LOGINกลิ่นดินประสิวฉุนกึกปะปนกับกลิ่นไหม้ของเนื้อไม้ลอยคละคลุ้งไปทั่วโถงทางเดิน ควันสีเทาหนาทึบลอยอ้อยอิ่งบดบังทัศนวิสัย แสงไฟฉุกเฉินสีแดงหมุนวาบสะท้อนเงาวูบไหวบนผนัง ราวกับเลือดที่กำลังเต้นเร่า
ธนิดาไอโขลกจนตัวงอ ความแสบจากควันไฟกัดกินลำคอและดวงตาจนน้ำตาไหลพราก แต่ฝ่ามือหนาที่กุมมือเธอไว้นั้นกลับไม่ยอมคลายออกแม้แต่วินาทีเดียว มันบีบแน่น แน่นจนเธอรู้สึกเจ็บ แต่มันคือความเจ็บปวดเดียวที่ยึดเหนี่ยวเธอไว้กับสติสัมปชัญญะ
“ก้มต่ำไว้! อย่าเงยหน้าขึ้นมา!”
เสียงคำรามของนาวินดังก้องแข่งกับเสียงปืนที่เริ่มระดมยิงเข้ามาจากทิศทางที่กำแพงพังทลาย เขาไม่ได้หันมามองเธอ แต่ใช้แผ่นหลังกว้างของตัวเองเป็นโล่กำบัง ดันร่างเธอให้แนบชิดไปกับผนังหินอ่อนเย็นเฉียบ
ปัง! ปัง! ปัง!
กระสุนเจาะทะลุแจกันราคาแพงบนแท่นโชว์จนแตกกระจาย เศษกระเบื้องปลิวว่อนเฉียดใบหน้าของธนิดาไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด เธอหวีดร้องด้วยความตกใจ ซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของเขาโดยสัญชาตญาณ
นาวินกัดฟันกรอด นัยน์ตาสีรัตติกาลวาวโรจน์ด้วยความโกรธจัด เขาเอี้ยวตัวออกไปเพียงเสี้ยววินาที ยกปืนพกสีเงินในมือขึ้นเล็งด้วยความชำนาญที่น่าขนลุก
ปัง! ปัง!
สองนัดแลกกับสองชีวิต ร่างของชายชุดดำที่สวมหน้ากากรูปหัวกะโหลกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแก๊งเสือดาวร่วงลงจากระเบียงชั้นสอง กระแทกพื้นเสียงดังสนั่น
“ไป!” เขาสั่งสั้นๆ กระชากแขนเธอให้วิ่งตาม
ทั้งคู่วิ่งฝ่าดงกระสุนและเศษซากปรักหักพัง รองเท้าส้นสูงของธนิดาหลุดหายไปข้างหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เธอไม่สนใจ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำลงบนเศษแก้วจนได้เลือด แต่ความเจ็บปวดทางกายเทียบไม่ได้เลยกับความกลัวตายที่กำลังหายใจรดต้นคอ
“ทางนี้ครับนายท่าน!”
เสียงตะโกนคุ้นหูดังขึ้น ภูมิโผล่ออกมาจากมุมทางแยกพร้อมกับปืนกลมือ Uzi สองกระบอก เขายิงกราดสกัดกั้นศัตรูที่กำลังกรูเข้ามาจากประตูปีกขวา สีหน้าของภูมิเคร่งเครียด เหงื่อกาฬไหลอาบหน้า แต่แววตายังคงนิ่งสงบ
“พาเธอไปที่โรงรถใต้ดิน! ฉันจะต้านพวกมันไว้!” นาวินสั่งเสียงเฉียบขาด ผลักร่างธนิดาไปทางภูมิ
“ไม่! ฉันไม่ไป!” ธนิดารั้งแขนนาวินไว้แน่น น้ำตาอาบสองแก้ม “คุณจะให้ฉันทิ้งคุณเหรอ!”
“นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นบทนางเอก!” นาวินหันมาตวาดลั่น ดวงตาแดงก่ำ “ไปกับภูมิซะ! ถ้าเธออยู่ตรงนี้เธอจะเป็นตัวถ่วงฉัน!”
คำว่าตัวถ่วงเหมือนมีดที่กรีดลงกลางใจ แต่ธนิดารู้ดีว่าเขาพูดถูก เธอทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกรีดร้องและวิ่งหนี เธอเม้มปากแน่น พยักหน้าทั้งน้ำตาแล้วยอมวิ่งตามภูมิไป
แต่ทว่า...
จังหวะที่นาวินหันหลังกลับไปยิงสกัดศัตรู เงาตะคุ่มหนึ่งก็โผล่ออกมาจากเงามืดด้านหลังเสาต้นใหญ่ ปลายกระบอกปืนเล็งตรงไปที่ศีรษะของนาวิน
ธนิดาตาเบิกโพลง โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุน สัญชาตญาณความกลัวตายมลายหายไป เหลือเพียงความกลัวที่จะสูญเสียเขา
“นาวิน! ข้างหลัง!”
เธอตะโกนสุดเสียงพร้อมคว้าแจกันโลหะใบหนักที่วางอยู่บนตู้ข้างทางเดิน ขว้างออกไปสุดแรงเกิด
เคร้ง!
แจกันกระแทกเข้าที่แขนของมือปืนจนวิถีกระสุนเบี่ยงออกไป นัดนั้นเจาะเข้าที่หัวไหล่ซ้ายของนาวินแทนที่จะเป็นศีรษะ
ฉึก!
นาวินเซถลา เลือดสีสดสาดกระเซ็นเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาวจนแดงฉาน เขาหันขวับกลับมาด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ ยิงสวนเข้ากลางแสกหน้าของไอ้มือปืนคนนั้นจนมันหงายหลังล้มตึง
“บ้าเอ๊ย!” นาวินสบถ กุมบาดแผลที่ไหล่แน่น เขาหันมามองธนิดาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่สายตาที่มองภาระอีกต่อไป แต่เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและห่วงหา
เขาไม่รอช้า วิ่งกลับมาคว้าตัวเธอเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดของเขาแตะจมูกเธอชัดเจน
“ยัยบ้า... ใครใช้ให้เธอทำแบบนั้น!” เขาคำราม แต่เสียงนั้นสั่นเครือ
“คุณ... คุณเจ็บ...” มือสั่นเทาของธนิดาแตะลงบนแผลของเขา น้ำตาไหลพรากหนักกว่าเดิม
“แผลแค่นี้ไกลหัวใจ” นาวินกัดฟันข่มความเจ็บปวด เขาเปลี่ยนใจไม่ส่งเธอให้ภูมิแล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่าชีวิตของเธอ เขาจะปกป้องด้วยมือของเขาเอง
“เกาะเอวฉันไว้แน่นๆ ธนิดา เราจะออกไปฆ่าพวกมันด้วยกัน”
เขายื่นปืนพกสำรองกระบอกเล็กที่ซ่อนไว้ที่ข้อเท้าส่งให้เธอ สัมผัสของโลหะเย็นเฉียบทำให้ธนิดาสะดุ้ง
“ปลดเซฟตี้ เล็ง แล้วเหนี่ยวไก” เขาสอนสั้นๆ น้ำเสียงจริงจัง “ถ้าใครเข้ามาใกล้เกินระยะแขน ยิงมันซะ อย่าลังเล”
ธนิดารับปืนมาด้วยมือที่สั่นระริก ปืนหนักอึ้งในมือของคนที่ไม่เคยทำร้ายใคร แต่เมื่อมองเห็นเลือดที่ไหลอาบไหล่ของนาวิน ความกลัวในใจเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นที่น่ากลัว
เพื่อเขา... เธอต้องทำ
“ไป!”
ทั้งคู่วิ่งฝ่าดงกระสุนอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครแยกจากใคร นาวินยิงเปิดทางด้วยมือข้างเดียวอย่างแม่นยำ ส่วนธนิดาคอยระวังหลังให้เขา แม้เธอจะไม่ได้ยิงใคร แต่การที่เธอถือปืนและจ้องมองศัตรูด้วยแววตาดุดัน ก็ทำให้พวกมันชะงักไปได้บ้าง
เมื่อมาถึงโรงรถใต้ดิน รถสปอร์ตคันหรูของนาวินจอดรออยู่ เขาผลักเธอเข้าไปนั่งฝั่งคนนั่ง แล้วกระโดดขึ้นฝั่งคนขับ สตาร์ตเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม
ประตูโรงรถเปิดออกสู่ความมืดมิดของพายุฝน นาวินเหยียบคันเร่งจนมิด รถพุ่งทะยานออกไปราวกับกระสุนที่หลุดจากลำกล้อง ทิ้งคฤหาสน์หรูที่กำลังลุกไหม้และเสียงปืนที่ยังคงดังไล่หลังไว้เบื้องหลัง
รถแล่นฝ่าสายฝนมาได้สักพักจนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาทัน นาวินจึงผ่อนความเร็วลง เขาหอบหายใจหนักหน่วง ใบหน้าซีดเผือดจากการเสียเลือด
“คุณไหวไหม...” ธนิดาถามเสียงสั่น เอื้อมมือไปกดแผลที่ไหล่เขาเพื่อห้ามเลือด
นาวินหันมามองเธอ รอยยิ้มบางๆ ที่ดูเหนื่อยล้าแต่เปี่ยมเสน่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขาเอื้อมมือข้างที่ไม่เจ็บมาจับมือเธอที่เปื้อนเลือดของเขาขึ้นมาจูบที่หลังมือเบาๆ
“ขอบใจนะที่ช่วยชีวิตฉันไว้”
คำเรียกขานนั้นทำให้ธนิดาหน้าร้อนวาบ ลืมความเจ็บปวดและความกลัวไปชั่วขณะ เธออยากจะเถียง แต่เมื่อเห็นสายตาที่เขามองมาสายตาที่บอกว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ เธอก็ได้แต่เงียบและปล่อยให้เขาจับมือเธออยู่อย่างนั้น
ท่ามกลางรถคันหรูที่แล่นฝ่าพายุฝนในค่ำคืนอันโหดร้าย หัวใจสองดวงกลับเริ่มเต้นเป็นจังหวะเดียวกันอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้น
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอครางอ
แสงแดดยามเช้าตรู่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งสีขาวเข้ามาตกกระทบเตียงนอนนุ่ม สร้างลวดลายของแสงเงาที่ดูอบอุ่นและสงบเงียบ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนหน้าบ้านและเสียงคลื่นกระทบฝั่งแผ่วเบา เป็นนาฬิกาปลุกธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับบ้านพักริมทะเลแห่งนี้นาวินลืมตาตื่นขึ้นก่อนใครตามความเคยชิน เขานอนตะแคงเท้าแขนมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของธนิดาเปรียบเสมือนดนตรีที่ไพเราะที่สุดที่ขับกล่อมจิตวิญญาณอันแข็งกระด้างของเขาให้อ่อนโยนลงปลายนิ้วหนาเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปรกแก้มใสของภรรยาอย่างเบามือ เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ใครจะเชื่อว่าอดีตหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่เคยมองโลกเป็นสีเทาหม่น จะมานอนยิ้มให้กับคนรักในยามเช้าแบบนี้"อือ..." ธนิดาขยับตัวเล็กน้อย ครางงัวเงียในลำคอเมื่อถูกรบกวน เธอกะพริบตาถี่ๆ ปรับโฟกัส ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานเมื่อเห็นใบหน้าของสามีเป็นสิ่งแรกของวัน"อรุณสวัสดิ์ค่ะ... คุณบาริสต้า" เสียงหวานแหบพร่าเล็กน้อยจากการเพิ่งตื่น"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนาย" นาวินก้มลงจูบหน้าผากมนหนักๆ "ตื่นสายนะวันนี้ เมื่อคืนโดนกวนดึกไปหน่อยเหรอ?"ธนิดาหน้าแดงซ่าน นึกถึงกิจกรรมรักท่ามกลางสายฝนเมื
ท้องฟ้าเหนือทะเลแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึน เมฆฝนก้อนใหญ่เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมจนบดบังแสงจันทร์ที่เคยสุกสกาว เสียงฟ้าคำรามครืนครั่นดังมาจากขอบฟ้าไกลๆ ก่อนที่สายฝนเม็ดหนาจะเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับโกรธเกรี้ยวใครมานับร้อยปีภายในห้องนอนชั้นสองของบ้านพักริมทะเล บรรยากาศกลับแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง แสงไฟสีส้มสลัวจากโคมไฟหัวเตียงสร้างความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย กลิ่นเทียนหอมอโรมากลิ่นวานิลลาลอยอบอวลจางๆ ผสมกับเสียงเม็ดฝนกระทบกระจกหน้าต่างที่กลายเป็นดนตรีขับกล่อมยามค่ำคืนธนิดานั่งกอดเข่าอยู่บนม้านั่งบุนวมริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปในความมืดมิดที่มีเพียงเส้นสายของน้ำฝน เธอสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของนาวินที่ยาวคลุมลงมาถึงต้นขา เผยให้เห็นขาเรียวสวยที่ซ่อนอยู่ในเงามืด"คิดอะไรอยู่..."เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอวเธอจากด้านหลัง นาวินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาสวมเพียงกางเกงนอนขายาวเปลือยท่อนบน อวดมัดกล้ามสวยงามที่มีหยดน้ำเกาะพราว ผมเปียกชื้นลู่ลงมาปรกหน้าผากทำให้เขาดูเด็กลงและเซ็กซี่อย่างร้ายกาจนาวินวางคางลงบนไหล่เล็ก สูดดมกลิ่นหอมของสบู่ที่ติดอยู่บนผิวกายเธอ "หรือเธ
ค่ำคืนที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง ไร้เมฆหมอกบดบัง ดวงจันทร์กลมโตทอแสงสีนวลสาดส่องลงบนผืนน้ำทะเลจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับดุจเพชรนับพันเม็ด เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวดังเป็นจังหวะขับกล่อมธรรมชาติให้หลับใหล แต่สำหรับคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งสวมแหวนหมั้นกันหมาดๆ รัตติกาลนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นนาวินจูงมือธนิดาเดินลัดเลาะไปตามชายหาดที่เงียบสงบ ห่างไกลจากบ้านพักและร้านกาแฟของพวกเขาออกมาพอสมควร จนกระทั่งถึงเวิ้งอ่าวเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมด้วยโขดหินธรรมชาติ เป็นมุมส่วนตัวที่มีเพียงหาดทราย สายลม และแสงจันทร์"คุณพาฉันมาเดินไกลขนาดนี้ จะแอบพาไปฆ่าหมกทรายหรือเปล่าคะเนี่ย" ธนิดาแกล้งแซว ทำลายความเงียบนาวินหยุดเดิน หันมามองเธอด้วยสายตาพราวระยับที่ทำให้ธนิดารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เขารั้งเอวบางเข้ามาแนบชิด จนหน้าอกนุ่มหยุ่นของเธอเบียดกับแผงอกแกร่งของเขา"ฆ่าหมกทรายมันเชยไป..." เขากระซิบเสียงพร่าชิดริมฝีปากเธอ “พามากินไปชมวิวไป น่าจะเหมาะกว่า"ธนิดาหน้าแดงซ่าน ตีอกเขาเบาๆ "คนทะลึ่ง! ที่โล่งแจ้งขนาดนี้ใครจะไปยอม...""ไม่มีใครหรอก แถวนี้เป็นเขตส่วนตัวของเรา" นาวินไม่พูดเปล่า เขาช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวอ
เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวละเอียดดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคล้าคลอไปกับเสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่หน้าประตูร้านกาแฟเล็กๆ สไตล์มินิมอลริมทะเล กลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วบดลอยอบอวลผสมผสานกับไอเค็มของทะเล สร้างบรรยากาศที่แปลกใหม่แต่ลงตัวอย่างน่าประหลาดป้ายไม้เหนือประตูร้านสลักคำว่า The Moonlight ตัวอักษรหวัดๆ แต่สวยงามฝีมือเจ้าของร้านภายในเคาน์เตอร์บาร์นาวินในชุดเสื้อยืดสีขาวสะอาดตากับผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มกำลังขะมักเขม้นกับการเทนมลงในถ้วยกาแฟเพื่อทำลาเต้อาร์ต แม้ใบหน้าจะยังคงความคมเข้มดุดันตามแบบฉบับอดีตมาเฟีย แต่แววตาที่จ้องมองฟองนมนั้นกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจและอ่อนโยนจนน่าเอ็นดู"เบี้ยวอีกแล้วค่ะคุณบาริสต้า"เสียงใสๆ ดังขึ้นจากโต๊ะมุมร้าน ธนิดาละสายตาจากบัญชีรายรับรายจ่ายในแท็บเล็ต เงยหน้าขึ้นมองผลงานศิลปะในถ้วยกาแฟของสามีแล้วหลุดขำออกมา "นั่นรูปหัวใจหรือรูปก้อนเมฆคะเนี่ย"นาวินถอนหายใจพรืด วางเหยือกนมลงแล้วยกมือเท้าเอว "ยากกว่ายิงปืนอีก ฉันว่าฉันเหมาะกับการชงกาแฟดำเพียวๆ มากกว่านะ""ไม่ได้ค่ะ" ธนิดาลุกเดินมาหาเขาที่เคาน์เตอร์ เอื้อมมือไปจัดปกเสื้อให้เขาเรียบร้อย "คุณบอกเองว่าจะเปิดร







