เข้าสู่ระบบตอนที่
13
บทเรียนจากน้ำตา
อคิณยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของพราวตะวัน เขานั่งลงพิงบานประตูอย่างเงียบๆ นานหลายนาที เขารู้ว่าความเจ็บปวดที่พราวตะวันได้รับในตอนนี้มันหนักหนาแค่ไหน และการปล่อยให้เธอได้อยู่คนเดียวกับความรู้สึกนั้นอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่เขาก็ทำใจที่จะเดินจากไปไม่ได้ เขานั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ราวกับจะคอยปกป้องเธอจากความเจ็บปวดที่กำลังถาโถมเข้ามา
ภายในห้อง พราวตะวันนอนร้องไห้จนตัวโยนอยู่บนเตียง เธอรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงไปในทะเลที่มืดมิดและไร้ซึ่งทางออก ความเจ็บปวดในใจของเธอรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เคยเจอมาในชีวิต เธอไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เธอรักมากที่สุดจะทำร้ายเธอได้ขนาดนี้ ทุกคำพูดที่ฟิล์มเคยบอกรัก ทุกสัญญาที่เคยให้กันมันกลับกลายเป็นสิ่งที่หลอกลวงทั้งสิ้น เธอโง่เขลาที่เชื่อคำพูดเหล่านั้นมาตลอด
“ฉันมันโง่...” พราวตะวันพึมพำกับตัวเอง เสียงสะอื้นที่ดังออกมาเบาๆ เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนกระทั่งหมดแรงและผล็อยหลับไปในที่สุด
เมื่อพราวตะวันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แสงแดดอ่อนๆ ก็ส่องเข้ามาในห้องแล้ว เธอรู้สึกปวดตาและเจ็บปวดไปทั้งตัวจากการร้องไห้เมื่อคืน เธอเดินไปที่กระจกและพบว่าใบหน้าของตัวเองซีดเซียวและบวมช้ำจากน้ำตา เธอเดินไปเปิดประตูห้องและพบว่าอคิณกำลังนั่งหลับพิงประตูอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเธอ เขาก็รีบตื่นขึ้นมาทันที
“พราว คุณโอเคไหม” อคิณลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย
“คุณหิวไหม คุณน่าจะยังไม่ได้ทานอะไร ผมจะให้แม่บ้านทำโจ๊กให้”
พราวตะวันไม่ได้ตอบอะไร เธอเดินผ่านเขาไปอย่างเงียบๆ อคิณเห็นดังนั้นก็รีบเดินตามเธอลงไปที่ชั้นล่าง
“พราวทานอะไรหน่อยเถอะ”
“ฉันไม่หิว” พราวตะวันตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า “แล้วคุณจะมาตามฉันทำไม”
อคิณไม่ยอมแพ้ เขายืนอยู่ข้างๆ เธออย่างเงียบๆ คอยสังเกตอาการของเธอทุกอย่าง จนพราวตะวันรู้สึกอึดอัด “คุณจะทำอะไร”
“ผมจะอยู่กับคุณ” อคิณตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ผมจะไม่ไปไหน”
“คุณไม่เป็นไรเหรอ” อคิณกล่าว “ถ้าคุณไม่เป็นไรแล้วทำไมคุณต้องร้องไห้”
คำพูดของอคิณทำให้พราวตะวันเงียบไป เธอเถียงเขาไม่ออก เพราะสิ่งที่เขาพูดคือความจริง
พราวตะวันเดินไปนั่งลงที่โซฟาอย่างอ่อนแรง อคิณเดินตามมานั่งลงข้างๆ เธอและยื่นแก้วน้ำให้ พราวตะวันรับมาดื่มอย่างเงียบๆ
“ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวด” อคิณกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปลอบโยน “แต่คุณต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง เขาไม่ได้รักคุณ เขาแค่หลอกใช้คุณ”
พราวตะวันไม่ได้ตอบอะไร เธอหลับตาลงอย่างเจ็บปวด น้ำตาของเธอไหลลงมาเงียบๆ
“คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ” อคิณกล่าว “แต่คุณจงจำไว้ว่าผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
พราวตะวันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสับสนในใจ เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร เธอควรจะโกรธที่เขาพูดแบบนี้ แต่ในใจลึกๆ เธอก็รู้สึกขอบคุณที่เขายังคงเคียงข้างเธอในวันที่เธอเจ็บปวดที่สุด เธอไม่เคยคิดว่าจะมีใครเข้าใจความรู้สึกของเธอได้มากขนาดนี้
“คุณ...คุณไปเถอะ” พราวตะวันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ฉันอยากอยู่คนเดียว”
อคิณเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอ “ไม่!!! ผมจะอยู่กับคุณจนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น”
“คุณจะอยู่กับคนที่ไม่ได้รักคุณไปทำไม” พราวตะวันกล่าวอย่างตัดพ้อ
“เพราะผมรักคุณ” อคิณตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงใจและอ่อนโยนอย่างที่สุด “ผมจะทำให้คุณรักผมให้ได้”
พราวตะวันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันมีทั้งความสับสน ความโกรธ ความเจ็บปวด และความประหลาดใจกับสิ่งที่เขาพูด เธอเห็นความจริงจังในดวงตาของเขา แต่ก็ยังคงหวาดระแวงและไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดอยู่ดี
“ผมรู้ว่าคุณรักเขามาก” อคิณกล่าว “แต่ผมจะรอ ผมจะรอจนกว่าคุณจะลืมเขาได้ ผมจะรอจนกว่าคุณจะพร้อมที่จะเปิดใจให้ผม”
พราวตะวันเงียบไป เธอรู้สึกจุกแน่นในลำคอ เธอไม่เคยคิดว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ หัวใจของเธอเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ เธออยากจะเชื่อเขาแต่หัวใจของเธอตอนนี้มันมีแค่ฟิล์มเท่านั้น แม้ว่าความจริงจะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม
ทั้งวันพราวตะวันเอาแต่นั่งเหม่อลอยสลับกับร้องไห้ ข้าวก็กินไปไม่มาก อคิณที่ต้องออกไปทำงานเขาก็ขับรถออกไปได้ไม่ถึงไหน เขาก็เปลี่ยนใจไม่ทำงานเพื่อที่จะอยู่ที่บ้านเพื่ออยู่ให้ใกล้พราวตะวันมากที่สุด
เสียงโทรศัพท์ดังขั้นในความเงียบสงัดของบ้าน ทำให้พราวตะวันต้องรีบเดินมาหยิบดูอย่างรวดเร็ว หน้าจอที่ปรากฏชื่อของฟิล์ม ทำให้หัวใจที่บอบช้ำของเธอเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง พราวตะวันมองโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกที่ปะปนกันไปหมด ทั้งความเจ็บปวด ความโกรธ และความสับสน เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะกดรับสายดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกดรับสายด้วยความคิดที่จะทดสอบความรู้สึกที่ยังเหลืออยู่ของเขา
“ฮัลโหลพราว” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นมาตามสาย
“พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้โทรหาพราวเลย” พราวตะวันเงียบไปครู่หนึ่ง เธอพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่เป็นไรค่ะ”
พราวตะวันหัวเราะหึๆ ในลำคอ เธอเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาดังๆ ด้วยความสมเพชตัวเองที่เคยเชื่อใจเขา “ก็ดีค่ะ”
“พี่ขอโทษนะ” ฟิล์มกล่าว “พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างพราวในวันที่พราวต้องการพี่มากที่สุด”
“ไม่เป็นไรค่ะ” พราวตะวันตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ในเมื่อพี่ช่วยอะไรพราวไม่ได้ พราวก็ต้องหาทางออกด้วยตัวเองอยู่แล้ว”
“พราวพูดเหมือนโกรธพี่เลยนะ” ฟิล์มกล่าว “พี่รู้ว่าพราวคงยังไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถึงต้องทำแบบนี้
พราวตะวันกัดริมฝีปากแน่น เธอกำลังพยายามอย่างหนักที่จะไม่ร้องไห้ออกมา “พราวไม่เข้าใจค่ะ” เธอกล่าวออกมาและพยายามกลั้นน้ำตาไม่ไห้ไหลและเสียงไม่ให้สั่น
“พราวไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่บอกรักพราวนักหนาถึงทอดทิ้งพราวไว้แบบนี้”
“พราวเรื่องมันซับซ้อนนะ” ฟิล์มพยายามอธิบาย “พี่ก็แค่...”
“แค่ทำตามฝันของพี่อย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าความฝันของพราวมันพังทลายลงไปหมดแล้วใช่ไหมคะ” พราวตะวันพูดแทรกขึ้นมาทันที น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย
คำพูดของพราวตะวันทำให้ฟิล์มเงียบไปพักใหญ่ เขาคงไม่คิดว่าเธอจะพูดอะไรแบบนี้
“พราว...ใจเย็นๆ ก่อนนะ” ฟิล์มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “พี่รู้ว่าพราวโกรธ แต่เรามาคุยกันให้รู้เรื่องดีกว่านะ”
“ไม่มีอะไรต้องคุยแล้วค่ะ” พราวตะวันกล่าว “ทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้วนี่คะ”
“พราวพูดเรื่องอะไร พี่ไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรค่ะ พราวรู้แค่ว่าพี่ไม่เคยทำอะไรเพื่อพราวเลย”
“อีกไม่กี่เดือนพี่ก็จะเรียนจบแล้ว รอพี่ก่อนนะ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อพราวนะ” ฟิล์มพูดขึ้นมาเพื่อให้พราวตะวันเชื่อในสิ่งที่เขาพูดแต่เขาไม่รู้เลยว่าพราวตะวันไม่มีวันเชื่อใจเขาได้อีกแล้ว
พราวตะวันมองไปที่รูปภาพบนหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “อย่าเลยค่ะ” เธอพูด “ทุกอย่างมันจบลงแล้ว”
พราวตะวันกดวางสายโทรศัพท์อย่างแรง เธอรู้สึกเจ็บปวดและผิดหวังในตัวฟิล์มมากยิ่งขึ้นไปอีก เธอไม่คิดว่าเขาจะเห็นแก่ตัวได้มากขนาดนี้
เธอทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง น้ำตาของเธอไหลลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง อคิณที่แอบดูเธออยู่ตลอดเวลาตัดสินใจที่จะเข้าไปหาเธอ เขาเดินเข้าไปหาเธอแล้วนั่งลงข้างๆ เธอ
“ผมรู้ว่ามันเจ็บปวด” อคิณกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “แต่คุณต้องเข้มแข็งนะ”
พราวตะวันหันไปมองเขาด้วยแววตาที่ว่างเปล่า เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย อคิณเห็นดังนั้นก็ค่อยๆ ยื่นมือไปกอดเธอเอาไว้แน่น พราวตะวันไม่ได้ขัดขืน เธอปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาบนไหล่ของอคิณอย่างไม่หยุดหย่อน เธอกำลังเจ็บปวดและต้องการที่พึ่งในตอนนี้
ตอนที่17เมื่อใจเริ่มสับสน เช้าตรู่วันเดินทางไปหัวหิน บ้านของวรวิชญ์ที่ปกติจะเงียบสงบกลับวุ่นวายราวกับพายุเข้า พราวตะวันยืนพิงกรอบประตูห้องโถงมองความโกลาหลตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เธอเห็นพราวฟ้ากำลังโวยวายกับอคินัยเรื่องกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ที่หนักเกินไปท่ามกลางเสียงบ่นของพราวฟ้า อคินัยก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับราวกับหูทวนลม “คุณเอาอะไรมาเนี่ย กระเป๋าจะหนักไปไหน” พราวฟ้าบ่นพร้อมขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าสวยบึ้งตึงด้วยความหงุดหงิด เธอพยายามยกกระเป๋าแต่ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย “ก็ของจำเป็น หนักยังไงคุณไม่มีแรงหรือเปล่า” อคินัยตอบเรียบๆ น้ำเสียงกวนประสาทเล็กน้อยพร้อมกับพยายามยัดกระเป๋าขึ้นรถด้วยท่าทางที่ดูไม่สนใจนัก จู่ๆ กล่องแก้วคริสตัลขนาดเล็กที่วางอยู่บนกระเป๋าเดินทางของพราวฟ้าก็ร่วงหล่นลงมา กล่องกระแทกพื้นจนแตกกระจาย เสียงดังเพล้ง!!! ทำลายความเงียบสงบในบ้านไปจนหมดสิ้น เศษแก้วคมกริบกระเด็นไปทั่วพื้น บางส่วนบาดลึกเข้าที่หลังมือของอคินัยจนเลือดไหลซึมเป็นทางยาว พราวฟ้าชะงักไปชั่วขณะ หัวใจของเธอหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่ม ความหงุดหงิดและความโกรธที่เคยมีหายไปในพริบตา ถู
ตอนที่16ผู้พิทักษ์คนใหม่ หลังจากกลับจากโรงพยาบาล พราวฟ้าได้แต่เก็บความอัดอั้นและความรู้สึกไร้ประโยชน์ไว้ภายในใจที่ไม่เคยช่วยเหลือพี่สาวกับแม่ได้เลย จนเธอต้องหาทางระบายออกด้วยการรับคำชวนของเพื่อนไปเที่ยวที่บาร์ เพื่อปล่อยความเครียดที่สะสมมาให้ละลายหายไปกับแสงสีและเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม พราวฟ้าในชุดเสื้อครอปสีดำโชว์หน้าท้องแบนราบกับกางเกงยีนส์เอวสูงตัวโปรด ก้าวเข้าไปภานในร้านด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจ แต่ในใจของเธอ กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นที่ยากจะระบายออกมา เสียงเบสที่ดังกระหึ่มจากลำโพงทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ แสงไฟนีออนสีแดงและสีม่วงสาดส่องไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่ปลุกเร้าให้ผู้คนรอบข้างหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงที่แสนจะคุ้นเคย พราวฟ้าเลือกที่จะนั่งอยู่ที่โต๊ะที่อยู่มุมร้านเพื่อจะได้มีพื้นที่ส่วนตัวมากพอทีจะพูดคุยกับเพื่อนๆ ของเธอได้อย่างาสบายใจ “พราว แกเงียบไปนะ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยทัก “ไม่สนุกเหรอ” พราวฟ้าส่ายหน้า “เปล่าหรอก แค่รู้สึกเหนื่อยๆ นิดหน่อย” “ฉันเข้าใจนะ” เพื่อนอีกคนพูด “แกลอ
ตอนที่15โอกาสที่ยังไม่พร้อม เมื่อทำอาหารเสร็จเรียบร้อย ทั้งอคิณและพราวตะวันก็นำอาหารไปที่โรงพยาบาล กลิ่นยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ ยังคงคละคลุ้งในอากาศภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ บรรยากาศที่เงียบสงบถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่น พราวตะวันและอคิณเดินเข้ามาพร้อมกับถุงอาหารในมือ เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาก็เจอกับอรัญญาที่นั่งอยู่ที่โซฟาภายในห้องกำลังนั่งอ่านหนังสือ ส่วนสุริยะก็กำลังนอนดูทีวีอยู่บนเตียงคนไข้ พราวตะวันก็เดินเข้าไปหาพ่อกับแม่ของเธอทันที ใบหน้าของเธอสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความเศร้าที่เคยบดบังดวงตาคู่สวยจางหายไปจนเกือบหมดสิ้น ทำให้คุณอรัญญาถึงกับยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “คุณพ่อ คุณแม่คะ นี่โจ๊กเพื่อสุขภาพที่พราวทำกับพี่อคิณค่ะ” พราวตะวันเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง เธอยื่นกล่องอาหารให้กับอรัญญาอย่างตั้งใจ อรัญญาเอื้อมมือไปรับกล่องโจ๊กมาไว้ในมือ เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านกล่องใบเล็กๆ นั้น“ขอบคุณนะพราว อคิณด้วย จริงๆ ไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้นะ” เธอมองลูกสาวและลูกเชยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ไม่เป็นไรครับคุณอา” อคิณตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ “ผมอยากให้คุ
ตอนที่14ความห่วงใยของอคิณ พราวตะวันยังคงจมอยู่กับความเศร้า เธอเอาแต่นอนเศร้าไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้น อคิณชวนเธอไปไหนก็ไม่ไป เขาจึงเดินเข้าไปนั่งที่ขอบเตียงอย่างเงียบๆ พราวตะวันหันหลังให้เขาและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง “พราว...” อคิณเรียกพราวตะวันขึ้นมาแต่เธอก็ยังไม่ยอมเอาตัวออกมาจากผ้าห่ม “พราวตะวัน...” อคิณเรียกเธออีกครั้งแต่เธอก็เอาแต่นอนคลุมโปงอยู่อย่างนั้น “ผมเข้าใจเลยว่าคุณเสียใจ แต่การจมอยู่กับมันแบบนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ” พราวตะวันไม่ตอบ เธอซุกหน้าเข้ากับหมอนแน่นขึ้น “การอยู่กับความเศร้าในห้องสี่เหลี่ยมนี้จะยิ่งทำให้คุณแย่ลง” อคิณพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่จริงจัง “การได้ออกไปเจอโลกภายนอกบ้าง ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ อาจจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น” พราวตะวันยังคงนิ่งเงียบ อคิณจึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่เขาคิดจริงๆ “ผมไม่ได้จะบังคับคุณ แต่มันไม่มีใครสามารถมีความสุขได้ถ้าต้องทนทุกข์อยู่ตลอดเวลา ผมอยากให้คุณออกมาจากตรงนี้เพื่อตัวคุณเองนะครับ ผมพร้อมที่จะอยู่ข้างๆ คุณเสมอ”หลังจากที่อคิณพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้พราวตะวันนอนอย
ตอนที่ 13บทเรียนจากน้ำตา อคิณยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของพราวตะวัน เขานั่งลงพิงบานประตูอย่างเงียบๆ นานหลายนาที เขารู้ว่าความเจ็บปวดที่พราวตะวันได้รับในตอนนี้มันหนักหนาแค่ไหน และการปล่อยให้เธอได้อยู่คนเดียวกับความรู้สึกนั้นอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่เขาก็ทำใจที่จะเดินจากไปไม่ได้ เขานั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ราวกับจะคอยปกป้องเธอจากความเจ็บปวดที่กำลังถาโถมเข้ามา ภายในห้อง พราวตะวันนอนร้องไห้จนตัวโยนอยู่บนเตียง เธอรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงไปในทะเลที่มืดมิดและไร้ซึ่งทางออก ความเจ็บปวดในใจของเธอรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เคยเจอมาในชีวิต เธอไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เธอรักมากที่สุดจะทำร้ายเธอได้ขนาดนี้ ทุกคำพูดที่ฟิล์มเคยบอกรัก ทุกสัญญาที่เคยให้กันมันกลับกลายเป็นสิ่งที่หลอกลวงทั้งสิ้น เธอโง่เขลาที่เชื่อคำพูดเหล่านั้นมาตลอด “ฉันมันโง่...” พราวตะวันพึมพำกับตัวเอง เสียงสะอื้นที่ดังออกมาเบาๆ เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนกระทั่งหมดแรงและผล็อยหลับไปในที่สุด เมื่อพราวตะวันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แสงแดดอ่อนๆ ก็ส่องเข้ามาในห้องแล้ว เธอรู้สึกปวดตาและเจ็บปวดไปทั้ง
ตอนที่ 12 ยิ่งพยายามใกล้ยิ่งห่างไกล อคิณกลับเข้ามาในห้องทำงานด้วยสีหน้าอ่อนล้าจากการประชุมที่ยาวนานกว่าที่คิด เขามองไปที่พราวตะวันที่กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าของเธอหันออกไปมองทิวทัศน์ข้างนอก แต่แววตาของเธอกลับว่างเปล่า ราวกับว่าความคิดของเธอกำลังล่องลอยไปในที่ไกลแสนไกลอคิณเดินเข้ามาใกล้เธอช้าๆ เขารู้สึกผิดที่บังคับเธอให้มารอเขาประชุม“ผมขอโทษนะครับพราว ที่ทำให้คุณต้องรอนาน” อคิณกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พราวตะวันไม่ตอบอะไร เธอยังคงนิ่งราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในห้องกับเธอ ราวกับว่าการมีตัวตนของเขาไม่มีผลอะไรต่อเธอเลยแม้แต่น้อยอคิณถอนหายใจเบาๆ เขาเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นแล้วเอื้อมมือไปจับมือของเธอไว้เบาๆ“ผมรู้ว่าคุณโกรธ แต่ผมขอโทษได้ไหม” พราวสะบัดมือของเขาออกอย่างแรง“ฉันไม่ได้โกรธ แต่ฉันรำคาญที่ต้องอยู่ใกล้ๆ คุณอย่างนี้และยิ่งตอนนี้ฉันก็ยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้ๆ คุณ”“ผมรู้ว่าคุณรำคาญผมแต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้อยากทำให้คุณอึดอัด” อคิณบอกกับเธออคิณเงียบไปชั่วขณะ เขามองพราวตะวันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และตัดพ้อ“พราวคุณไม่เคยคิดเลยหรือไงว่าที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้ ผมหวังดีกับ







