงินจ่ายก็ไปติดคุกซะ” หญิงสาวกลัวจนน้ำตาแทบไหล ทั้งหมดที่เธอทำในคืนนั
ปันหยีเขินอายกับคำพูดของตัวเองเหลือเกิน แต่ก็อยากจะออดอ้อนเอาใจเขาให้ถึงที่สุด เขาจะได้หายโกรธ เธอขยับตัวไปทางด้านหน้าของเขา มองใบหน้าคมเข้มที่มองเธอด้วยแววตาปรารถนาอย่างไม่ปิดบังโกรธให้ตายเขาก็คงปฏิเสธเรือนร่างขาวอมชมพูที่ใส่พานมาให้ถึงที่แบบนี้ไม่ได้ มือใหญ่จึงเอื้อมไปรวบร่างนุ่มนิ่มมาแนบอก ให้เธอได้รู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขากำลังเกิดการตื่นตัว“คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะหายโกรธเหรอ”“ถ้าไม่หายโกรธก็ไม่ต้องมองด้วยสายตาแบบนี้สิคะ” เธอคลี่ยิ้มกว้าง กล้าโต้ตอบใส่เขาเมื่อมือแกร่งนั้นรวบรัดเธอเอาไว้แน่นจนเรือนร่างได้สัมผัสกับของแข็ง ๆ บางสิ่งที่ใต้น้ำชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก มองเธอด้วยสายตาคาดโทษก่อนจะโน้มหน้าไปหาเรียวปากอวบอิ่ม มอบจูบหอมหวานสะท้านทรวงแด่เธอหญิงสาวหลับตาพริ้มรับจูบ โอบกอดรอบลำคอแกร่ง โต้ตอบเรียวลิ้นที่ล่วงล้ำเข้ามาในปากอย่างช่ำชองมากขึ้น หลังจากได้รับการสั่งสอนมาบ่อยครั้ง สองขาเรียวเกี่ยวกอดสะโพกสอบอย่างรู้หน้าที่เมื่อถูกมือใหญ่เกี่ยวขึ้นมา“เรียกฉันเพราะ ๆ แล้วฉันจะมอบความสุขให้เป็นรางวัล”