เข้าสู่ระบบกลิ่นหอมจากหม้อข้าวต้มในครัวโชยเข้าจมูก กุลวดีพาร่างที่เพิ่งตื่นอย่างงัวเงียเดินออกจากห้องเพราะความกระหายน้ำอย่างรุนแรง และตรงไปที่ห้องครัว หล่อนหลับสนิทตลอดทั้งคืนด้วยฤทธิ์เหล้าปั่นผลไม้หลายขนาน บวกกับไวน์ที่เจ้านายหนุ่มส่งเข้ามาให้ในห้องคาราโอเกะเมื่อคืน ตีกันอลเวงอยู่ในหัวตอนนี้ อาการปวดตุบ ๆ ที่ขมับทั้งสองข้างจนต้องหายากินเพื่อคลายมันออก
เมยาวียืนหันหลังคนหม้อข้าวต้มอยู่ในครัว หันมามองตามเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา และชะงักกับภาพตรงหน้ากับสภาพของผู้เป็นน้องที่ยืนกะพริบตาปริบ ๆ สะลึมสะลืออยู่ ผมยาวสลวยของหล่อนตอนนี้ฟูฟ่องเหมือนรังนกโดนไฟช็อต และยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมที่เธอเปลี่ยนให้ตั้งแต่เมื่อคืน เบ้าตาดำเหมือนหมีแพนด้าและรอยมาชคาร่าสีดำจากขนตาที่เปื้อนยาวจนเกือบถึงขมับ แถมริมฝีปากบางที่เผยอขึ้นเล็กน้อยจากอาการตกใจที่เจอผู้เป็นพี่ ลิปสติกสีจืดจางเลอะรอบปากเหมือนเด็กที่กินน้ำแดงจนเลอะเทอะ
“มายด์หิวน้ำ”
เสียงอ่อยและยิ้มแห้ง ๆ ลุ้นอยู่ว่าจะโดนดุอีกไหม เดินไปที่ตู้เย็นรินน้ำใส่แก้ว พร้อมเสียงดื่มน้ำอึกใหญ่ติดต่อกัน เป่าปากถอนหายใจ
“กินข้าวต้มร้อน ๆ จะได้สบายท้อง”
เมยาวีเอ่ยขึ้นและตักข้าวต้มใส่ชามวางบนโต๊ะในครัว หลังจากมองการกระทำของหญิงสาวตรงหน้า และพยายามชินกับพฤติกรรมนี้ของกุลวดีให้ได้ เด็กดีที่หัวดื้อ สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยหล่อนก็แอบไปดื่มกับเพื่อนๆ แบบนี้จนต้องหามกลับมาบ่อยครั้ง และก็โดนดุทุกครั้ง และก็ยังทำอีกทุกครั้ง และเธอที่ดุน้องทุกครั้งก็ต้องมาทำข้าวต้มให้อีกทุกครั้งเช่นกัน
“รีบกินแล้วไปอาบน้ำ สภาพอย่างกับไปออกรบมา”
ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ
“ขอบคุณค่ะ” หน้าเจื่อน ๆ
ผู้เป็นพี่ถอนหายใจขี้เกียจจะดุให้เมื่อยปากแล้ว ปล่อย ๆ ไปบ้างเหมือนทวีบอกก็ดีเหมือนกัน หล่อนโตแล้วบางทีคงอยากทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง ตราบใดที่ยังไม่เกินเบอร์เธอก็จะหลับตาไว้ข้างหนึ่งก็แล้วกัน
เมยาวีเดินออกจากในครัว สวนกับจักรพรรดิที่กำลังเดินเข้ามาพอดี คนที่กำลังตกข้าวต้มเข้าปากชำเลืองมองด้วยหางตา ปะติดปะต่อภาพขาด ๆ หาย ๆ ของเมื่อคืน ภาพตัดตอนขึ้นนั่งรถเขา และหลังจากนั้นก็ดับสนิทนึกอะไรไม่ออก มองร่างสูงที่ชงกาแฟไม่พูดไม่จาตรงหน้า ต่างคนต่างแอบชำเลืองดูกันและกัน
“ที่ห้อง…น้ำไม่ไหลเหรอ?”
เขาเอ่ยหลังจากจัดแจงกาแฟให้ตัวเองเรียบร้อย มือถือแก้วกาแฟยืนพิงกึ่งนั่งกับขอบโต๊ะ กุลวดีหันไปมองหน้าเขาและหันกลับมาก้มลงมองดูตัวเอง ยกมือขึ้นลูบผมที่ฟูฟ่องบนหัวให้ยุบลง เธอลืมสำรวจตัวเองก่อนออกจากห้องเพราะความกระหายน้ำ แต่ไม่เห็นต้องทักขนาดนี้ก็ได้มั้ง หญิงสาวนั่งตัวตรงไม่ขยับกลอกตาไปมาเลิ่กลั่ก
“ผมว่าคุณควรกินให้น้อยลงนิดนึงนะ” เขาหลุบตามองชามเข้าต้ม
“ตัวคุณหนักไปหน่อย” และถือแก้วกาแฟเดินออกห้องครัว พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
เขาหมายความว่ายังไงตัวหนักไปหน่อย หรือว่าเมื่อคืน….
เธอเป่าปากผ่อนลมหายใจ ไม่รู้ว่าทำอะไรน่าขายหน้าไปบ้าง ก่อนรีบลุกกลับห้องอาบน้ำชำระร่างกาย
บรรยากาศในที่ทำงานเริ่มคึกคักอีกครั้ง เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลปรับเลื่อนตำแหน่งและฐานเงินเดือนประจำปี ต่างฝ่ายต่างรวบรวมผลงานเพื่อนำเสนอผู้บริหาร ทวีดึงจักรพรรดิขึ้นเป็นรองประธาน ชายหนุ่มไม่ได้ไปมือเปล่าแต่เหน็บเลขาคนเดิมติดมือไปด้วย และตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดก็ว่างลง ซึ่งยังไม่ผ่านการอนุมัติจากประธาน เนื่องจากยังไม่มีผู้เหมาะสม
สองผู้ช่วยหนุ่มสาวกุลวดีและอภินันท์สาละวนอยู่ในห้องรับรองตั้งแต่เช้า กับการเตรียมความพร้อมรับแขกของประธานที่จะเข้าพบในวันนี้
“ใครจะมาเหรอคะคุณซัน?”
กุลวดีหันไปถามผู้ช่วยหนุ่มของท่านประธาน หลังจากถูกขอความช่วยเหลือให้ช่วยจัดเตรียมความพร้อม ที่แขกของทวีจะเข้าพบในช่วงสาย และกำชับให้รองประธานให้เข้าร่วมด้วย
“คุณวศินเจ้าของธุรกิจส่งออก ที่เป็นคู่ค้ากับท่านประธานตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทเลยครับ”
“คุณมายด์คงยังไม่เคยเจอ”
“อ๋อ ค่ะ” พยักหน้า
เสียงสนทนาบวกกับเสียงหัวเราะประสานกันเป็นพัก ๆ ดังออกมาจากห้องรับรองที่อภินันท์และกุลวดีเดินเข้าเดินออกเป็นว่าเล่น หยิบโน่นจับนี่เข้าห้องรับรองมือเป็นระวิง เนื่องจากสองผู้สูงวัยที่ไม่ได้พบปะกันเป็นเวลานาน และมีของมาอวดกันอย่างสนุกสนานเหมือนวัยรุ่นที่ขิงของสะสมกันมากกว่าการคุยเรื่องธุรกิจ
ด้านข้างของผู้สูงวัยที่มาเยือน คือสาวสวยที่นั่งวางท่าเหมือนพญาหงส์ ดีไซเนอร์ป้ายแดง ดีกรีนักเรียนนอกที่เพิ่งกลับเมืองไทย ตามคำบอกเล่าของผู้เป็นบิดา
“ยายพั๊นซ์เค้าร้อนวิชาอยากเปิดสตูดิโอเสื้อผ้าที่ออกแบบเอง”
“ผมก็นึกถึงเอเจนซี่กิตติณรงค์อันดับแรกเลยนะ” วศินพูดเอาใจทวี
“เห็นข่าวบอกว่าคุณทวีวางมือเรื่องโฆษณาให้ลูกชายมารับช่วงต่อเหรอครับ”
“ใช่ครับ เด็ก ๆ สมัยนี้เขาเก่งเรียนรู้เร็ว”
“อีกหน่อยคงวางมือทุกอย่างแล้วอยู่บ้านรอเลี้ยงหลานน่าจะเหมาะกว่า” ทวีพูดพลางหัวเราะ
“วันนี้ไม่อยู่เหรอครับ? อยากเจอรองประธานคนใหม่สักหน่อย ยังไม่เคยเจอตัวจริงเลย”
ประตูห้องรับรองถูกเปิดออกพร้อมบุคคลที่กำลังถูกพูดถึงเดินเข้ามาตรงหน้า สองผู้สูงวัยแนะนำหนุ่มสาวให้ทำความรู้จัก สถานะโสดของหนุ่มสาวดูจะเป็นจุดสนใจของผู้เป็นพ่อทั้งสองฝ่าย ต่างทาบทามให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกระเซ้าเย้าแหย่ทีเล่นทีจริง จนสาวมั่นลอบมองใบหน้าคมคายอย่างพึงใจ โดยเฉพาะความเฉยชาจากใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม ที่ดูจะไม่สนใจในความสวยสะพรั่งของหล่อนเอาเสียเลย ไม่มีสักรายที่จะมองเมิน “พรรณราย” แบบนี้
จนเวลาล่วงเลยไปเกือบบ่าย ทวีและวศินที่ขอตัวไปทำธุระต่อ จักรพรรดิที่ต้องพาพรรณรายออกไปกินข้าวข้างนอกเพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนร่วมงานเป็นเอเจนซี่สตูดิโอเสื้อผ้าใหม่ของเธอ และเป็นการพูดคุยคร่าว ๆ เรื่องสโคปงานก่อนเริ่มงานจริงในอีกไม่นาน ถึงแม้จะขึ้นนั่งตำแหน่งรองประธานแล้ว แต่ก็ยังต้องดูงานของฝ่ายการตลาดพ่วงด้วย เพราะยังไม่มีใครเหมาะมานั่งเก้าอี้ตามทัศนะของทวีได้
“มายด์เหรอคะ?” กุลวดีจิ้มนิ้วที่กลางอกตัวเองหลังจากที่อภินันท์พูดจบ
“ครับ คุณจักรพรรดิให้ลงไปตอนนี้เลย รออยู่ที่รถแล้วครับ”
พรรณรายดูจะผิดหวังที่คิดว่าจะได้ทำความรู้จักกับชายหนุ่มตามลำพัง แต่เขากลับพ่วงเลขาตามมาร่วมโต๊ะอาหารกลางวันด้วย ถึงแม้จะไม่พอใจแต่พยายามเก็บอาการไว้
หลังจากที่ชายหนุ่มขอตัวเข้าห้องน้ำ สองสาวที่อยู่กันตามลำพังที่โต๊ะอาหาร พรรณรายกอดอกและมองหน้ากุลวดี มองเลยตั้งแต่ศีรษะและหลุบตาลงต่ำ มองการแต่งตัว ก่อนมุมปากจะกระตุกและเบือนหน้าหนี มีแค่คนโง่เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าหล่อนเหยียด ช่างเถอะยังไงเสียหล่อนก็เป็นลูกค้า และเราก็อยู่ในหน้าที่
“เธอเป็นเลขาเขาเหรอ?”
พรรณรายพูดและช้อนตามองคู่สนทนาที่เธอไม่ได้ยินดีจะสนทนาด้วยสักเท่าไหร่ ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันจะตอบ หล่อนก็ถามคำถามใหม่ทันที
“ทำงานมากี่ปีแล้ว?”
“ยังไม่ถึงปีค่ะ” ยิ้มหน้านิ่ง
“เด็กเส้นเหรอ?” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาทันที
“ขอโทษด้วยนะที่ต้องถามตรง ๆ ฉันคนตรงน่ะ เห็นบอกว่าทำงานได้ไม่นานไม่น่าจะมาอยู่จุดนี้ได้”
ความหมายของหล่อนกุลวดีพอจะเข้าใจ ลองอยู่นอกหน้าที่สิแม่ไม่ปล่อยให้ลอยหน้าอยู่แบบนี้หรอก ทำไมจะมองไม่ออกว่าหล่อนจ้องจะกินเจ้านายเธอ สายตาหล่อนเชื้อเชิญขนาดนั้นเด็กปฐมยังเข้าใจได้เลยว่าหล่อนอ่อย จะทอดสะพานหรือยั่วยวนผู้ชายก็ทำไปสิ จะมาจิกกัดคนอื่นทำไม
“ไม่เป็นไรค่ะ” ยิ้มสวยให้
“จริง ๆ ดิฉันก็ไม่อยากอยู่ตรงจุดนี้หรอกค่ะ”
“กลัวทำงานได้ไม่ดีเพราะประสบการณ์ยังมีไม่มาก”
เธอพูดเสียงนุ่มนวลอย่างสุภาพ
“แต่คุณจักรพรรดิขอดิฉันกับท่านประธานให้มาเป็นเลขาน่ะค่ะ”
“เลยไม่รู้จะปฏิเสธยังไง”
พูดพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มและส่งยิ้มให้พรรณราย คู่สนทนาถึงกับหายใจติดขัด และควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ เมื่อรู้ตัวว่าถูกตอกหน้าเสียแล้ว
“แต่วันนี้ถ้าฉลาดเธอก็ไม่ควรมา”
หล่อนยิงตรงประเด็นไปเลยก็แล้วกัน อย่าคิดจะเล่นกับพรรณรายถ้าไม่แน่จริง
“ถ้าทำให้คุณพรรณรายไม่พอใจดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ”
ก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอโทษ
“แต่ต้องขอรายงานเจ้านายก่อนถึงจะกลับได้ค่ะ” ใบหน้าสวยยังยิ้มอยู่ แค่ผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันจำเป็นต้องออกตัวแรงขนาดนี้เลยเหรอ
ชายหนุ่มที่เดินกลับโต๊ะพร้อมกับความเงียบที่รับรู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไร
“คุณพรรณรายมีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับท่านรองตามลำพัง”
เธอเปลี่ยนสรรพนามใหม่เรียกเขาอีกแล้ว
“ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เธอทิ้งบอมไว้ ยิ้มและลุกขึ้นยืนโค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินออกจากร้านอาหารไป ไม่รอให้เขาอนุญาตด้วยซ้ำ ชายหนุ่มที่กำลังงุนงง จะตะโกนเรียกก็กระไรอยู่ ในร้านลูกค้าก็เยอะแยะ หญิงสาวเดินออกไปไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย ไฮโซผู้ดีอะไรกันทำตัวอย่างกับนางร้ายในละคร นี่ขนาดเพิ่งเจอกันวันแรกยังขนาดนี้ หากมาร่วมงานกันจะขนาดไหน
นี่เขาจะให้หล่อนรู้สึกแย่ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มโปรเจคเลยหรือไง ผู้หญิงให้ท่าขนาดนี้ยังจะลากลูกน้องมาให้อึดอัดอีก ดูสีหน้าแววตาก็รู้อยากกินเจ้านายหล่อนจนตัวสั่น คิดแล้วก็พาลถึงตัวต้นเหตุ
จักรพรรดิมองตามร่างเล็กที่เดินออกไปอย่าง งง ๆ หล่อนเป็นอะไร และหันกลับมามองพรรณราย“มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ?”
พรรณรายอึกอักตอบ ไม่คิดว่าหล่อนจะโยนมาให้แบบนี้ และที่สำคัญยัยเลขานั่นไม่รอให้เขาอนุญาตก่อนออกไปด้วยซ้ำ ยัยเด็กนี่ถือดีไม่เบา คงร้ายพอตัวอยู่ ก่อนหาคำพูดมากมายมาสนทนากับชายหนุ่มตรงหน้า ที่ฟังกี่ประโยคก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่สำคัญต้องคุยกันตามลำพังเลยสักเรื่อง
กุลวดียืนกุมมืออยู่หน้าโต๊ะทำงานของเจ้านาย กลอกตาล้อกแล้กไปมาลุ้นว่าจะโดนเขาดุไหม หลังจากกลับมาจากร้านอาหารก็เรียกหล่อนเข้าพบด้วยใบหน้าบึ้งตึง วางถุงกระดาษบนโต๊ะทำงาน
“รับไปสิคุณยังไม่กินข้าวกลางวันนี่”
หญิงสาวเหลือบมองถุงกระดาษที่เขาวางบนโต๊ะ คิดว่าด้านในน่าจะเป็นขนมจากข้อความและรูปภาพที่ระบุไว้ด้านนอก
“มีอะไรหรือเปล่าถึงรีบกลับ?”
“โดยที่ผมยังไม่ได้อนุญาต”
ใบหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ กล้าดียังไงปล่อยให้พรรณรายแทะโลมเขาตามลำพังจนค่อนบ่าย
“ไม่มีค่ะ ก็คุณพรรณรายอยากอยู่กับคุณตามลำพัง” พอโดนดุเธอก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาอีกแล้ว
“พรรณรายเป็นเจ้านายคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงต้องฟังคำสั่งเธอ”
เสียงต่ำจ้องหน้านิ่ง คนถูกถามไม่กล้าสบตา
“ขอโทษค่ะ”
“ผมเท่านั้นที่สั่งคุณได้”
“และต่อไปห้ามให้พรรณรายอยู่กับผมตามลำพังอีก” คนฟังสตั๊นไปสามวิในสิ่งที่ได้ยิน
“ไปทำงานได้แล้ว”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน” เขาเอียงหน้าและมองไปที่ถุงกระดาษ เป็นสัญญาณให้หยิบออกไปด้วย
“ขอบคุณค่ะ”
เดินออกห้องไป รู้สึกเห็นใจยัยไฮโซนั่นขึ้นมาทันที อุตส่าห์ออกตัวแรงขนาดนั้นผู้ชายยังไม่ปลื้ม ดูสวยดูรวยแต่ไม่ตรงสเป็กก็แป้กไป แล้วผู้หญิงแบบไหนที่เขาชอบ แอบถามตัวเอง
วันหยุดสุดสัปดาห์ของกุลวดีในวันนี้ ที่อยากนั่งโง่ ๆ พักชาร์ทแบตให้สมองอยู่ที่บ้าน จึงปฏิเสธชิดสุดาที่โทรมาชวนออกไปเดินเล่นศูนย์การค้า เธอนั่งเปิดหนังสือแมกาซีนดูภาพสวย ๆ ของนางแบบด้านในอย่างอารมณ์ดีที่ห้องนั่งเล่น
“หนูมายด์วันหยุดไม่ออกไปเที่ยวไหนเหรอ?”
ทวีทักทายในตอนสายหลังจากเดินลงมาจากห้อง
“กุ๊ดมอร์นิ่งค่ะคุณอา”
ทักทายผู้อาวุโสพร้อมยิ้มสดใส ตั้งแต่เมยาวีและกุลวดีย้ายมาอยู่ที่บ้าน ทวีดูจะสดชื่นขึ้นมาก คำว่าบ้านมีความหมายขึ้นมากกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะลูกชายของเขาก็กลับมาค้างที่บ้านบ่อยขึ้น ไม่ขลุกอยู่แต่ที่คอนโดเหมือนเคย
“วันนี้ไม่มีแพลนออกข้างนอกค่ะ”
“งั้นดีเลย อาให้เจ้าเสือไปทำธุระให้ หนูก็ไปเป็นเพื่อนพี่เค้าหน่อยก็แล้วกัน” งานเข้าละวันหยุดของฉัน พร้อมกับที่เจ้าตัวเดินลงมาพอดี
“เจ้าเสือมานี่” กวักมือเรียกผู้เป็นลูก
“ให้น้องไปเป็นเพื่อน จะได้ช่วยกันเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ”
หญิงสาวเลิ่กลั่ก วันหยุดยังต้องมาอยู่ด้วยกันอีกเหรอ คิดหาคำพูดที่เหมาะที่สุดในเวลานี้ และบอกไปแล้วด้วยว่าไม่มีธุระที่ไหน
“เอ่อ…คือ บางทีการขับรถคนเดียวเงียบ ๆ ก็เป็นการพักสมองอย่างหนึ่ง”
“คุณเสือชอบความเป็นส่วนตัว คง…”
“โอเค…อีกสิบนาทีออกเดินทาง”
จักรพรรดิสวนขึ้นทันทียกข้อมือขึ้นมองนาฬิกา และหันมามองหน้าหญิงสาวที่กำลังเหลอหลาอยู่ ยัยเด็กนี่ชักจะหนักข้อเข้าไปทุกวันแล้ว ดูหล่อนจะลำบากใจทุกครั้งที่ต้องไปไหนมาไหนกับเขาสองคน
“หนูลำบากใจหรือเปล่า?” ทวีถามพร้อมยกคิ้วมองหน้ารอคำตอบ
เมยาวีที่เดินตามลงมา
“ไปกันเถอะค่ะคุณ” และหยุดมองวงสนทนาตรงหน้า
“มีอะไรหรือเปล่ายัยมายด์?”
“เปล่าค่ะ” หน้าเจื่อน สั่งขนาดนี้แล้วใครจะกล้าปฏิเสธ
กุลวดีรู้สึกตัวในเช้าของวันใหม่ขยับตัวบิดเหยียดร่างกายไปมา รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอย่างยาวนาน แต่ร่างกายยังคงมีความเพลียหลงเหลืออยู่จนอยากนอนต่ออีกสักงีบ วันนี้วันอะไร? ใช่วันทำงานหรือเปล่า? ถามตัวเองทั้งที่ตายังหลับอยู่และเรียบเรียงคำตอบให้ตัวเองลำดับเหตุการณ์ในความจำในขณะที่ยังสะลึมสะลือ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันทีกับภาพที่พอจะจำได้เลือนรางในเหตุการณ์ของเมื่อวาน“ตื่นแล้วเหรอ?”เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังอยู่ข้างเตียง หันไปมองเจ้าของเสียงและกวาดตาไปทั่วห้องสับสนมึนงงไปชั่วขณะ นี่เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ใครพาเธอมา…เขาเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?และสารพัดคำถามในหัวตอนนี้พร้อมกับเสียงเคาะประตู เมยาวีเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับถ้วยข้าวต้มที่ส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูก ตามด้วยร่างของทวี“ตื่นแล้วเหรอ?” ถามคำถามเดียวกันเมยาวีทักทายผู้เป็นน้องสาว ในใจนึกโมโหยัยตัวแสบอยู่ไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่จักรพรรดิถ่ายทอดให้ฟังกับการกระทำของเธอ แต่คงไม่มีประโยชน์หากจะตำหนิและดุด่าเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ในตอนนี้ ชายหนุ่มรับถ้วยเข้าต้มจากมือของเธอและวางลงตรงโต๊ะข้างหัวเตียง ลุกไปนั่งท
กุลวดีวางสายจากเมยาวีหลังจากโทรนัดผู้เป็นพี่ให้มาหาที่สำนักงานคอนโดเพราะมีข่าวเรื่องแม่จะหาหรือ หลีกเลี่ยงการเข้าไปหาที่กิตติณรงค์เพราะไม่อยากเจอใครบางคนที่นั่น“เก่งส่งถ้าไม่คิดจะจริงจังก็ปล่อยไปข่าวมาบอกว่าตอนนี้แม่กับไอ้เจิดอยู่ในคุก”“ครั้งนี้ไม่ใช่คดีเล่นพนันเหมือนทุกครั้ง เจ้าทุกข์เขาไม่ยอม”พูดเรื่องปวดหัวเดิม ๆ ของผู้เป็นแม่“พี่รู้แล้วล่ะมีคนส่งข่าวมาบอกแล้ว พี่จะจัดการเองมายด์ไม่ต้องกังวลหรอก”ไม่อยากให้ผู้เป็นน้องต้องหนักใจ สังเกตจากสีหน้าและแววตาเรื่องกังวลในใจของเธอคงยังไม่ถูกเคลียร์ ไม่ควรเอาเรื่องไร้สาระที่ไม่มีวันจบสิ้นของผู้เป็นแม่ยัดเข้าไปในหัวให้เธออีก“มายด์มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?”เธอหมายถึงนอกจากเรื่องของแม่ กุลวดีส่ายหน้าฝืนยิ้มจืด ๆ ให้ผู้เป็นพี่“เปล่า”“มายด์นอนดึกไปหน่อยเลยรู้สึกเพลีย ๆ” โกหกด้วยแววตาหม่นเมยาวีช้อนตามองหน้าคู่สนทนาตรงหน้าที่พยายามยิ้มฝืนซ่อนความรู้สึกข้างในไว้ แต่กระนั้นก็ยังโผล่พ้นมาให้เห็นอยู่ ซึ่งไม่ต่างจากจักรพรรดิแม้แต่น้อยกับภาพที่เมยาวีเห็นและรับรู้ ที่วัน ๆ มีแต่ความขุ่นมัวบึ้งตึงบนใบหน้า โดยเฉพาะเรื่องงานที่มีปัญหาโดนเรียกเ
เหมือนตกจากที่สูงหัวใจกุลวดีหล่นวูบลงรู้สึกชาที่ใบหน้าไปชั่วขณะ ใครกันสาวสวยคนนี้ที่เดินเคียงข้างมากับเขา? ไหนบอกว่าไปรับแขกคนสำคัญ?หรือแขกที่ว่าคือเธอคนนี้?“ไอ้เสือมาพอดี”เสียงทวีปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ กุลวดีเหมือนถูกตรึงอยู่ชั่วขณะลืมแม้กระทั่งการขยับตัว จักรพรรดิพาสาวงามไปนั่งที่โต๊ะพูดคุยกันสักครู่ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะส่งสัญญาณให้เดินมาหา เมยาวีที่จูงมือกุลวดีเดินไปพร้อมกันเพื่อทำความรู้จักแขกผู้ใหญ่ในงาน“ขอให้มีความสุขสุขภาพแข็งแรงนะครับคุณทวี”“ขอบคุณครับ” สองผู้สูงวัยยื่นมือสัมผัสกันด้วยรอยยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างคุณจักรพรรดินะครับ ได้เจอตัวจริงเสียที”“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” ชายหนุ่มสัมผัสมือเป็นการทักทายอย่างสุภาพ“ไม่ทราบว่าสาวสวยข้างคุณจักรพรรดิคนนี้…”“ใช่ว่าที่สะใภ้ของกิตติณรงค์ไหม๊ครับ?”ชายสูงวัยมองมาที่กุลวดีที่คาดเดาว่าต้องเป็นคนรักของเขาเป็นแน่ หลังจากส่งคำถามมาที่เธอ หญิงสาวที่ถูกเอ๋อกินส่งยิ้มให้ผู้อาวุโสยังคงปั้นหน้าไม่ถูกเพราะในหัวมีเรื่องให้กังวลอยู่ พร้อมสีหน้าผู้ถามที่รอคำตอบจากเธอ“เอ่อ…” ยังตั้งสติอยู่ก่อนจะยกมือไห
จักรพรรดิขับรถด้วยอารมณ์ขุ่นมัวตรงไปดักรอที่คอนโดของเธอทันที นี่เธอจะกล้าเกินไปแล้วที่ปิดโทรศัพท์ท้าทายเขา นั่งรอในห้องรับรองดูซิว่าจะมาถึงกี่โมงนี่ขนาดออกมาพร้อมกันแท้ ๆ อารมณ์หงุดหงิดวิ่งพล่านทั่วตัวแสงไฟหน้ารถสาดส่องตามท้องถนนที่โล่งตาในตอนกลางคืน สองหนุ่มสาวพูดคุยทำลายความเงียบในรถ กวินวัฒน์ที่ดื่มมาบ้างแม้ไม่ได้มากมายก็ระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษ คนจรจัดที่หอบหิ้วถุงพลาสติกพะรุงพะรังอยู่ข้างถนนมองเห็นแต่ไกลลิบ ๆ จากแสงไฟของเสาไฟฟ้าข้างทางทันใดทันเขาก็วิ่งข้ามถนนมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พร้อมกันกับที่มอเตอร์ไซค์ขับตรงมาด้วยความเร็วสูงหักหลบกะทันหันทำให้เสียหลักล้มไถลไปตามถนน เสียงโลหะครูดกับคอนกรีตดดังสนั่นชวนเสียวฟัน พร้อมกับร่างคนขับที่ไถลไปคนละทางกับรถ และชายคนจรที่หายไปในความมืด“จอดก่อนค่ะคุณกวิน”ตีไฟกะพริบเข้าจอดข้างทางพร้อมโทรแจ้งเหตุ ก่อนรอรถเจ้าหน้าที่มาถึงและนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลจักรพรรดิที่นั่งดื่มย้อมใจรอการกลับมาของใครบางคน ยกมือขึ้นมองหน้าปัดนาฬิกา กดข่มอารมณ์ไว้พร้อมความร้อนวูบวาบที่ใบหน้า แก้วเหล้าในมือแทบแตกเป็นจุณจากการบีบ“ขอบคุณคุณกวินมากนะคะที่มาส่ง”“ยิน
จักรพรรดิที่นั่งจิบกาแฟในห้องรับรองของสำนักงานคอนโดเพียงลำพัง ถึงแม้งานจะล้นตารางแต่ชายหนุ่มก็ปลีกตัวออกมานั่งรอเธอ เพื่อออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่สุดท้ายเขาก็โดนเธอเทโดยข้ออ้างคือยังติดลูกค้าอยู่ ตั้งแต่เปิดโครงการมาเธอแทบไม่มีเวลาโทรหาเขาเลย ข้อความหวาน ๆ ที่เคยส่งหาเขาเป็นประจำทุกวันก็เริ่มห่างหายไปกุลวดีเปลี่ยนไปมากทั้งสไตล์การแต่งตัวและบุคลิก ดูมีชีวิตชีวาและสดใสตลอดเวลาในการทำงาน เธออาจจะอึดอัดในตำแหน่งเลขาของเขาแต่ไม่กล้าขัดทวี และคงชอบงานในลักษณะนี้มากกว่า ขืนปล่อยไว้แบบนี้คงไม่เป็นผลดีกับเขาแน่“โทษทีให้รอนาย”เสียงพีรภัสปลุกให้ตื่นจากความคิด ทักทายและนั่งลงตรงข้าม สุดท้ายเขาก็กลับมาตายรังกับเพื่อนรัก สองเพื่อนซี้พูดคุยสับเพเหระไปตามเรื่อง นั่งดื่มจนเริ่มได้ที่“นั่นคุณเมย์กับคุณมายด์นี่”พีรภัสเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มหันออกไปมองสองพี่น้องสาวสวยเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับชายสูงอายุและชายหนุ่มหน้าตาดีทรงสมาร์ท และเลือกนั่งโซนหน้าร้านในขณะที่เขาและพีรภัสนั่งมุมด้านในจักรพรรดิมองภาพข้างหน้าไม่วางตา หนุ่มรูปหล่อที่ดูจะใส่ใจกุลวดีเป็นพิเศษอย่างสุภาพบุรุษ ตั้งแต่เริ่มเดินเข้ามาในร้าน
ชิดสุดารับหน้าที่เป็นศิราณีนั่งฟังเพื่อนระบายความอัดอั้น พร้อมทั้งกระดกเครื่องดื่มแก้วแล้วก็เล่า แต่ไม่คิดจะห้ามเพราะถ้าเมาแล้วจะได้รีบส่งเพื่อนกลับบ้าน เพราะวันนี้เธอมีนัดพิเศษ แต่ดูเหมือนกุลวดีจะไม่มีท่าทีว่าจะกลับและยังดื่มต่อได้อีกหลังจากตารางงานวันนี้เสร็จสิ้นจนมืดค่ำ อภินันท์ที่มีนัดดินเนอร์กับชิดสุดาหลังจากเริ่มสานสัมพันธ์กันตั้งแต่วันที่ไปส่งหญิงสาวที่บ้านในคืนนั้น แต่ฝ่ายสาวยกเลิกนัดเนื่องจากต้องนั่งเฝ้ากุลวดีเพื่อนรักที่เริ่มเมาแอ๋ แต่ยังหัวชนฝาว่าจะไม่ยอมกลับและขอไปค้างกับเธอที่บ้าน ทั้งที่บอกเหตุผลไปแล้วว่าไม่ว่างแต่ดูเหมือนกุลวดีจะฟังไม่เข้าใจเสียแล้ว อภินันท์ครุ่นคิดแผนอยู่ในหัว“ผมขอรบกวนประธานสักเรื่องได้ไหมครับ?”“ผมติดต่อคุณเมย์ไม่ได้”“จะเรียนคุณเมย์ให้ส่งคนไปรับคุณมายด์”“ตอนนี้เมามากและไม่ยอมกลับบ้าน ชิดสุดาคนเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ครับ”จักรพรรดิที่หันขวับมองหน้าทันที หมอนี่รู้ได้ยังไงว่าเธอไปไหน พร้อมอภินันท์ที่พอจะรู้ตัวเมื่อถูกมองหน้า“ชิดสุดาโทรบอกผมครับ”นี่คือแผนของอภินันท์เพื่อดึงชิดสุดาออกมาและตัวเองกลับบ้านแต่งตัวเพื่อรอออกไปดินเนอร์ และยิ้มให้กับความชาญฉล







