LOGINหลังจากเสียงเครื่องยนต์ของรถเบนท์ลีย์เงียบหายไปพร้อมกับสายฝนที่เริ่มซาเม็ด ความเงียบงันอันน่าอึดอัดก็เข้ายึดครองคฤหาสน์เงาจันทราในทันที
ธนิดายืนเกาะขอบหน้าต่างกระจกบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น มองตามท้ายรถที่ลับสายตาไป หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้ง เธอควรจะดีใจที่พญามัจจุราชอย่างนาวินไม่อยู่ แต่ทำไมลึกๆ แล้ว เธอกลับรู้สึกหนาวเหน็บและไร้ที่พึ่งพิงยิ่งกว่าเดิม
"คุณธนิดารับน้ำชาเพิ่มไหมคะ?"
เสียงทักทายที่ดังขึ้นด้านหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ธนิดาสะดุ้งสุดตัว เธอหันขวับไปมอง พบป้ามณียืนสงบนิ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว ในมือถือถาดเงินที่มีชุดน้ำชาลายครามส่งกลิ่นหอมกรุ่น
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ" ธนิดาปฏิเสธเสียงแข็ง พยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้ตื่นตระหนก
"รับสักหน่อยเถอะค่ะ จะได้ผ่อนคลาย" ป้ามณียังคงคะยั้นคะยอด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา หล่อนวางถาดลงบนโต๊ะรับแขกแล้วรินน้ำชาสีอำพันใส่ถ้วย "ชาดอกคาโมมายล์อุ่นๆ ช่วยให้หลับสบายนะคะ คุณดูเหนื่อยมาก"
ธนิดามองถ้วยชาตรงหน้า สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าอย่าแตะต้อง เธอไม่ได้หวาดระแวงเกินเหตุ แต่สายตาของหญิงแม่บ้านผู้นี้ดูว่างเปล่าจนน่าขนลุก เหมือนตุ๊กตาที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ยิ้มแย้ม
"ฉันบอกว่าไม่ ก็คือไม่" ธนิดาเชิดหน้าขึ้น เลียนแบบท่าทางดุดันของนาวิน "และฉันอยากเดินดูรอบๆ บ้าน หวังว่าคงไม่ผิดกฎข้อไหนนะ"
รอยยิ้มของป้ามณีกระตุกวูบไปชั่ววินาที ก่อนจะกลับมาเรียบสนิทดังเดิม “ตามสบายค่ะ แต่ระวังอย่าเดินไปแถวปีกขวาของตึกนะคะ ตรงนั้นกำลังซ่อมแซม มันอันตราย"
ธนิดาพยักหน้าแกนๆ ก่อนจะรีบเดินหนีออกมาจากห้องนั้น เธอไม่ได้ตั้งใจจะไปเดินเล่นชมวิว แต่เธอต้องการหาทางหนีทีไล่ หรืออย่างน้อยก็โทรศัพท์สักเครื่องเพื่อติดต่อใครสักคน
เธอเดินลัดเลาะไปตามโถงทางเดินยาวเหยียด พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบส่งความหนาวเย็นผ่านฝ่าเท้าเปลือยเปล่า คฤหาสน์หลังนี้สวยงามราวกับพิพิธภัณฑ์ แต่ไร้ชีวิตชีวา รูปภาพบรรพบุรุษบนผนังดูขึงขังน่ากลัว ทุกย่างก้าวของเธอถูกจับตามองโดยกล้องวงจรปิดและลูกน้องชุดดำที่ยืนเฝ้าตามจุดต่างๆ
จนกระทั่งเธอเดินมาถึงมุมอับสายตาใกล้ห้องครัวใหญ่ ธนิดาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมา เธอรีบหลบหลังเสาต้นใหญ่ กลั้นหายใจเพื่อแอบฟัง
"...เรียบร้อยแล้วค่ะ ใช่ค่ะ คืนนี้เขาไม่อยู่..."
เสียงนั้นคุ้นหู...
มันเป็นเสียงของป้ามณี
ธนิดาชะโงกหน้าออกไปดูเล็กน้อยเห็นแผ่นหลังของหัวหน้าแม่บ้านกำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กในซอกมุมมืด ท่าทางลับๆ ล่อๆ นั้นต่างจากตอนอยู่ต่อหน้าเธอลิบลับ
“ประตูปีกขวาฉันเปิดทิ้งไว้แล้ว รีบจัดการซะ ก่อนที่มันจะกลับมา"
หัวใจของธนิดากระตุกวูบตอนที่ได้ยิน ปีกขวาที่ป้ามณีบอกว่ากำลังซ่อมแซมและห้ามเธอไป และคำว่ามันคงหมายถึงใครไปไม่ได้นอกจากนาวิน
ธนิดาเม้มปากแน่น ความจริงกระแทกหน้าอย่างจัง กรงทองแห่งนี้มีรอยรั่วและงูพิษไม่ได้อยู่นอกรั้ว แต่อยู่ภายในบ้านหลังนี้เอง
เธอต้องบอกนาวิน ไม่ใช่เพราะเธอเป็นห่วงเขา แต่เพราะถ้าเขาตาย เธอที่อยู่ที่นี่ก็คงไม่รอดเช่นกัน
เวลาล่วงเลยไปจนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มของยามค่ำคืน ฝนเริ่มตกลงมาอีกครั้ง เสียงล้อรถบดกับถนนเปียกแฉะดังขึ้นที่หน้าบ้าน เป็นสัญญาณการกลับมาของเจ้าของคฤหาสน์
ธนิดาที่นั่งรออยู่บนโซฟาในห้องโถงรีบผุดลุกขึ้นทันที ประตูบานใหญ่ถูกผลักเปิดออก ร่างสูงสง่าของนาวินก้าวเข้ามา สภาพของเขาดูต่างจากตอนออกไปเมื่อเช้า เสื้อเชิ้ตสีขาวมีรอยยับยู่ยี่ ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกจากกางเกง และที่สำคัญมีรอยเลือดจางๆ เปื้อนที่ปลายแขนเสื้อของเขาด้วย
ใบหน้าคมคายฉายแววเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิด แต่เมื่อดวงตาคมกริบคู่นั้นสบเข้ากับเธอที่ยืนรออยู่ ความแข็งกร้าวในแววตาก็ดูจะอ่อนลงวูบหนึ่ง
"ยังไม่นอนอีกเหรอ" เขาถามเสียงแหบพร่าพร้อมถอดเสื้อสูทตัวนอกโยนให้ลูกน้องที่มารอรับ
"ฉัน... ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณ" ธนิดาเดินเข้าไปหาเขา กล้าๆ กลัวๆ แต่ความร้อนใจมีมากกว่า
นาวินเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาโบกมือไล่ลูกน้องและภูมิให้ออกไปก่อน จนเหลือเพียงเธอกับเขาในโถงกว้าง เขาก้าวเข้ามาประชิดตัวเธอ กลิ่นคาวเลือดจางๆ ผสมกลิ่นบุหรี่และน้ำหอมตีเข้าจมูกเธออย่างจัง
"เรื่องอะไร พ่อเธอติดต่อมาเหรอ"
"ไม่ใช่เรื่องพ่อ..." ธนิดากระซิบเสียงเบา มองซ้ายขวาอย่างระแวง "เรื่องคนในบ้านของคุณ... ป้ามณี"
นาวินชะงัก นัยน์ตาคมหรี่ลง "มณีทำไม?"
“เมื่อตอนบ่ายฉันเห็นป้ามณีแอบคุยโทรศัพท์ แกพูดเรื่องเปิดประตูปีกขวา และบอกให้ใครบางคนรีบลงมือคืนนี้" ธนิดาพูดรัวเร็ว "ฉันว่าป้ากำลังจะเปิดทางให้คนร้ายเข้ามา คุณต้องระวังตัวนะ"
นาวินนิ่งฟัง สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงความตกใจอย่างที่เธอคิด แต่กลับมีรอยยิ้มเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นที่มุมปาก
"นี่เธอเป็นห่วงฉันเหรอ"
"ฉัน... ฉันแค่ไม่อยากตายไปด้วยต่างหาก!" ธนิดาหน้าแดงซ่าน รีบแก้ตัวพัลวัน "ถ้าพวกมันบุกเข้ามา ฉันก็ซวยไปด้วยสิ"
นาวินหัวเราะในลำคอ เขาขยับตัวเข้ามาใกล้จนแผ่นอกกว้างแทบจะชนกับหน้าผากเธอ มือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าของเธอไปทัดหู สัมผัสจากปลายนิ้วที่หยาบกร้านแต่แผ่วเบาทำให้ธนิดาตัวแข็งทื่อ
"เด็กโง่..." เขากระซิบ น้ำเสียงนุ่มนวลชวนให้ใจสั่น "ฉันรู้อยู่แล้วเรื่องมณี"
"ฮะ? คุณรู้?" ธนิดาเบิกตากว้าง "รู้แล้วทำไมยังปล่อยให้เธอทำงานอยู่!"
"เพราะการเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว มันง่ายต่อการควบคุมมากกว่าการปล่อยให้มันออกไปเพ่นพ่านข้างนอก" แววตาของนาวินเปลี่ยนเป็นลึกล้ำและอันตราย "ฉันรอจังหวะให้ตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังมณีโผล่หางออกมา และคืนนี้ดูเหมือนเหยื่อจะกินเบ็ดแล้ว"
เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกชนกัน ลมหายใจร้อนผ่าวของเขารินรดแก้มเธอ “ขอบใจที่มาบอก เธอทำตัวน่ารักกว่าที่ฉันคิดนะ"
ธนิดาหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นโครมครามจนกลัวว่าเขาจะได้ยิน เธอผลักอกเขาเบาๆ "ถ...ถ้ารู้แล้วก็ดี ฉันจะได้ไปนอน"
"เดี๋ยวก่อน" นาวินคว้าข้อมือเธอไว้ ดึงร่างบางเข้าหาตัวจนแนบชิด "คืนนี้มานอนห้องฉัน"
"ทำไม!" เธอถามเสียงหลง ความคิดเตลิดเปิดเปิง
"เพราะคืนนี้จะมีการกวาดล้าง ห้องของเธออาจจะไม่ปลอดภัย แต่ห้องของฉันคือที่เดียวที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็แตะต้องเธอไม่ได้"
สายตาของเขาจริงจังและทรงพลังจนธนิดาพูดไม่ออก เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้น และเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง เงาของผู้หญิงที่กำลังหวั่นไหวให้กับปีศาจ
ตู้ม!!
เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทดังสนั่นมาจากทางปีกขวาของคฤหาสน์ แรงสั่นสะเทือนทำให้โคมระย้าแกว่งไกว พื้นหินอ่อนสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงสัญญาณกันขโมยหวีดร้องระงมไปทั่ว
นาวินปฏิกิริยาไวปานสายฟ้า เขารวบร่างธนิดาเข้าสู่อ้อมกอดแล้วหมอบลงต่ำ กดหัวเธอซุกกับอกแกร่งเพื่อปกป้องเธอจากเศษฝุ่นที่ร่วงกราวลงมา
"เริ่มแล้วสินะ..." เขาคำรามเสียงต่ำ แววตาเปลี่ยนเป็นนักล่าเต็มตัว เขาดึงปืนพกสีเงินออกมาจากเอว ปลดเซฟตี้ด้วยนิ้วโป้งเพียงนิ้วเดียว
"เกาะฉันไว้แน่นๆ ธนิดา คืนนี้คงจะยาวนานกว่าทุกคืน"
นาวินลุกขึ้น ฉุดมือเธอให้วิ่งตามเขาไปท่ามกลางความโกลาหล แสงไฟฉุกเฉินสีแดงสาดส่องไปทั่ว เปลี่ยนคฤหาสน์หรูให้กลายเป็นสมรภูมิเลือดในชั่วพริบตา
ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้น
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอครางอ
แสงแดดยามเช้าตรู่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งสีขาวเข้ามาตกกระทบเตียงนอนนุ่ม สร้างลวดลายของแสงเงาที่ดูอบอุ่นและสงบเงียบ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนหน้าบ้านและเสียงคลื่นกระทบฝั่งแผ่วเบา เป็นนาฬิกาปลุกธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับบ้านพักริมทะเลแห่งนี้นาวินลืมตาตื่นขึ้นก่อนใครตามความเคยชิน เขานอนตะแคงเท้าแขนมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของธนิดาเปรียบเสมือนดนตรีที่ไพเราะที่สุดที่ขับกล่อมจิตวิญญาณอันแข็งกระด้างของเขาให้อ่อนโยนลงปลายนิ้วหนาเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปรกแก้มใสของภรรยาอย่างเบามือ เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ใครจะเชื่อว่าอดีตหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่เคยมองโลกเป็นสีเทาหม่น จะมานอนยิ้มให้กับคนรักในยามเช้าแบบนี้"อือ..." ธนิดาขยับตัวเล็กน้อย ครางงัวเงียในลำคอเมื่อถูกรบกวน เธอกะพริบตาถี่ๆ ปรับโฟกัส ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานเมื่อเห็นใบหน้าของสามีเป็นสิ่งแรกของวัน"อรุณสวัสดิ์ค่ะ... คุณบาริสต้า" เสียงหวานแหบพร่าเล็กน้อยจากการเพิ่งตื่น"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนาย" นาวินก้มลงจูบหน้าผากมนหนักๆ "ตื่นสายนะวันนี้ เมื่อคืนโดนกวนดึกไปหน่อยเหรอ?"ธนิดาหน้าแดงซ่าน นึกถึงกิจกรรมรักท่ามกลางสายฝนเมื
ท้องฟ้าเหนือทะเลแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึน เมฆฝนก้อนใหญ่เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมจนบดบังแสงจันทร์ที่เคยสุกสกาว เสียงฟ้าคำรามครืนครั่นดังมาจากขอบฟ้าไกลๆ ก่อนที่สายฝนเม็ดหนาจะเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับโกรธเกรี้ยวใครมานับร้อยปีภายในห้องนอนชั้นสองของบ้านพักริมทะเล บรรยากาศกลับแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง แสงไฟสีส้มสลัวจากโคมไฟหัวเตียงสร้างความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย กลิ่นเทียนหอมอโรมากลิ่นวานิลลาลอยอบอวลจางๆ ผสมกับเสียงเม็ดฝนกระทบกระจกหน้าต่างที่กลายเป็นดนตรีขับกล่อมยามค่ำคืนธนิดานั่งกอดเข่าอยู่บนม้านั่งบุนวมริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปในความมืดมิดที่มีเพียงเส้นสายของน้ำฝน เธอสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของนาวินที่ยาวคลุมลงมาถึงต้นขา เผยให้เห็นขาเรียวสวยที่ซ่อนอยู่ในเงามืด"คิดอะไรอยู่..."เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอวเธอจากด้านหลัง นาวินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาสวมเพียงกางเกงนอนขายาวเปลือยท่อนบน อวดมัดกล้ามสวยงามที่มีหยดน้ำเกาะพราว ผมเปียกชื้นลู่ลงมาปรกหน้าผากทำให้เขาดูเด็กลงและเซ็กซี่อย่างร้ายกาจนาวินวางคางลงบนไหล่เล็ก สูดดมกลิ่นหอมของสบู่ที่ติดอยู่บนผิวกายเธอ "หรือเธ
ค่ำคืนที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง ไร้เมฆหมอกบดบัง ดวงจันทร์กลมโตทอแสงสีนวลสาดส่องลงบนผืนน้ำทะเลจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับดุจเพชรนับพันเม็ด เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวดังเป็นจังหวะขับกล่อมธรรมชาติให้หลับใหล แต่สำหรับคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งสวมแหวนหมั้นกันหมาดๆ รัตติกาลนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นนาวินจูงมือธนิดาเดินลัดเลาะไปตามชายหาดที่เงียบสงบ ห่างไกลจากบ้านพักและร้านกาแฟของพวกเขาออกมาพอสมควร จนกระทั่งถึงเวิ้งอ่าวเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมด้วยโขดหินธรรมชาติ เป็นมุมส่วนตัวที่มีเพียงหาดทราย สายลม และแสงจันทร์"คุณพาฉันมาเดินไกลขนาดนี้ จะแอบพาไปฆ่าหมกทรายหรือเปล่าคะเนี่ย" ธนิดาแกล้งแซว ทำลายความเงียบนาวินหยุดเดิน หันมามองเธอด้วยสายตาพราวระยับที่ทำให้ธนิดารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เขารั้งเอวบางเข้ามาแนบชิด จนหน้าอกนุ่มหยุ่นของเธอเบียดกับแผงอกแกร่งของเขา"ฆ่าหมกทรายมันเชยไป..." เขากระซิบเสียงพร่าชิดริมฝีปากเธอ “พามากินไปชมวิวไป น่าจะเหมาะกว่า"ธนิดาหน้าแดงซ่าน ตีอกเขาเบาๆ "คนทะลึ่ง! ที่โล่งแจ้งขนาดนี้ใครจะไปยอม...""ไม่มีใครหรอก แถวนี้เป็นเขตส่วนตัวของเรา" นาวินไม่พูดเปล่า เขาช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวอ
เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวละเอียดดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคล้าคลอไปกับเสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่หน้าประตูร้านกาแฟเล็กๆ สไตล์มินิมอลริมทะเล กลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วบดลอยอบอวลผสมผสานกับไอเค็มของทะเล สร้างบรรยากาศที่แปลกใหม่แต่ลงตัวอย่างน่าประหลาดป้ายไม้เหนือประตูร้านสลักคำว่า The Moonlight ตัวอักษรหวัดๆ แต่สวยงามฝีมือเจ้าของร้านภายในเคาน์เตอร์บาร์นาวินในชุดเสื้อยืดสีขาวสะอาดตากับผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มกำลังขะมักเขม้นกับการเทนมลงในถ้วยกาแฟเพื่อทำลาเต้อาร์ต แม้ใบหน้าจะยังคงความคมเข้มดุดันตามแบบฉบับอดีตมาเฟีย แต่แววตาที่จ้องมองฟองนมนั้นกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจและอ่อนโยนจนน่าเอ็นดู"เบี้ยวอีกแล้วค่ะคุณบาริสต้า"เสียงใสๆ ดังขึ้นจากโต๊ะมุมร้าน ธนิดาละสายตาจากบัญชีรายรับรายจ่ายในแท็บเล็ต เงยหน้าขึ้นมองผลงานศิลปะในถ้วยกาแฟของสามีแล้วหลุดขำออกมา "นั่นรูปหัวใจหรือรูปก้อนเมฆคะเนี่ย"นาวินถอนหายใจพรืด วางเหยือกนมลงแล้วยกมือเท้าเอว "ยากกว่ายิงปืนอีก ฉันว่าฉันเหมาะกับการชงกาแฟดำเพียวๆ มากกว่านะ""ไม่ได้ค่ะ" ธนิดาลุกเดินมาหาเขาที่เคาน์เตอร์ เอื้อมมือไปจัดปกเสื้อให้เขาเรียบร้อย "คุณบอกเองว่าจะเปิดร







